โพธิ์ ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย

โพธิ์ งานวิจัยและสรรพคุณ 12 ข้อ

ชื่อสมุนไพร โพธิ์

ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น  ศรีมหาโพธิ์ (ภาคกลาง), สลี,สะหลี (ภาคเหนือ), ย่อง (ไทยใหญ่),ปู (เขมร) , อัสสัตถะ(บาลี)

ชื่อวิทยาศาสตร์Ficus religiosa Linn.

ชื่อสามัญBodhi, Sacred fig, Pipal tree, Peepul tree.

วงศ์ MORACEAE

ถิ่นกำเนิด โพธิ์จัดเป็นพืชในวงศ์ขนุน (MORACEAE) ที่มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมในภูมิภาคเอเชียใต้ บริเวณแถบประเทศอินเดีย และพื้นที่แถบภูเขาหิมาลัย ในอินเดีย ศรีลังกา เนปาล ปากีสถาน จากนั้นจึงมีการแพร่กระจายพันธุ์ไปยังประเทศแถบคาบสมุทรอินโดจีนจนถึงจีนตอนใต้ โดยเชื่อกันว่าเป็นพืชที่มีมานานตั้งแต่สมัยพุทธกาลตามประวัติการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า สำหรับในประเทศไทยนั้นเข้าใจว่ามีการนำเข้ามาปลูก แล้วจึงแพร่กระจายในธรรมชาติ ภายหลังปัจจุบันสามารถพบได้ในวัดของทุกภาคของประเทศไทย ซึ่งถือเป็นไม้สักการะบูชารในศาสนาพุทธและยังพบได้ตามที่รกร้างทั้งในเมืองและในป่าตามธรรมชาติ ที่มีความสูงตั้งแต่ระดับน้ำทะเลจนถึงระดับ 1800 เมตร

ประโยชน์/สรรพคุณ มีการนำส่วนต่างๆของโพธิ์มาใช้ประโยชน์ดังนี้

ใบอ่อนใช้เลี้ยงหนอนไหม ซึ่งจะมีปริมาณของโปรตีนและธาตุหินปูนสูง นอกจากนี้ยังนิยมใช้ปลูกเป็นไม้ประดับวัดวาอารามต่างๆ โดยถือว่าเป็นไม้มงคล ศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในพุทธประวัติ จึงมักเห็นว่าเกือบทุกวัดจะมีการปลูกต้นโพธิ์ไว้ สำหรับสรรพคุณทางยา โพธิ์นั้นตามตำรายาพื้นบ้านต่างๆ ได้มีการระบุถึงสรรพคุณเอาไว้ว่า

  • ใบมีสรรพคุณช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด เป็นยาแก้ไข้จับสั่นเรื้อรัง ใช้รักษาโรคคางทูม รักษาโรคท้องผูก ท้องร่วงเป็นยาถ่ายพยาธิ เป็นยาแก้ไข้จับสั่นเรื้อรัง ใช้รักษาโรคคางทูม รักษาโรคท้องผูก ท้องร่วง เป็นยาถ่ายพยาธิเป็นยาบำบัดโรคผิวหนัง
  • ผล มีสรรพคุณเป็นยาแก้โรคหัวใจ ช่วยขับพิษ แก้ร้อนในกระหายน้ำ ช่วยรักษาโรคหืด เป็นยาระบาย
  • เมล็ด มีสรรพคุณใช้เป็นยาลดไข้ แก้โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบใช้เป็นยาระบาย
  • เปลือกต้น มีสรรพคุณใช้เป็นยาแก้เจ็บคอ ช่วยแก้อาการกระหายน้ำ แก้ปวดฟัน รักษารากฟันเป็นหนอง แก้โรคหนองใน ช่วยรักษาแผลเปื่อย สมานบาดแผล ห้ามเลือด ทำให้หนองแห้ง แก้โรคผิวหนัง แก้กล้ามเนื้อบวมช้ำ
  • ราก มีสรรพคุณใช้เป็นยารักษาโรคเหงือก ใช้เป็นยารักษาโรคเกาหลี
  • ยาง มีสรรพคุณใช้รักษาริดสีดวงทวาร กัด หู แก้เท้าเป็นหน่อ แก้เท้าเป็นพยาธิ

