โพธิ์ ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย

โพธิ์ งานวิจัยและสรรพคุณ 29 ข้อ

ชื่อสมุนไพร โพธิ์
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น ศรีมหาโพธิ์ (ภาคกลาง), สลี, สะหลี (ภาคเหนือ), ย่อง (ไทยใหญ่), ปู (เขมร), อัสสัตถะ (บาลี)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Ficus religiosa Linn.
ชื่อสามัญ Bodhi, Sacred fig, Pipal tree, Peepul tree.
วงศ์ MORACEAE


ถิ่นกำเนิดโพธิ์

โพธิ์ จัดเป็นพืชในวงศ์ขนุน (MORACEAE) ที่มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมในภูมิภาคเอเชียใต้ บริเวณแถบประเทศอินเดียและพื้นที่แถบภูเขาหิมาลัย ในอินเดีย ศรีลังกา เนปาล ปากีสถาน จากนั้นจึงมีการแพร่กระจายพันธุ์ไปยังประเทศแถบคาบสมุทรอินโดจีนจนถึงจีนตอนใต้ โดยเชื่อกันว่าเป็นพืชที่มีมานานตั้งแต่สมัยพุทธกาลตามประวัติการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า สำหรับในประเทศไทยนั้นเข้าใจว่ามีการนำโพธิ์ เข้ามาปลูก แล้วจึงแพร่กระจายในธรรมชาติ ภายหลังปัจจุบันสามารถพบได้ในวัดของทุกภาคของประเทศไทย ซึ่งถือเป็นไม้สักการะบูชาในศาสนาพุทธและยังพบได้ตามที่รกร้างทั้งในเมืองและในป่าตามธรรมชาติ ที่มีความสูงตั้งแต่ระดับน้ำทะเลจนถึงระดับ 1,800 เมตร


ประโยชน์และสรรพคุณโพธิ์

  1. ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด
  2. แก้ไข้จับสั่นเรื้อรัง
  3. ใช้รักษาโรคคางทูม
  4. ช่วยรักษาโรคท้องผูก ท้องร่วง
  5. ใช้เป็นยาถ่ายพยาธิ
  6. ใช้เป็นยาบำบัดโรคผิวหนัง แก้โรคผิวหนัง
  7. แก้โรคหัวใจ
  8. ช่วยขับพิษ
  9. แก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้อาการกระหายน้ำ
  10. ช่วยรักษาโรคหืด
  11. ใช้เป็นยาระบาย
  12. ใช้เป็นยาลดไข้
  13. แก้โรคกระเพาะ
  14. แก้ปัสสาวะอักเสบ
  15. ใช้เป็นยาแก้เจ็บคอ
  16. แก้ปวดฟัน
  17. รักษารากฟันเป็นหนอง
  18. แก้โรคหนองใน
  19. ช่วยรักษาแผลเปื่อย
  20. ช่วยสมานบาดแผล ห้ามเลือด
  21. ช่วยทำให้หนองแห้ง
  22. แก้กล้ามเนื้อบวมช้ำ
  23. รักษาโรคเหงือก
  24. ใช้เป็นยารักษาโรคเกาต์
  25. ใช้รักษาริดสีดวงทวาร กัด หู
  26. แก้เท้าเป็นหน่อ
  27. แก้เท้าเป็นพยาธิ
  28. รักษาโรคเกาต์
  29. รักษาโรคหูด กัดหูด

           มีการนำส่วนต่างๆ ของโพธิ์ มาใช้ประโยชน์ ใบอ่อนใช้เลี้ยงหนอนไหม ซึ่งจะมีปริมาณของโปรตีนและธาตุหินปูนสูง นอกจากนี้ยังนิยมใช้ปลูกเป็นไม้ประดับวัดวาอารามต่างๆ โดยถือว่าเป็นไม้มงคล ศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในพุทธประวัติ จึงมักเห็นว่าเกือบทุกวัดจะมีการปลูกต้นโพธิ์ไว้

