สับปะรด ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย
สับปะรด งานวิจัยและสรรพคุณ 22ข้อ
ชื่อสมุนไพร สับปะรด
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น บะะเขือหนัด , บะหนัด , บ่อหนัด (ภาคเหนือ) , ขนุนทอง , ย่านนัด , ย่านัด (ภาคใต้) , บักนัด (ภาคอีสาน) ลิงทอง (เพชรบูรณ์) , แนะ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) , แนะซะ (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี) , หมากเก็ง (ไทยใหญ่) , ม้าเนื่อ (เขมร)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Ananas comosus (L.)
ชื่อสามัญ Pineapple
วงศ์ Bromeliaceae
ถิ่นกำเนิดสับปะรด
สับปะรดมีถิ่นกำเนิดในทวีปอเมริกาใต้ทางตอนกลาง และตอนใต้ของบราซิลและตอนเหนือของปารากวัยและอาร์เจนตินาโดยชาวพื้นเมืองมักจะปลูกสับปะรดกันตามบริเวณชายฝั่งตะวันออกและตอนเหนือของทวีปอเมริกาใต้ ริมฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกและแปซิฟิกของอเมริกากลาง และหมู่เกาะต่างๆ ในแถบเวสท์อินดี้ส์ก่อนที่ชาวยุโรปจะเดินเรือไปยังซีกโลกตะวันตก
นักเดินเรือชาวสเปน ชื่อคริสสโตเฟอร์ โคลัมบัส นับเป็นชาวยุโรปที่เดินเรือไปพบสับปะรดเข้าเป็นครั้งแรกเมื่อ ปี ค.ศ.1493 (พ.ศ.2036) ที่หมู่บ้านชาวพื้นเมือง และหลังจากรับประทานผลสับปะรดแล้วได้ตั้งชื่อเกาะนั้นว่ากัวเดอลูป (Guadaloupe) ต่อมานักเดินเรือชาวสเปนและโปรตุเกสจึงเป็นผู้เผยแพร่พันธุ์สับปะรดไปยังประเทศต่างๆทั่วโลก
สำหรับในประเทศไทยมีรายงานว่า พบสับปะรดครั้งแรกราว พ.ศ.2223-243 ซึ่งตรงกับสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช จึงมีการสันนิษฐานว่าชาวโปรตุเกส ซึ่งเข้ามาติดต่อกับประเทศไทยเป็นผู้นำสับปะรดเข้ามาและสับปะรดยุคนั้นน่าจะเป็นพันธุ์อินทรซิต หรือสับปะรดกลุ่มสแปนนิช (Spanish)
ประโยชน์และสรรพคุณสับปะรด
- ช่วยขับเหงื่อ ห้ามเลือด
- แก้ทางปัสสาวะ
- ขับพยาธิ ฆ่าพยาธิ
- แก้โลหิตระดู
- บำรุงโลหิต
- แก้นิ่ว
- แก้ระดูขาว
- เป็นยาระบาย
- แก้หนองใน
- ช่วยย่อยอาหาร
- แก้ปัสสาวะพิการ (ปัสสาวะขัด) ขับปัสสาวะ
- กัดเสมหะในลำคอ
- แก้เสมหะเหนียว ขับเสมหะ
- แก้ไอ
- ระงับการอักเสบและบวม
- ทำให้แผลหายเร็ว
- แก้กระษัย
- ทำให้ไตมีสุขภาพดี
- ช่วยทำให้ระบบขับถ่ายทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
- ช่วยกระตุ้นฮอร์โมนเพศชาย
- ช่วยเพิ่มระดับเทสโทสเตอโรน
- ช่วยบรรเทาโรคเก๊าท์
สับปะรดใช้รับประทานเป็นผลไม้ที่เมื่อรับประทานแล้วจะรู้สึกสบายท้อง ไม่รู้สึกอึดอัด หรือนำมาปรุงเป็นอาหาร เช่น แกงสับปะรด ผัดเปรี้ยวหวาน เป็นต้น หรือจะนำมาใช้แปรรูปเป็นสับปะรดกระป๋อง ทำเป็นสับปะรดกวน ไวน์สับปะรด แยมสับปะรด สับปะรดอบแห้ง น้ำผลไม้รวม น้ำสับปะรด น้ำส้มสายชู หรือใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง และอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ ก็ได้