รูปแบบ/ขนาดวิธีใช้

  • ใช้ลดระดับน้ำตาลในเลือด ด้วยการนำใบแก่ 1 กำมือ นำมาต้มกับน้ำ 3 แก้ว ใช้แบ่งกินก่อนอาหารเช้าและเย็น
  • ใช้ยาแก้ไข้จับสั่นเรื้อรัง แก้ท้องผูก แก้ท้องผูก แก้ท้องร่วง แก้ร้อนในกระหายน้ำ โดยนำใบสดมาต้มกับน้ำดื่ม
  • ใช้ยาแก้โรคหัวใจ ช่วยขับพิษ โดยนำผลดิบมาต้มกับน้ำดื่ม
  • ใช้เป็นยาลดไข้ แก้ปัสสาวะอักเสบ เป็นยาระบาย โดยนำเมล็ดมาชงกับน้ำร้อนดื่ม
  • ใช้เป็นยาสมานแผล แก้แผลเปื่อย ทำให้หนองแห้ง แก้โรคผิวหนัง โดยนำเปลือกต้นมาตำพอกบริเวณที่เป็น
  • ใช้รักษาโรคเกาต์ โดยนำรากมาต้มกับน้ำดื่ม
  • ใช้เป็นยาแก้ปวดฟัน รักษารากฟันเป็นเป็นหนอง โดยนำเปลือกต้นมาต้มกับน้ำใช้บ้วนปาก เช้า-เย็น
  • รักษาโรคเหงือก โดยนำรากมาต้มกับน้ำใช้บ้วนปากทุกเช้า
  • ใช้รักษาโรคหูด กัดหูด โดยนำยางมาทาบริเวณที่เป็นหูด เช้า-เย็น

ลักษณะทั่วไป โพธิ์จัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ ผลัดใบสูงได้ 10-30 เมตร แตกกิ่งก้านสาขาออกเป็นพุ่มโปร่งบริเวณส่วนยอดของลำต้น ปลายกิ่งลู่ลง และมีรากอากาศตามกิ่งห้อยลงมา ลำต้นมีขนาดใหญ่ โดยจะมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 1.5-3 เมตร เปลือกต้นเรียบสีน้ำตาลปนเทา และมีน้ำยางสีขาว โคนต้นเป็นพุพอนขนาดใหญ่  ใบเป็นใบเดี่ยว ออกแบบเรียงสลับบริเวณปลายกิ่งใบมีลักษณะห้อยลง และมีขนาดกว้าง 8-15 เซนติเมตร ยาว 12-24 เซนติเมตร โคนใบมนเว้าเข้าหาก้านใบเป็นรูปหัวใจ ปลายใบแหลมและมีติ่ง แผ่นใบมีสีเขียวนวล ผิวใบเกลี้ยงเป็นมัน เนื้อใบค่อนข้างเหนียว ยอดอ่อนหรือใบอ่อนนั้นเป็นสีน้ำตาลแดง ส่วนก้านใบจะยาว โดยมีความยาวได้ประมาณ 8-12 เซนติเมตร และมีหูใบยาว 0.5-1 เซนติเมตร ดอกออกเป็นช่อรวมกันเป็นกระจุกกลมๆ บริเวณซอกใบและปลายกิ่งโดยจะออกภายในฐานรองดอกรูปคล้ายผล ดอกย่อยมีขนาดเล็กเป็นแบบแยกเพศ และมีจำนวนมาก ซึ่งจะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1-1.5 เซนติเมตร ไม่มีก้าน แต่มีใบประดับเล็กที่โคน ฐานดอกเป็นรูปทรง กลีบดอกเป็นสีเหลืองนวล และจะเจริญไปเป็นผลในที่สุด ผลเป็นผลรวม มีลักษณะกลมขนาดเล็ก มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาวง 0.8-1 เซนติเมตร ไม่มีก้านผล แต่มีกลีบเลี้ยง 4-5 กลีบติดอยู่ด้านล่างของผล ผลอ่อนเป็นสีเขียว เมื่อสุกแล้วจะเปลี่ยนสีชมพูม่วง สีแดงคล้ำ หรือม่วงดำ