โพธิ์ 

รูปแบบและขนาดวิธีใช้

  • ใช้ลดระดับน้ำตาลในเลือด ด้วยการนำใบโพธิ์แก่ 1 กำมือ นำมาต้มกับน้ำ 3 แก้ว ใช้แบ่งกินก่อนอาหารเช้าและเย็น
  • ใช้ยาแก้ไข้จับสั่นเรื้อรัง แก้ท้องผูก แก้ท้องผูก แก้ท้องร่วง แก้ร้อนในกระหายน้ำ โดยนำใบโพธิ์สดมาต้มกับน้ำดื่ม
  • ใช้ยาแก้โรคหัวใจ ช่วยขับพิษ โดยนำผลโพธิ์ ดิบมาต้มกับน้ำดื่ม
  • ใช้เป็นยาลดไข้ แก้ปัสสาวะอักเสบ เป็นยาระบาย โดยนำเมล็ดโพธิ์มาชงกับน้ำร้อนดื่ม
  • ใช้เป็นยาสมานแผล แก้แผลเปื่อย ทำให้หนองแห้ง แก้โรคผิวหนัง โดยนำเปลือกโพธิ์ต้นมาตำพอกบริเวณที่เป็น
  • ใช้รักษาโรคเกาต์ โดยนำรากโพธิ์มาต้มกับน้ำดื่ม
  • ใช้เป็นยาแก้ปวดฟัน รักษารากฟันเป็นหนอง โดยนำเปลือกต้นโพธิ์มาต้มกับน้ำใช้บ้วนปาก เช้า-เย็น
  • รักษาโรคเหงือก โดยนำรากโพธิ์มาต้มกับน้ำใช้บ้วนปากทุกเช้า
  • ใช้รักษาโรคหูด กัดหูด โดยนำยางโพธิ์มาทาบริเวณที่เป็นหูด เช้า-เย็น


ลักษณะทั่วไปของโพธิ์

โพธิ์ จัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ ผลัดใบสูงได้ 10-30 เมตร แตกกิ่งก้านสาขาออกเป็นพุ่มโปร่งบริเวณส่วนยอดของลำต้น ปลายกิ่งลู่ลงและมีรากอากาศตามกิ่งห้อยลงมา ลำต้นมีขนาดใหญ่ โดยจะมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 1.5-3 เมตร เปลือกต้นเรียบสีน้ำตาลปนเทาและมีน้ำยางสีขาว โคนต้นเป็นพุพอนขนาดใหญ่

           ใบโพธิ์ เป็นใบเดี่ยว ออกแบบเรียงสลับบริเวณปลายกิ่ง ใบโพธิ์ มีลักษณะห้อยลงและมีขนาดกว้าง 8-15 เซนติเมตร ยาว 12-24 เซนติเมตร โคนใบมนเว้าเข้าหาก้านใบเป็นรูปหัวใจ ปลายใบแหลมและมีติ่ง แผ่นใบมีสีเขียวนวล ผิวใบเกลี้ยงเป็นมัน เนื้อใบค่อนข้างเหนียว ยอดอ่อน หรือ ใบอ่อนนั้นเป็นสีน้ำตาลแดง ส่วนก้านใบจะยาว โดยมีความยาวได้ประมาณ 8-12 เซนติเมตร และมีหูใบยาว 0.5-1 เซนติเมตร

           ดอกโพธิ์ ออกเป็นช่อรวมกันเป็นกระจุกกลมๆ บริเวณซอกใบและปลายกิ่งโดยจะออกภายในฐานรองดอกรูปคล้ายผล ดอกย่อยมีขนาดเล็กเป็นแบบแยกเพศและมีจำนวนมาก ซึ่งจะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1-1.5 เซนติเมตร ไม่มีก้าน แต่มีใบประดับเล็กที่โคน ฐานดอกเป็นรูปทรง กลีบดอกเป็นสีเหลืองนวลและจะเจริญไปเป็นผลในที่สุด