รูปแบบและขนาดวิธีใช้
สำหรับการบริโภคสับปะรดที่เหมาะสมต่อวัน คือ เนื้อสับปะรด 2 ชิ้น ซึ่งจะมีวิตามินซีอยู่ประมาณ 100 มิลลิกรัม สับปะรดที่ถูกแปรรูปแล้ว และอยู่ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น น้ำสับปะรด ผลิตภัณฑ์เหล่านั้นมักมีสารโบรมีเลนอยู่ประมาณ 500 มิลลิกรัม
สำหรับการใช้สารโบรมีเลนที่เป็นสารสกัดจากสับปะรดเพื่อผลทางการรักษา ต้องอยู่ภายใต้ดุลยพินิจของแพทย์เท่านั้น ซึ่งแพทย์จะพิจารณาปริมาณตามความเหมาะสม (โดยปริมาณทั่วไปอยู่ที่ครั้งละ 40 มิลลิกรัม 3-4 ครั้ง/วัน) ส่วนในขนาดการใช้ตามตำราสมุนไพรคือ แก้อาการขัดเบา ช่วยขับปัสสาวะ ใช้เหง้าสดหรือแห้งวันละ 1 กำมือ (สดหนัก 200-250 กรัม แห้งหนัก 90-100 กรัม) ต้มกับน้ำดื่ม ครั้งละ 1 ถ้วยชา (75 มิลลิลิตร) วันละ 3 ครั้ง ก่อนอาหาร บรรเทาอาการปวดของโรคเกาต์ โดยทานสับปะรด 1/4 ผล (ขนาดเล็ก) วันละ 2-3 ครั้ง หลังอาหาร 1 ชั่วโมงครึ่ง
ลักษณะทั่วไปสับปะรด
สับปะรดเป็นไม้ล้มลุก สูง 50 - 125 ซม. ลำต้นใต้ดิน ปล้องสั้น ไม่แตกกิ่งก้านมีแต่กาบใบห่อหุ้มลำต้น ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงเวียนถี่ ไม่มีก้านใบ ใบเรียวยาว โคนใบเป็นกาบหุ้มลำต้น ใบเดี่ยวเกิดจากรากเรียงเวียนเป็นกระจุก รูปแถบ กว้าง 1.5 - 6 ซม. ยาว 50 - 150 ซม. ขอบใบโค้งขึ้นมีหนามแหลมคล้ายกับใบว่านหางจระเข้ เนื้อใบหนา แข็ง มีเส้นใย ท้องใบมีเกล็ดสีขาว ดอกช่อเชิงลดออกที่ปลายยอด ใบประดับสีแดง เหลืองหรือเขียว กลีบเลี้ยงเชื่อมติดกันปลายแยกเป็นแฉก รูปไข่แกมสามเหลี่ยม กลีบดอกรูปแถบแกมขอบขนาน ปลายแหลม โคนกลีบสีขาว ปลายกลีบสีม่วงหรือแกมชมพู ยาว 16 - 26 มม. เป็นผลรวมรูปรี โคนกว้าง ปลายสอบ มีใบสั้นเป็นกระจุกที่ปลายผล เรียกว่าตะเกียง ผลจะเป็นชนิดผลรวมอัดกันแน่นอยู่บนแกนกลาง และต่อเลยเป็นก้านของผลซึ่งกลมและใหญ่ เนื้อของผลรวมเมื่อสุกมีรสหวาน หรือหวานอมเปรี้ยว มีน้ำมาก ผลส่วนมากมักมีสีเขียวเมื่อยังไม่สุก หรือสีน้ำตาลแดง และเมื่อสุกสีจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอมเขียว บางพันธุ์เหลืองอมส้ม
การขยายพันธุ์สับปะรด
ในปัจจุบันการขยายพันธุ์สับปะรดนิยมทำ 2 วิธี คือ การปลูกด้วยหน่อ และการปลูกด้วยจุก โดยมีวิธีการดังนี้
การปลูกด้วยหน่อ คัดเลือดหน่อให้มีขนาดเท่าๆกันในแต่ละแปลง และไม่ควรใช้หน่อที่หักจากต้นไว้ นานเกินไป แล้วขุดหลุมกว้างพอประมาณเป็นลักษณะแถวคู่ โดยมีระยะห่างระหว่างต้นxระหว่างแถวxระหว่างแถวคู่ ประมาณ 30x60x90 เซนติเมตร แล้วนำหน่อพันธุ์ที่ชุบจุลินทรีย์ไตรโคเดอร์มาแล้วลงปลูก กลบดิน รดน้ำ ใส่ปุ๋ยอย่างสม่ำเสมอ