การขยายพันธุ์  โพธิ์สามารถขยายพันธุ์ได้หลายวิธีเช่น การเพาะเมล็ด ตอนกิ่ง หรือ ปักชำกิ่ง แต่วิธีที่เป็นที่นิยม คือ การเพาะเมล็ดเนื่องจาก โพธิ์เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ และแผ่เรือนยอดกว้าง ดังนั้นการขยายพันธุ์จึงต้องใช้การเพาะเมล็ด เพราะจะได้ต้นกล้าที่มีระบบรากแก้วที่แข็งแรง และยึดกับดินได้ดี ทำให้เมื่อเจริญเติบโต สูงใหญ่ จะไม่หักล้มง่าย สำหรับวิธีการเพาะเมล็ดและการปลูกโพธิ์นั้น สามารถทำได้เช่นเดียวกันกับการเพาะเมล็ดและการปลูกไม้ยืนต้นในวงศ์ขนุน (MORACEAE) ชนิดอื่นๆ ตามที่ได้กล่าวมาแล้วในบทความก่อนหน้านี้

องค์ประกอบทางเคมี มีรายงานปผลการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับองค์ประกอบทางเคมีของสารสกัดจากส่วนต่างๆของโพธิ์ระบุว่า พบสารออกฤทธิ์ที่สำคัญหลายชนิดอาทิเช่น ทั้งต้นพบ β-amyrin, β-sitosterol,  bergapten, bergaptol, campesterol, stigmastero, fucosterol,28-iso, n-hentriacontane, lupen-3-one,  solanesol,hexacosan-1-ol, lanosterol, lupeol, n-nonacosane, octacosan-1-ol, oleanolic acid methyl ester, pelargonidin-5, 7-dimethyl ether 3-O-α-L-rhamnoside ในใบและผลพบสาร Gallic acid, Tannic acid, Quercetin, Myricetin, Kaempferol, Serotonin   รากและเปลือกพบ สาร β-sitosteryl-D-glucoside  เปลือกและลำต้นพบสาร  n-octacosanol, Methyl oleanolate, Lanosterol, Stigmasterol, Lupen-3-one

การศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยา มีรายงนผลการศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของสารสกัดจากส่วนใบและเปลือกต้นของโพธิ์ระบุว่ามีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาหลายประการดังนี้

