จิกน้ำ ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย
จิกน้ำ งานวิจัยและสรรพคุณ 25 ข้อ
ชื่อสมุนไพร จิกน้ำ
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น จิกนา, จิก, จิกมุจลินท์, จิกอินเดีย (ภาคกลาง), ปุยสาย, ตอง, ลำไพ่ (ภาคเหนือ), กระโดนน้ำ,กระโดนทุ่ง (ภาคอีสาน)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Barringtonia acutangula (L.) Gaerth.
ชื่อสามัญ Indian oak, Itchy tree, Freshwater mangrove
วงศ์ LECYHIDCEAE
ถิ่นกำเนิดจิกน้ำ
จิกน้ำ จัดเป็นพันธุ์พืชที่มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมในบริเวณภูมิภาคเอเชียใต้ เช่น อินเดีย ศรีลังกา ปากีสถาน เนปาล บังกลาเทศ และในอัฟกานิสถาน เป็นต้น ต่อมาจึงได้มีการกระจายพันธุ์ไปยังภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ ไทย ลาว กัมพูชา มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ หมู่เกาะแปซิฟิก ไปจนถึงทางตอนเหนือของออสเตรเลีย สำหรับในประเทศไทยมักพบจิกน้ำ ได้ทั่วทุกภาคของประเทศบริเวณริมฝั่งน้ำ คลอง บึง ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลจนถึง 400 เมตร
ประโยชน์และสรรพคุณจิกน้ำ
- ใช้ปิดธาตุแก้อุจจาระพิการ
- แก้ท้องเสีย
- แก้ท้องร่วง
- แก้บิดมูกเลือด
- ช่วยสมานบาดแผล
- แก้ชัก
- แก้เสมหะพิการ
- แก้ปวดศีรษะ
- แก้เลือดออกตามไรฟัน
- ใช้ขับระดูขาว
- ใช้เป็นยาระบาย
- แก้หวัด
- ช่วยทำให้อาเจียน
- ใช้แก้เยื่อตาอักเสบ
- แก้ไข้ตัวร้อน
- แก้อาเจียน
- แก้ไอ
- แก้จุกเสียดแน่น
- แก้ร้อนใน
- ใช้ขับลม
- ใช้เป็นยาร้อนหลับคลอดในสตรี
- ใช้แก้ไข้
- แก้ไข้ป่า
- ใช้ล้างแผล
- แก้ผื่นคัน
จิกน้ำ ถูกนำมาใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ มาตั้งแต่ในอดีตแล้ว โดยมีการนำดอกและยอดอ่อนมาใช้รับประทานเป็นผักสด หรือ ใช้จิ้มกับน้ำพริกแจ่ว ลาบ น้ำตก ยำไข่มดแดง และขนมจีน ซึ่งจะให้รสชาติมันปนฝาด ช่วยเพิ่มความอร่อยให้กับอาหาร ส่วนเนื้อไม้ มีเสี้ยนตรงเนื้อสีขาว หรือ สีอมแดงเรื่อๆ เหมาะสำหรับใช้ในร่ม โดยสามารถนำมาทำเครื่องมือเกษตรและทำเครื่องเรือน หรือ นำมาใช้ทำไม้อัด ไม้บาง หรือ กระดาษกรุบ่อก็ได้ และในอดีตยังมีการนำส่วนใบของจิกน้ำ มาใช้ย้อมผ้า โดยจะให้สีน้ำตาล ในปัจจุบันมีการนิยมนำจิกน้ำมาปลูกเป็นไม้ประดับตามริมน้ำ ริมฝั่งของโรงแรม รีสอร์ท หรือ ตามสวนสาธารณะที่มีบึงน้ำเนื่องจากมีช่อดอกและสีสันของดอกที่สวยงามแปลกตา มีความแข็งแรงสามารถทนน้ำท่วมขังได้เป็นอย่างดีและยังสามารถช่วยยืดหน้าดินริมตลิ่งได้อีกด้วย
รูปแบบและขนาดวิธีใช้
- ใช้แก้เยื่อตาอักเสบ โดยนำเมล็ดจิกน้ำคั้นจากเมล็ดมาหยอดตา
- ใช้แก้อาการปวดศีรษะ โดยนำเมล็ดจิกน้ำ นำไปทำเป็นยานัตถุ์
- ใช้แก้ไอ ขับเสมหะ โดยนำเมล็ดจิกน้ำไปบดผสมกับขิงสด รับประทาน
- ใช้ปิดธาตุ แก้อุจจาระพิการ แก้ท้องเสีย ท้องร่วง แก้บิดมูกเลือด โดยนำจิกน้ำมาต้มกับน้ำดื่ม
- ใช้แก้ปวดศีรษะ แก้เสมหะพิการ แก้เลือดออกตามไรฟัน โดยนำทั้งต้นจิกน้ำมาต้มกับน้ำดื่ม
- ใช้แก้หวัด ขับเสมหะ ทำให้อาเจียน ใช้เป็นยาระบาย โดยนำรากจิกน้ำ มาฝนกินกับน้ำ
- ใช้แก้ผื่นคัน ใช้แก้ไข้ตัวร้อน แก้ไข้ป่า โดยนำเปลือกต้นจิกน้ำมาล้างแผล
ลักษณะทั่วไปของจิกน้ำ
