หญ้าลิ้นงู ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย

หญ้าลิ้นงู งานวิจัยและสรรพคุณ 16 ข้อ

ชื่อสมุนไพร หญ้าลิ้นงู
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น ไป๋ฮวาเสอเสอเฉ่า, เสอเสอเฉ่า, สุ่ยเซี่ยนเฉ่า, จุ่ยจี้เช่า, จั่วจิเช่า (จีน)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Oldenlandia corymbose Linn.
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Hedyotis corymbose (L.) Lamk.
ชื่อสามัญ Snake needle grass., Hedyotis diffusae herba
วงศ์ RUBIACEAE


ถิ่นกำเนิดหญ้าลิ้นงู

หญ้าลิ้นงู จัดเป็นพืชในวงศ์เข็ม (RUBIACEAE) ที่มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมในเขตร้อนทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ ของทวีปแอฟริกา บริเวณ เอธิโอเปีย จิบูตี และเอริเทรีย ต่อมาจึงได้มีการแพร่กระจายพันธุ์ไปยังแถบเอเชียกลางและเอเชียใต้ เช่นในโอมาน เยเมน ปากีสถาน และอินเดีย ในปัจจุบันสามารถพบได้ ในพื้นที่ภูมิอากาศเขตร้อนถึงร้อนชื้นแถบแอฟริกา ทะเลแคริบเบียนเอเชีย ออสเตรเลีย และในหมู่เกาะแถบแปซิฟิก สำหรับในประเทศไทยพบหญ้าลิ้นงู ได้มากในภาคกลางและภาคใต้บริเวณสองข้างทางที่รกร้างว่างเปล่าและตามชายป่าทั่วไป


ประโยชน์และสรรพคุณหญ้าลิ้นงู

  1. แก้ไข้ ตัวร้อน
  2. แก้ไข้ป่า (มาลาเรีย)
  3. แก้ปวดท้อง
  4. แก้ลำไส้อักเสบ
  5. แก้โรคเกี่ยวกับทางเดินอาหาร
  6. ใช้ล้างแผลฝีบวม ฝีอักเสบ
  7. แก้แผลไฟไหม้และน้ำร้อนลวก
  8. ใช้ขับพิษร้อนถอนพิษไข้ ระบายพิษร้อน
  9. แก้ฝีในท้อง
  10. แก้ทางเดินปัสสาวะอักเสบ
  11. แก้ตับอักเสบ
  12. แก้ไส้ติ่งอักเสบ
  13. แก้ถุงน้ำดีอักเสบ
  14. ใช้ฆ่าพยาธิ
  15. ช่วยขับปัสสาวะ
  16. ช่วยลดอาการบวม

           หญ้าลิ้นงู ถูกนำมาใช้เป็นยาสมุนไพรทั้งในตำรายาไทยและตำรายาจีน


รูปแบบและขนาดวิธีใช้

  • ใช้แก้ไข้ตัวร้อน แก้ไข้ป่า แก้ฝีในท้อง ปวดท้อง ลำไส้อักเสบ แก้โรคทางเดินอาหาร ขับปัสสาวะ ลดบวม แก้ทางเดินปัสสาวะอักเสบ ตับอักเสบ ไส้ติ่งอักเสบ ถุงน้ำดีอักเสบ ฆ่าพยาธิ โดยนำทั้งต้นหญ้าลิ้นงูแห้ง 15-30 กรัม มาต้มกับน้ำดื่ม แต่หากเป็นต้นหญ้าลิ้นงู สดใช้ 20-40 กรัม
  • ใช้แก้ฝีบวม ฝีอักเสบ แผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก ใช้ต้นหญ้าลิ้นงูสดนำมาต้มเอาน้ำชะล้าง แล้วนำต้นหญ้าลิ้นงูสดอีกกำหนึ่งมาตำให้ละเอียดแล้วนำมาพอกบริเวณที่เป็น

           นอกจากนี้ในอินเดียยังมีการใช้หญ้าลิ้นงู ทั้งต้น มาต้มในนมกับน้ำตาลดื่มเพื่อบรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อนที่หน้าอกอันเนื่องมาจากรดไหลย้อนและรักษาโรคตับอักเสบ ในฟิลิปปินส์ มีการใช้หญ้าลิ้นงู มาต้มน้ำดื่มเพื่อรักษาโรคกระเพาะ ส่วนในอินโดนีเซียใช้หญ้าลิ้นงูนำมาต้มกับน้ำดื่ม รักษาไส้ติ่งอักเสบเฉียบพลันอีกด้วย


ลักษณะทั่วไปของหญ้าลิ้นงู

หญ้าลิ้นงู จัดเป็นไม้ล้มลุกขนาดเล็กอายุ 1 ปี มักออกคลุมดินแตกกิ่งก้านสาขามาก ลำต้นมีขนาดเล็ก เป็นเหลี่ยมผิวเรียบเกลี้ยง เลื้อยยาวแผ่ไปตามดินโดยมีลักษณะเป็นข้อๆ 6-10 นิ้ว ส่วนยอดชูสูงขึ้น 15-50 เซนติเมตร ระหว่างข้อมีร่องเล็กๆ ตามความยาวของลำต้น