การปลูกด้วยจุก คัดเลือกจุกที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 180 กรัมขึ้นไป และให้มีขนาดเท่าๆกัน แล้วนำไปชุบด้วยจุลินทรีย์ไตรโคเดอร์มาเพื่อป้องกันโรคราเน่า โดยให้ปลูกในลักษณะแถวคู่ให้มีระยะห่าง 30x30x90 เซนติเมตรส่วนสับปะรดที่นิยมปลูกในประเทศไทยมีอยู่ประมาณ 3 กลุ่มคือ Cayenne (พันธุ์ปัตตาเวียหรือที่เรียกว่าสับปะรดศรีราชา และพันธุ์นางแล), Queen (พันธุ์ภูเก็ต), และ Spanish (พันธุ์อินทรชิตและพันธุ์ขาว)สำหรับแหล่งปลูกที่สำคัญ ๆ ในไทยมักจะอยู่ใกล้ ๆ ทะเล เช่น ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี ชลบุรี หรืออุตรดิตถ์ ลำปาง พิษณุโลก เป็นต้น
องค์ประกอบทางเคมี
ในสับปะรดมีสารออกฤทธิ์สำคัญๆ คือสารในกลุ่ม phytoestrogens, isoflavones, lignans, phenolics โดยสามารถแยกตามส่วนต่างๆ ดังนี้
- เหง้า มี Protein
- ลำต้น มี Bromelain, Peroxidase, Amylase, Proteinase (มีรายงานว่าในส่วนลำต้นที่มีอายุ 3 ปี จะมีเอนไซม์ Bromelain มากที่สุด)
- ใบ มี Hemicellulose, Bromelain, Campestanol
- ผล มี Acetaldehyde, Ethyl acetate, Acetone
- น้ำมันหอมระเหย มี Isobutanol
นอกจากนี้ยังพบ Citric acid , Malic acid , Ascobic acid , 1-glutamic acid และ flavonoids รวมอยู่ด้วย ส่วนคุณค่าทางโภชนาการของสับปะรด ประกอบไปด้วย
คุณค่าทางโภชนาการของสับปะรด (100 กรัม)
o พลังงาน 50 กิโลแคลลอรี
o น้ำ 86 กรัม
o โปรตีน 0.54 กรัม
o ไขมันรวม 0.12 กรัม
o คาร์โบไฮเดรต 13.12 กรัม
o ไฟเบอร์ 1.4 กรัม
o น้ำตาล 9.85 กรัม
o แคลเซียม 13 มิลลิกรัม
o ธาตุเหล็ก 0.29 มิลลิกรัม
o แมกนีเซียม 12 มิลลิกรัม
o ฟอสฟอรัส 8 มิลลิกรัม
o โพแทสเซียม 109 มิลลิกรัม
o โซเดียม 1 มิลลิกรัม
o สังกะสี 0.12 มิลลิกรัม
o วิตามินเอ 58 IU
o วิตามินบี 1 0.079 มิลลิกรัม
o วิตามินบี 2 0.032 มิลลิกรัม
o วิตามินบี 3 0.5 มิลลิกรัม
o วิตามินบี 4 0.231 มิลลิกรัม
o วิตามินบี 6 0.112 มิลลิกรัม
o วิตามินซี 47.8 มิลลิกรัม
o โฟเลต 18 µg
o โคลีน 5.5 มิลลิกรัม
o แบงกานีส 0.927 มิลลิกรัม
รูปภาพองค์ประกอบทางเคมีของสับปะรด
การศึกษาทางเภสัชวิทยา
การศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาพบว่าน้ำคั้นจากสับปะรดมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระอย่างอ่อน มีฤทธิ์ต้านแบคทีเรีย ต้านการอักเสบ และยับยั้งการเกิดมะเร็ง เอนไซม์บรอมมีเลนมีฤทธิ์ย่อยโปรตีน ช่วยเพิ่มภูมิต้านทาน ต้านมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งเต้านมและมะเร็งรังไข่ ยับยั้งการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด ช่วยย่อยอาหาร และมีฤทธิ์ลดอาการบวมและการอักเสบ การทดสอบทางคลินิกในผู้ป่วยที่มีอาการปวดเข่าโดยให้ผู้ป่วยรับประทานยาเม็ดที่มีเอนไซม์บรอมมีเลนขนาด 200 และ 400 มก./วัน พบว่าผู้ป่วยมีอาการปวดลดลง