ฤทธิ์ลดไขมันในเลือดและฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ มีรายงานผลการศึกษาวิจัยฤทธิ์ลดระดับไขมันในเลือดและฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดเอทานอลและสารสกัดเฮกเซนจากใบโพธิ์ (Ficus religiosa  Linn.) ในหลอดทดลองพบว่า สารสกัดเอทานอลและสารสกัดเฮกเซนจากใบโพธิ์ มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ β-hydroxy-β-methylglutaryl coenzyme A reductase (เอนไซม์ชนิดนี้เกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์คอเลสเตอรอล) และมีฤทธิ์ในการกำจัดอนุมูลอิสระ DPPH โดยมีการทดลองในหนูแรทที่ได้รับคอเลสเตอรอลขนาด 30 ก. สัปดาห์ละ 5 ครั้ง เป็นเวลา 9 สัปดาห์ เพื่อเหนี่ยวนำให้เกิดภาวะไขมันในเลือดสูง เปรียบเทียบผลกับยา lipanthyl ซึ่งเป็นยามาตรฐานที่ใช้ลดระดับคอเลสเตอรอลและระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือด โดยป้อนสารสกัดเอทานอลในขนาด 500 มก./กก. น้ำหนักตัว แก่หนูกลุ่มแรก ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งป้อน lipanthyl 50 มก./กก. น้ำหนักตัว จากผลการทดลองพบว่าสารสกัดเอทานอลทำให้ระดับของไขมันรวม คอเลสเตอรอล low-density lipoprotein cholesterol (LDL-C), triglycerides, phospholipid, superoxide dismutase (SOD), malondialdehyde (MDA), aspartate transaminase (AST), alanine transaminase (ALT) และ alkaline phosphatase (ALP) ที่เพิ่มขึ้นจากการได้รับอาหารซึ่งมีไขมันสูง มีระดับลดลง ส่วนไขมันชนิด high-density lipoprotein cholesterol (HDL-C) และ glutathione (GSH) มีระดับเพิ่มขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้ค่าทางโลหิตวิทยาที่เสียไปดีขึ้นด้วย แม้ว่าประสิทธิภาพจะไม่เท่ากับยา lipanthyl ก็ตาม จึงสรุปได้ว่าสารสกัดเอทานอลจากใบโพธิ์มีประสิทธิภาพในการลดไขมันในเลือดและต้านอนุมูลอิสระ

ฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือด และยังมีรายงานผลการศึกษาวิจัยฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือด ของสารสกัดจากเปลือกต้นโพธิ์ โดยในการศึกษาแรกเป็นการศึกษาในหนูแรทปกติ โดยแบ่งหนูออกเป็น 4 กลุ่มๆ ละ 6 ตัว กลุ่มที่ 1 เป็นกลุ่มควบคุมให้กินน้ำกลั่น กลุ่มที่ 2, 3 และ 4 ป้อนสารสกัดน้ำของเปลือกต้นโพธิ์บดผง ขนาด 25, 50 และ 100 มก./กก. ตามลำดับ ส่วนการศึกษาที่สองเป็นการศึกษาในหนูแรทที่เหนี่ยวนำให้เป็นเบาหวานด้วยสาร streptozotocin ขนาด 55 มก./กก. ฉีดเข้าทางช่องท้อง นาน 5 วัน เพื่อให้ระดับน้ำตาลในเลือด : fasting blood sugar มีค่ามากกว่า 250 มก./ดล. จากนั้นแบ่งหนูออกเป็น 6 กลุ่มๆ ละ 6 ตัว กลุ่มที่ 1 เป็นกลุ่มควบคุมให้กินอาหารปกติกับน้ำกลั่น กลุ่มที่ 2 เป็นกลุ่มที่ทำให้เป็นเบาหวานร่วมกับน้ำกลั่น กลุ่มที่ 3, 4 และ 5 เป็นกลุ่มที่ทำให้เป็นเบาหวานร่วมกับการป้อนสารสกัดน้ำของเปลือกต้นโพธิ์บดผง ขนาด 25, 50 และ 100 มก./กก. ตามลำดับ และกลุ่มที่ 6 เป็นกลุ่มที่ทำให้เป็นเบาหวานร่วมกับยาแผนปัจจุบันที่ลดระดับน้ำตาลในเลือด glibenclamide 10 มก./กก. นาน 21 วัน 