จิกน้ำจัดเป็นไม้ยืนต้นผลัดใบ ขนาดกลางถึงขนาดใหญ่มีความสูง 5-20 เมตร เรือนยอดเป็นพุ่มแผ่กว้าง ผิวลำต้นมีสีน้ำตาลมักจะเป็นปุ่มปมและแตกเป็นรอง ลักษณะเป็นสันแหลมตามยาว กิ่งก้านคดงอ แตกไม่เป็นระเบียนส่วนปลายกิ่งจะลู่ลง
ใบจิกน้ำ เป็นใบเดี่ยวออกแบบเรียงเวียนสลับบริเวณปลายกิ่ง ลักษณะของใบเป็นรูปไข่กลับ หรือ รูปของขนานกว้าง 2-4 เซนติเมตร ยาว 5-26 เซนติเมตร โคนสอบเรียวปลายแหลม ขอบจักฟันเลื่อยเล็กน้อยแผ่นใบหนา เมื่อใบอ่อนจะมีสีน้ำตาลอมม่วง ใบแก่มีสีเขียวและมีเส้นแขนงใบข้างละ 10-20 เส้น ส่วนก้านใบยาวได้ถึง 1.5 เซนติเมตร
ดอกออกเป็นช่อ กระจุกบริเวณปลายกิ่ง โดยดอกจะห้อยลงมาเป็นระย้ายาวประมาณ 30-70 เซนติเมตร ดอกย่อยมีจำนวนมากลักษณะ กลีบดอกสั้นสีแดง หรือ สีชมพู ปลายแยกเป็น 4 กลีบ เมื่อบานเต็มที่จะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2 เซนติเมตร กลางดอกมีเกสรตัวผู้เป็นฝอยๆ สีขาว หรือ ชมพู หรือ สีแดงจำนวนมากและมีกลีบเลี้ยง 4 กลีบ ติดอยู่เพื่อเจริญเป็นผล ทั้งนี้ดอกของจิกน้ำ มีกลิ่นหอมและสามารถหลุดร่วงได้ง่าย
ผลเป็นผลสดรูปรีแคบ หรือ รูปไข่มีสัน หรือ กรีบตามยาว 4-8 กลีบ ผลมีความยาว 2-6 เซนติเมตร ด้านในผลมีเมล็ดเดียวลักษณะรูปไข่ ยาว 1-4 เซนติเมตร
การขยายพันธุ์จิกน้ำ
จิกน้ำสามารถขยายพันธุ์ได้หลายวิธีอาทิเช่น กระเพาะเมล็ด การปักชำ และการตอนกิ่ง โดยวิธีที่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน คือ การปักชำและการตอนกิ่ง เนื่องจากเป็นวิธีที่ทำได้ง่าย สะดวกและเจริญเป็นต้นกล้า เพื่อนำไปปลูกได้เร็วกว่าการเพาะเมล็ด สำหรับวิธีการปักชำและการตอนกิ่งจิกน้ำ สามารถทำได้เช่นเดียวกันกับการปักชำและการตอนกิ่งไม้ยืนต้นทั่วไป ที่ได้กล่าวมาแล้วในบทความก่อนหน้านี้
องค์ประกอบทางเคมี
มีรายงานผลการศึกษาวิจัยองค์ประกอบทางเคมีจากใบและเปลือกต้นของจิกน้ำ ระบุว่าพบสารออกฤทธิ์ที่สำคัญหลายชนิดอาทิเช่น ส่วนใบพบสาร Acutangulic acid, saponin, acutagenol A, acutagenol B, barringtogenols B, C, และ D, stigmasterol, β-sitosterol และ β-amyrin เป็นต้น ส่วนในเปลือกต้นพบสาร racemosol A, isoracemosol A, dihydromyricetin, gallic acid, bartogenic acid, stigmasterol, 3,3'-dimethoxy ellagic acid, olean-18-en-3beta-O-E-coumaroyl ester, olean-18-en-3beta-O-Z-coumaroyl ester, [21beta-acetoxy-3beta, 15alpha, 16alpha, 28-tetrahydroxy-22alpha-(2-methylbutyryl)olean-12-ene] และ 12, 20-lupadien-3-o
การศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของจิกน้ำ
มีรายงานผลการศึกษาทางเภสัชวิทยาของสารสกัดจิกน้ำ จากส่วนต่างๆ ของจิกน้ำระบุว่ามีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาหลายประการ ดังนี้
ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ มีรายงานผลการศึกษาวิจัยพบว่าสารสกัดจากใบของจิกน้ำแสดง ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ โดยมีค่า (IC50=53.80 µg/ml) ในขณะที่กรดแอสคิร์บิก (วิตามิน C) มีค่า IC50=20.83 µg/ml
ฤทธิ์ต้านแบคทีเรีย มีรายงานผลการศึกษาวิจัยพบว่าสารสกัดจากส่วนใบเมล็ดและลำต้นของจิกน้ำ มีฤทธิ์ต้านเชื้อ Bacillius megaterium และ Vibrio parahaemolyticus ได้เป็นอย่างดี แต่มีฤทธิ์ต้านเชื้อ Bacillus cereus, Vibro mimicus และ Salmonella typhi ในระดับต่ำ