การศึกษาทางพิษวิทยา
มีรายงานว่าการบริโภคสับปะรดมากเกินไปสามารถทำให้เกิดกระเพาะปัสสาวะอักเสบได้ และสารสกัดน้ำจากส่วนเหง้าของสับปะรดอาจมีพิษต่อไต และทำให้ระดับเม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้น แต่สำหรับในแกนหรือไส้ของสับปะรดยังไม่มีรายงานความเป็นพิษต่อไตและตับ
ข้อแนะนำและข้อควรระวัง
- การรับประทานสับปะรดหลังมื้ออาหารจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการย่อยอาหาร ซึ่งการรับประทานสับปะรดอาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองเล็กน้อยภายในปาก ริมฝีปาก และลิ้นได้
- ไม่ควรทานสับปะรดตอนท้องว่าง เพราะเป็นผลไม้ที่มีเอนไซม์มาก มีรสเปรี้ยว ทานแล้วอาจระคายเคืองกระเพาะอาหาร
- โดยทั่วไป การบริโภคสับปะรดจะปลอดภัยหากรับประทานในปริมาณที่พอดี
- สำหรับผู้ที่แพ้พืชในตระกูลเดียวกับสับปะรดควรหลีกเลี่ยงการรับประทาน
- สารโบรมีเลนในสับปะรดมีความเป็นพิษต่ำมาก แต่อย่างไรก็ตาม สารนี้อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงจากการบริโภคได้ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ท้องร่วง ประจำเดือนมามากกว่าปกติ หรืออาจมีผดผื่นคันตามผิวหนัง
เอกสารอ้างอิง
- ภก.กฤติยา ไชยนอก.สับปะรด ผลไม้รักษาโรค.บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน. สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.
- นันทวัน บุณยะประภัทศร, บรรณาธิการ. สมุนไพรไม้พื้นบ้าน 4. กรุงเทพฯ: บริษัทประชาชนจำกัด, 2543: 740 หน้า.
- อรัญญา ศรีบุศราคัม. สับปะรด. จุลสารข้อมูลสมุนไพร 2544;18(4):3-7.
- สับปะรด.กลุ่มบาขับปัสสาวะ สรรพคุณสมุนไพร 200 ชนิด .โครงการอนุรักษ์พันธุ์กรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี(ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก http://www.repg.or.th/plant_data/herbs_12_5.htm
- กฤติยาไชยนอก. น้ำผักผลไม้เพื่อสุขภาพ. จุลสารข้อมูลสมุนไพร 2554;28(4):9-20.
- คุณประโยชน์ของแกนสับปะรด.กระดานถาม-ตอบ.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัย(ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก http://www.medplant.mahidol.ac.th/user/reply.asp?id=5751
- สับปะรด ผลไม้มากคุณประโยชน์.พบแพทย์ดอทคอม (ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก http://www.pobpad.com
- Backer CA, Brink RCB. Flora of Java Vol. III. Groningen: N.V. Wolters-Norrdhoff, 1968:761pp.
- The Thailand research fund (TRF). Durian. Proceeding of “Thai fruits-functional fruits” THAIFEX World of Food Asia 2010; 2010 July 1-2; Bangkok, Thailand. Bangkok: Square Print’93 co.,ltd;2010.