           ผลโพธิ์ เป็นผลรวมมีลักษณะกลมขนาดเล็ก มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.8-1 เซนติเมตร ไม่มีก้านผลแต่มีกลีบเลี้ยง 4-5 กลีบ ติดอยู่ด้านล่างของผล ผลอ่อนเป็นสีเขียว เมื่อสุกแล้วจะเปลี่ยนสีชมพูม่วง สีแดงคล้ำ หรือ ม่วงดำ

โพธิ์
โพธิ์

การขยายพันธุ์โพธิ์

โพธิ์ สามารถขยายพันธุ์ได้หลายวิธีเช่น การเพาะเมล็ด ตอนกิ่ง หรือ ปักชำกิ่ง แต่วิธีที่เป็นที่นิยม คือ การเพาะเมล็ดเนื่องจาก โพธิ์ เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่และแผ่เรือนยอดกว้าง ดังนั้นการขยายพันธุ์จึงต้องใช้การเพาะเมล็ด เพราะจะได้ต้นกล้าที่มีระบบรากแก้วที่แข็งแรงและยึดกับดินได้ดี ทำให้เมื่อเจริญเติบโต สูงใหญ่ จะไม่หักล้มง่าย สำหรับวิธีการเพาะเมล็ดและการปลูกโพธิ์นั้น สามารถทำได้เช่นเดียวกันกับการเพาะเมล็ดและการปลูกไม้ยืนต้นในวงศ์ขนุน (MORACEAE) ชนิดอื่นๆ ตามที่ได้กล่าวมาแล้วในบทความก่อนหน้านี้ เช่น "ขนุน "


องค์ประกอบทางเคมี

มีรายงานปผลการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับองค์ประกอบทางเคมีของสารสกัดจากส่วนต่างๆของโพธิ์ระบุว่า พบสารออกฤทธิ์ที่สำคัญหลายชนิดอาทิเช่น ทั้งต้นพบ β-amyrin, β-sitosterol, bergapten, bergaptol, campesterol, stigmastero, fucosterol,28-iso, n-hentriacontane, lupen-3-one, solanesol, hexacosan-1-ol, lanosterol, lupeol, n-nonacosane, octacosan-1-ol, oleanolic acid methyl ester, pelargonidin-5, 7-dimethyl ether 3-O-α-L-rhamnoside ในใบและผลโพธิ์พบสาร Gallic acid, Tannic acid, Quercetin, Myricetin, Kaempferol, Serotonin รากและเปลือกโพธิ์ พบสาร β-sitosteryl, D-glucoside เปลือกและลำต้นโพธิ์พบสาร n-octacosanol, Methyl oleanolate, Lanosterol, Stigmasterol, Lupen-3-one

โครงสร้างโพธิ์

การศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของโพธิ์

มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของสารสกัดจากส่วนใบและเปลือกต้นของโพธิ์ระบุว่ามีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาหลายประการดังนี้