ฤทธิ์กำจัดพยาธิ มีการศึกษาวิจัยการประเมินฤทธิ์กำจัดพยาธิของสารสกัดเมทานอลจากเปลือกต้นของจิกน้ำ โดยเปรียบเทียบกับไพเพอราซีนซิเตรต พบว่าสารสกัดดังกล่าว แสดงฤทธิ์กำจัดพยาธิในระดับปานกลางในลักษณะขึ้นอยู่กับขนาดยา โดยสารสกัดเมทานอลจากเปลือกต้นจิกน้ำ มีฤทธิ์ทำให้พยาธิ Pheretima posthuman เกิดอัมพาตที่ 22.33 นาที และเวลาตายที่ 45.00 นาที ส่วนไพเพอราซีนซิเตรต ทำให้พยาธิดังกล่าวเป็นอัมพาตและตายในที่เวลา 25.00 และ 64.00 นาที ตามลำดับ
การศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาของจิกน้ำ
ไม่มีข้อมูล
ข้อแนะนำและข้อควรระวัง
สำหรับการใช้ใบอ่อนและยอดจิกน้ำเป็นอาหารนั้นพบว่ามีความปลอดภัยสูง แต่ในการใช้ส่วนต่างๆ ของจิกน้ำ ในรูปแบบสมุนไพรนั้นควรระมัดระวังในการใช้เช่นเดียวกันกับสมุนไพรชนิดอื่นๆ โดยควรใช้ในขนาดและปริมาณที่เหมาะสมที่ได้ระบุไว้ในตำรับตำรายาต่างๆ ไม่ควรใช้ในขนาดที่มากจนเกินไป หรือ ใช้ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานานจนเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวได้
เอกสารอ้างอิง จิกน้ำ
- เดชา ศิริภัทร.จิก :ผักพื้นบ้านดอกงามจำกป่าหิมพานต์.คอลัมน์ ต้นไม้ใบหญ้า. นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 188.ธันวาคม 2537.
- มูลนิธิมหาวิทยาลัยมหิดล.(2548).สารานุกรมสมุนไพร เล่ม 5.สมุนไพรพื้นบ้านอีสาน.หน้า 29.
- จิกน้ำ. หนังสือพรรณไม้ อุทยานหลวงราชพฤกษ์. หน้า 315.
- จิกน้ำ. พืชกินได้ในป่าสะเกราช.สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย(วว.) หน้า 97-98.
- จิกน้ำ. พรรณไม้ตามรอยอาหารพิพิธภัณฑ์พืชสิรินธร. กลุ่มวิจัยพฤกษศาสตร์และพิพิธภัณฑ์พืช.สำนักคุ้มครองพันธุ์พืชกรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
- อรทัย เนียมสุวรรณ, นฤมล เล้งนนท์, กรกนก ยิ่งเจริญ, พัชรินทร์ สิงห์ดำ. 2555. พฤกษศาสตร์พื้นบ้านของพืชกินได้จากป่าชายเลนและป่าชายหาดบริเวณเขาสทิงพระ จังหวัดสงขลา วารสารวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยขอนแก่น.40(3):981-991.
- Tanaka, Yoshitaka; Van Ke, Nguyen (2007). Edible Wild Plants of Vietnam: The Bountiful Garden. Thailand: Orchid Press. p. 88.
- Yusuf M, Chowdhury JU, Wahab MA, Begum J. Medicinal Plants of Bangladesh. Chittagong, Bangladesh: BCSIR Laboratories. 1994.
- Rahman MM, Polfreman D, MacGeachan J, Gray AI (2005). "Antimicrobial activities of Barringtonia acutangula". Phytotherapy Research. 19 (6): 543-5.
- Daduang J, Vichitphan S, Daduang S, Hongsprabhas P, Boonsiri P. High phenolics and antioxidants of some tropical vegetables related to antibacterial and anticancer activities. Afr J Pharm Pharmacol.2011; 5: 608-615.
- Chemical constituents of mangrove plant Barringtonia racemosa].[Chinese] Sun HY. Long LJ. Wu J. Zhong Yao Cai. 29(7):671-2, 2006 Jul.
- Ghani A. Medicinal Plants of Bangladesh: Chemical Constituents and Uses. 2nd ed. Dhaka, Bangladesh: The Asiatic Society of Bangladesh. 2003.
- Yang Y, Deng Z, Proksch P, Lin W (2006). "Two new 18-en-oleane derivatives from marine mangrove plant, Barringtonia racemosa". Pharmazie. 61 (4): 365-6.