จากการศึกษาวิจัยพบว่าการศึกษาในหนูปกติที่ป้อนสารสกัดน้ำของเปลือกต้นโพธิ์บดผง ขนาด 25, 50 และ 100 มก./กก. สามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ 13.44, 24.72 และ 26.2% ตามลำดับ และการทดสอบความทนของกลูโคส (glucose tolerance test) ในหนูปกติ โดยป้อนสารสกัด 60 นาที ก่อนป้อนน้ำตาล พบว่าสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดหลังป้อนน้ำตาล 60 นาที ได้ 13.04, 20.15 และ 14.36% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับหนูที่ได้รับน้ำ ส่วนการศึกษาในหนูที่เหนี่ยวนำให้เป็นเบาหวาน พบว่าสารสกัดน้ำของเปลือกต้นโพธิ์บดผง ขนาด 25, 50 และ 100 มก./กก. สามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ 28.56, 49.65 และ 48.58% ตามลำดับ ในขณะที่ยา glibenclamide สามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ 61.66% และสารสกัดยังมีผลเพิ่มระดับอินซูลิน เพิ่มระดับไกลโคเจนในตับและกล้ามเนื้อ ลดระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดโดยที่ขนาดสารสกัดน้ำของเปลือกต้นโพธิ์บดผงที่ให้ผลดีที่สุด คือ ขนาด 50 มก./กก. เมื่อเปรียบเทียบกับยา glibenclamide นอกจากนี้ยังพบว่าการเหนี่ยวนำให้หนูเป็นเบาหวานด้วย streptozotocin ทำให้หนูน้ำหนักตัวลดลง แต่กลุ่มที่ได้รับสารสกัดน้ำของเปลือกต้นโพธิ์บดผงทั้งสามขนาดน้ำหนักร่างกายสูงขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุมที่เป็นเบาหวาน สรุปได้ว่าสารสกัดน้ำของเปลือกต้นโพธิ์บดผง ขนาด 50 มก./กก. ให้ผลดีที่สุดในการลดระดับน้ำตาลในเลือดของหนูแรท ซึ่งให้ผลใกล้เคียงกับยาแผนปัจจุบัน glibenclamide ส่วนอีกการศึกษาวิจัยหนึ่งระบุว่ามีการศึกษาด้านจุลชีพ (antimicrobial) ของสารสกัดจากใบและเปลือกของโพธิ์ ระบุว่ามีฤทธิ์ต้านแบคทีเรียหลายชนิด และมีฤทธิ์ปกป้องตับจากยาก่อพิษ (isoniazid+rifampicin) ในหนูทดลอง

การศึกษาวิจัยทางพิษวิทยา มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาของสารสกัดจากเปลือกต้นโพธิ์ระบุว่า มีรายงาน การศึกษาด้านความเป็นพิษ โดยแบ่งหนูออกเป็น 2 กลุ่มๆ ละ 3 ตัว กลุ่มที่ 1 เป็นกลุ่มควบคุมให้กินน้ำกลั่น กลุ่มที่ 2 ป้อนสารสกัดน้ำของเปลือกต้นโพธิ์บดผงขนาด 2,000 มก./กก. ครั้งเดียวจากการศึกษาวิจัย ผลการศึกษาวิจัยไม่พบความผิดปกติใดๆ ใน 24 ช.ม. รวมถึงการติดตามอีก 14 วัน ก็ไม่พบพยาธิสภาพที่ผิดปกติ

            นอกจากนี้ยังมีรายงานการทดสอบความเป็นพิษและรายงานผลการทดลอง ด้วยการฉีดสารสกัดด้วยเอทานอลและน้ำ จากเปลือกต้นโพธิ์ ในอัตราส่วน 1:1 เข้าช่องท้องของหนูทดลอง พบว่าในขนาดสูงสุดที่หนูทนได้คือ 500 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม

ข้อแนะนำ/ข้อควรระวัง ในการใช้โพธิ์เป็นยาสมุนไพรนั้น ควรระมัดระวังในการใช้เช่นเดียวกันกับการใช้สมุนไพรชนิดอื่นๆ โดยควรใช้ในขนาด/ปริมาณที่เหมาะสมที่ได้ระบุไว้ในตำรับตำรายาต่างๆ ไม่ควรใช้ในขนาดที่มากจนเกินไป หรือใช้ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานจนเกินไป เพราะอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพในระยะยาวได้