           ฤทธิ์ลดไขมันในเลือดและฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ มีรายงานผลการศึกษาวิจัยฤทธิ์ลดระดับไขมันในเลือดและฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดเอทานอล อีกทั้งสารสกัดเฮกเซนจากใบโพธิ์ (Ficus religiosa Linn.) ในหลอดทดลองพบว่า สารสกัดเอทานอลและสารสกัดเฮกเซนจากใบโพธิ์ มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ β-hydroxy-β-methylglutaryl coenzyme A reductase (เอนไซม์ชนิดนี้เกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์คอเลสเตอรอล) และมีฤทธิ์ในการกำจัดอนุมูลอิสระ DPPH โดยมีการทดลองในหนูแรทที่ได้รับคอเลสเตอรอลขนาด 30 ก. สัปดาห์ละ 5 ครั้ง เป็นเวลา 9 สัปดาห์ เพื่อเหนี่ยวนำให้เกิดภาวะไขมันในเลือดสูง เปรียบเทียบผลกับยา lipanthyl ซึ่งเป็นยามาตรฐานที่ใช้ลดระดับคอเลสเตอรอลและระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือด โดยป้อนสารสกัดเอทานอลในขนาด 500 มก./กก. น้ำหนักตัว แก่หนูกลุ่มแรก ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งป้อน lipanthyl 50 มก./กก. น้ำหนักตัว จากผลการทดลองพบว่าสารสกัดเอทานอลทำให้ระดับของไขมันรวม คอเลสเตอรอล low-density lipoprotein cholesterol (LDL-C), triglycerides, phospholipid, superoxide dismutase (SOD), malondialdehyde (MDA), aspartate transaminase (AST), alanine transaminase (ALT) และ alkaline phosphatase (ALP) ที่เพิ่มขึ้นจากการได้รับอาหารซึ่งมีไขมันสูง มีระดับลดลง ส่วนไขมันชนิด high-density lipoprotein cholesterol (HDL-C) และ glutathione (GSH) มีระดับเพิ่มขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้ค่าทางโลหิตวิทยาที่เสียไปดีขึ้นด้วย แม้ว่าประสิทธิภาพจะไม่เท่ากับยา lipanthyl ก็ตาม จึงสรุปได้ว่าสารสกัดเอทานอลจากใบโพธิ์มีประสิทธิภาพในการลดไขมันในเลือดและต้านอนุมูลอิสระ

           ฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือดและยังมีรายงานผลการศึกษาวิจัยฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือด ของสารสกัดโพธิ์ จากเปลือก โดยในการศึกษาแรกเป็นการศึกษาในหนูแรทปกติ โดยแบ่งหนูออกเป็น 4 กลุ่ม กลุ่มละ 6 ตัว กลุ่มที่ 1 เป็นกลุ่มควบคุมให้กินน้ำกลั่น กลุ่มที่ 2, 3 และ 4 ป้อนสารสกัดน้ำของเปลือกต้นโพธิ์บดผง ขนาด 25, 50 และ 100 มก./กก. ตามลำดับ ส่วนการศึกษาที่สองเป็นการศึกษาในหนูแรทที่เหนี่ยวนำให้เป็นเบาหวานด้วยสาร streptozotocin ขนาด 55 มก./กก. ฉีดเข้าทางช่องท้อง นาน 5 วัน เพื่อให้ระดับน้ำตาลในเลือด : fasting blood sugar มีค่ามากกว่า 250 มก./ดล. จากนั้นแบ่งหนูออกเป็น 6 กลุ่ม กลุ่มละ 6 ตัว กลุ่มที่ 1 เป็นกลุ่มควบคุมให้กินอาหารปกติกับน้ำกลั่น กลุ่มที่ 2 เป็นกลุ่มที่ทำให้เป็นเบาหวานร่วมกับน้ำกลั่น กลุ่มที่ 3, 4 และ 5 เป็นกลุ่มที่ทำให้เป็นเบาหวานร่วมกับการป้อนสารสกัดน้ำของเปลือกต้นโพธิ์บดผง ขนาด 25, 50 และ 100 มก./กก. ตามลำดับ และกลุ่มที่ 6 เป็นกลุ่มที่ทำให้เป็นเบาหวานร่วมกับยาแผนปัจจุบันที่ลดระดับน้ำตาลในเลือด glibenclamide 10 มก./กก. นาน 21 วัน

           จากการศึกษาวิจัยพบว่าการศึกษาในหนูปกติที่ป้อนสารสกัดน้ำของเปลือกต้นโพธิ์บดผง ขนาด 25, 50 และ 100 มก./กก. สามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ 13.44, 24.72 และ 26.2% ตามลำดับและการทดสอบความทนของกลูโคส (glucose tolerance test) ในหนูปกติ โดยป้อนสารสกัด 60 นาที ก่อนป้อนน้ำตาล พบว่าสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดหลังป้อนน้ำตาล 60 นาที ได้ 13.04, 20.15 และ 14.36% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับหนูที่ได้รับน้ำ ส่วนการศึกษาในหนูที่เหนี่ยวนำให้เป็นเบาหวาน พบว่าสารสกัดน้ำของเปลือกต้นโพธิ์ บดผง ขนาด 25, 50 และ 100 มก./กก. สามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ 28.56, 49.65 และ 48.58% ตามลำดับ ในขณะที่ยา glibenclamide สามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ 61.66% และสารสกัดยังมีผลเพิ่มระดับอินซูลิน เพิ่มระดับไกลโคเจนในตับและกล้ามเนื้อ ลดระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดโดยที่ขนาดสารสกัดน้ำของเปลือกต้นโพธิ์บดผงที่ให้ผลดีที่สุด คือ ขนาด 50 มก./กก. เมื่อเปรียบเทียบกับยา glibenclamide นอกจากนี้ยังพบว่าการเหนี่ยวนำให้หนูเป็นเบาหวานด้วย streptozotocin ทำให้หนูน้ำหนักตัวลดลง แต่กลุ่มที่ได้รับสารสกัดน้ำของเปลือกต้นโพธิ์บดผงทั้งสามขนาดน้ำหนักร่างกายสูงขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุมที่เป็นเบาหวาน สรุปได้ว่าสารสกัดน้ำของเปลือกต้นโพธิ์บดผง ขนาด 50 มก./กก. ให้ผลดีที่สุดในการลดระดับน้ำตาลในเลือดของหนูแรท ซึ่งให้ผลใกล้เคียงกับยาแผนปัจจุบัน glibenclamide ส่วนอีกการศึกษาวิจัยหนึ่งระบุว่ามีการศึกษาด้านจุลชีพ (antimicrobial) ของสารสกัดจากใบและเปลือกของโพธิ์ ระบุว่ามีฤทธิ์ต้านแบคทีเรียหลายชนิดและมีฤทธิ์ปกป้องตับจากยาก่อพิษ (isoniazid+rifampicin) ในหนูทดลอง


การศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาของโพธิ์

มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาของสารสกัดจากเปลือกต้นโพธิ์ระบุว่า มีรายงานการศึกษาด้านความเป็นพิษ โดยแบ่งหนูออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มละ 3 ตัว กลุ่มที่ 1 เป็นกลุ่มควบคุมให้กินน้ำกลั่น กลุ่มที่ 2 ป้อนสารสกัดน้ำของเปลือกต้นโพธิ์ บดผงขนาด 2,000 มก./กก. ครั้งเดียวจากการศึกษาวิจัย ผลการศึกษาวิจัยไม่พบความผิดปกติใดๆ ใน 24 ชม. รวมถึงการติดตามอีก 14 วัน ก็ไม่พบพยาธิสภาพที่ผิดปกติ

           นอกจากนี้ยังมีรายงานการทดสอบความเป็นพิษและรายงานผลการทดลอง ด้วยการฉีดสารสกัดด้วยเอทานอลและน้ำ จากเปลือกต้นโพธิ์ ในอัตราส่วน 1:1 เข้าช่องท้องของหนูทดลอง พบว่าในขนาดสูงสุดที่หนูทนได้คือ 500 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม


ข้อแนะนำและข้อควรระวัง

ในการใช้โพธิ์ เป็นยาสมุนไพรนั้น ควรระมัดระวังในการใช้เช่นเดียวกันกับการใช้สมุนไพรชนิดอื่นๆ โดยควรใช้ในขนาดและปริมาณที่เหมาะสมที่ได้ระบุไว้ในตำรับตำรายาต่างๆ ไม่ควรใช้ในขนาดที่มากจนเกินไป หรือ ใช้ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานจนเกินไป เพราะอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพในระยะยาวได้