อ้างอิงโพธิ์

  1. ราชันย์ ภู่มา. (๒๕๕๙). สารานุกรมพืชในประเทศ (ฉบับย่อ) เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราสุดาฯ
  2. ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม,โพธิ์(โพ),หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย,ฉบับพิมพ์ครั้งที่5.หน้า575-576.
  3. จารุณ สิทธิวงศ์.สรรพคุณโพธิ์พฤกษ์ของพระพุทธเจ้า 5 พระองค์.วารสารพุทธศาสตร์ศึกษา ปีที่14 ฉบับที่1.มกราคม-มิถุนายน 2566. หน้า257-263
  4. เต็ม สมิตินันท์. (๒๕๕๗). ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย. กรุงเทพฯ : สำนักงานหอพรรณไม้ สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช กรมอุทยาแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม.
  5. เภสัชกรหญิง จุไรรัตน์ เกิดคอนแฝก.โพธิ์.หนังสือสมุนไพรบำบัดเบาหวาน 150 ชนิด หน้า116-117.
  6. สุธรรม อารีกุล. (๕๕๒). องค์ความรู้เรื่องพืชป่าที่ใช้ประโยชน์ทางภาคเหนือของประเทศไทย เล่ม ๒. เชียงใหม่: มูลนิธิโครงการหลวง.ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์ : สืบค้น ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕, จาก http://www.gsbg.org/database/botanic_book%bofull%booption/search_page.asp
  7. ผลของสารสกัดจากใบโพธิ์ต่อหนูแรทที่มีภาวะคอเลสเตอรอลในเลือดสูง.ข่าวความเคลื่อนไหวสมุนไพร.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
  8. ฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือดของสารสกัดจากต้นโพธิ์ในหนูที่เหนี่ยวนำให้เป็นเบาหวาน.ข่าวความเคลื่อนไหวสมุนไพร.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.
  9. Berg, C.C., N. Pattharahirantricin and B. Chantarasuwan. (2011). Moracee. In Flora of Thailand Vol. 10(4): 637.
  10. Chandrasekar, S. B., Bhanumathy, M., Pawar, A. T., & Somasundaram, T. (2010).Phytopharmacology of Ficus religiosa — a review. International Journal of Pharma and Bio Sciences, 1(2), 1–7.
  11. Ibrahim, N. A. (2013).Investigating the anticancer effects of Ficus religiosa plant leaves (Doctoral dissertation, Al-Nahrain University). Baghdad, Iraq.172 pp.
  12. Khan, M. N., et al. (2012).Analgesic and anti-inflammatory activities of methanolic extract of Ficus religiosa leaves in experimental animals. Pakistan Journal of Pharmaceutical Sciences, 25(3), 607–611.
  13. Murugesu, S., Selamat, J., Perumal, V., & Saari, N. (2021).Phytochemistry, pharmacological properties, and recent applications of Ficus spp.: A review. Plants, 10(11), 2364.
  14. Khan, M. A., & Kumar, S. (2011).Phytochemical analysis and antioxidant activity of Ficus religiosa Linn. Journal of Chemical and Pharmaceutical Research, 3(3), 613–620.
  15. Singh, D., & Gupta, R. S. (2009).Antifertility study of Ficus religiosa on male albino rats. Natural Product Research, 23(9), 913–922.
  16. Parameswari, S. A., Shalini, M., & Kumar, S. D. (2013).Hepatoprotective activity of Ficus religiosa leaves against isoniazid + rifampicin-induced hepatotoxicity in rats. International Journal of Research in Pharmaceutical and Biomedical Sciences, 4(1), 265–269.
  17. Bruun-Lund, S. (2019).The evolution and diversification of Ficus L. (Doctoral thesis, University of Copenhagen).
  18. Gregory, M., Sharma, P., & Singh, A. (2013).Anti-ulcer activity of ethanolic extract of Ficus religiosa leaves in experimental rats. Asian Journal of Pharmaceutical and Clinical Research, 6(5), 68–71.