เอกสารอ้างอิง โพธิ์
  1. ราชันย์ ภู่มา. (๒๕๕๙). สารานุกรมพืชในประเทศ (ฉบับย่อ) เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราสุดาฯ
  2. ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม, โพธิ์(โพ), หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. หน้า 575-576.
  3. จารุณ สิทธิวงศ์. สรรพคุณโพธิ์พฤกษ์ของพระพุทธเจ้า 5 พระองค์. วารสารพุทธศาสตร์ศึกษา ปีที่ 14 ฉบับที่ 1. มกราคม-มิถุนายน 2566. หน้า 257-263
  4. เต็ม สมิตินันท์. (๒๕๕๗). ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย. กรุงเทพฯ : สำนักงานหอพรรณไม้ สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม.
  5. เภสัชกรหญิง จุไรรัตน์. เกิดคอนแฝก.โพธิ์.หนังสือสมุนไพรบำบัดเบาหวาน 150 ชนิด หน้า 116-117.
  6. สุธรรม อารีกุล. (๕๕๒). องค์ความรู้เรื่องพืชป่าที่ใช้ประโยชน์ทางภาคเหนือของประเทศไทย เล่ม ๒. เชียงใหม่: มูลนิธิโครงการหลวง. ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์ : สืบค้น ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕, จาก http://www.gsbg.org/database/botanic_book%bofull%booption/search_page.asp
  7. ผลของสารสกัดจากใบโพธิ์ต่อหนูแรทที่มีภาวะคอเลสเตอรอลในเลือดสูง. ข่าวความเคลื่อนไหวสมุนไพร. สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
  8. ฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือดของสารสกัดจากต้นโพธิ์ในหนูที่เหนี่ยวนำให้เป็นเบาหวาน. ข่าวความเคลื่อนไหวสมุนไพร. สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.
  9. Berg, C.C., N. Pattharahirantricin and B. Chantarasuwan. (2011). Moracee. In Flora of Thailand Vol. 10(4): 637.
  10. Chandrasekar, S. B., Bhanumathy, M., Pawar, A. T., & Somasundaram, T. (2010).Phytopharmacology of Ficus religiosa-a review. International Journal of Pharma and Bio Sciences, 1(2), 1-7.
  11. Ibrahim, N. A. (2013).Investigating the anticancer effects of Ficus religiosa plant leaves (Doctoral dissertation, Al-Nahrain University). Baghdad, Iraq.172 pp.
  12. Khan, M. N., et al. (2012).Analgesic and anti-inflammatory activities of methanolic extract of Ficus religiosa leaves in experimental animals. Pakistan Journal of Pharmaceutical Sciences, 25(3), 607-611.
  13. Murugesu, S., Selamat, J., Perumal, V., & Saari, N. (2021).Phytochemistry, pharmacological properties, and recent applications of Ficus spp.: A review. Plants, 10(11), 2364.
  14. Khan, M. A., & Kumar, S. (2011).Phytochemical analysis and antioxidant activity of Ficus religiosa Linn. Journal of Chemical and Pharmaceutical Research, 3(3), 613-620.
  15. Singh, D., & Gupta, R. S. (2009).Antifertility study of Ficus religiosa on male albino rats. Natural Product Research, 23(9), 913-922.
  16. Parameswari, S. A., Shalini, M., & Kumar, S. D. (2013).Hepatoprotective activity of Ficus religiosa leaves against isoniazid + rifampicin-induced hepatotoxicity in rats. International Journal of Research in Pharmaceutical and Biomedical Sciences, 4(1), 265-269.
  17. Bruun-Lund, S. (2019).The evolution and diversification of Ficus L. (Doctoral thesis, University of Copenhagen).
  18. Gregory, M., Sharma, P., & Singh, A. (2013).Anti-ulcer activity of ethanolic extract of Ficus religiosa leaves in experimental rats. Asian Journal of Pharmaceutical and Clinical Research, 6(5), 68-71.