           ใบหญ้าลิ้นงู เป็นใบเดี่ยวออกเรียงตรงข้ามกัน ใบมีขนาดเล็กกว้าง 1.5-3.5 มิลลิเมตร และยาว 1.5-3 เซนติเมตร มีลักษณะเป็นรูปหอกเรียวแหลม โคนใบและปลายใบเรียวแหลม ขอบใบเรียบหยาบ แผ่นใบหนาเล็กน้อยมีสีเขียวเข้ม หลังใบคดงอ มองเห็นเส้นกลางใบเป็นร่องลึกยาว จากโคนใบถึงปลายใบ ใบหญ้าลิ้นงู ไม่มีก้านใบและมีหูใบขนาดเล็ก

           ดอกหญ้าลิ้นงู ออกเป็นช่อกระจุก โดยจะแยกออกจากันเป็นคู่ๆ บริเวณง่ามใบ ซึ่งในช่อหนึ่งจะมีดอกย่อยขนาดเล็ก 2-5 ดอกช่อดอกมีความยาว 0.6-2 เซนติเมตร ส่วนดอกย่อยยาวประมาณ 2.5 มิลลิเมตร กลีบดอกแยกออกเป็นแฉก 4 แฉก กลีบดอกเป็นรูปกรวยสีขาว ด้านนอกมีขนปกคลุมมีเกสรเพศผู้ 5 อัน มีรังไข่ 2 อัน และมีก้านดอกยาว 0.6-2 เซนติเมตร

           ผลหญ้าลิ้นงู มีลักษณะเป็นรูปทรงกลม มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2.5 มิลลิเมตร มีเส้นสี่มุม เปลือกนอกแข็ง เมื่อผลแก่บริเวณปลายผลจะแตกออก ภายในผลมีเมล็ดลักษณะเป็นเหลี่ยมๆ ขนาดเล็กๆ อยู่เป็นจำนวนมาก

หญ้าลิ้นงู
หญ้าลิ้นงู

การขยายพันธุ์หญ้าลิ้นงู

หญ้าลิ้นงู สามารถขยายพันธุ์ได้โดยการใช้เมล็ด ในประเทศไทยไม่พบการนำมาขยายพันธุ์แต่อย่างใด ส่วนมากจะเป็นการขยายพันธุ์ในธรรมชาติ สำหรับในประเทศจีนมีรายงานว่ามีการเพาะขยายพันธุ์เพื่อนำมาใช้เป็นสมุนไพรกันอย่างแพร่หลาย สำหรับวิธีการเพาะเมล็ดและการปลูกหญ้าลิ้นงู นั้นสามารถทำได้เช่นเดียวกันกับการเพาะเมล็ดและการปลูก ไม้ล้มลุกจำพวกหญ้าชนิดอื่นๆ ตามที่ได้กล่าวมาแล้วในบทความก่อนหน้านี้ เช่น "ดอกดาวเรือง " ทั้งนี้หญ้าลิ้นงูเป็นพืชที่ชอบดินร่วนซุยที่มีความชุ่มชื้นสูง


องค์ประกอบทางเคมี

มีรายงานผลการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับองค์ประกอบทางเคมีของสารสกัดจากทั้งต้นของหญ้าลิ้นงูระบุว่า พบสารออกฤทธิ์ที่สำคัญหลายชนิด อาทิเช่น จากการศึกษาองค์ประกอบทางเคมีของสารสกัดทั้งต้นของหญ้าลิ้นงู (Hedyotis corymbosa Lamk.) โดยนำมาแยกด้วยวิธีโครมาโทกราฟี พบสารประกอบต่างๆ ดังนี้ ursolic acid, corymbosin, aurantiamide acetate, chondrilastero, salicylic acid, B-sitosteryl-3-O-B-D-glucopyranoside, 3B-acetylaleuriolic acid, 1,5- anhydroglucitol และ 22,23-dihydrochondrillasterol เป็นต้น

โครงสร้างหญ้าลิ้นงู

การศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของหญ้าลิ้นงู

มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของสารสกัดจากทั้งต้นของหญ้าลิ้นงู ระบุว่ามีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาต่างๆ ดังนี้

           มีรายงานผลการศึกษาวิจัยในสารสกัดจากทั้งต้นของหญ้าลิ้นงู โดยได้ทำการทดสอบความเป็นพิษต่อเซลล์ P388 (เซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาว) ในหลอดทดลอง ซึ่งได้รับการประเมินโดยวิธีการนับจำนวนเซลล์ผลการศึกษาพบว่าสารสกัดหญ้าลิ้นงู สามารถยับยั้งเซลล์มะเร็ง P388 ได้อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ยังมีการศึกษาวิจัยสารต่างๆ ที่พบในสารสกัดดังกล่าว พบว่าสาร aurantiamide acetate แสดงฤทธิ์ยับยั้งการปล่อย β-glucuronidase ที่เกี่ยวข้องกับการขับสารพิษในร่างกายและมีฤทธิ์ต้านฮีสตามีนยับยั้งเนื้องอก α(TNF-α) และต้านการอักเสบได้ อีกทั้งสาร 3β-acetylaleuritolic acid มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย Staphytococcusaureus และ Salmonella typhimurium ได้อย่างมีนัยสำคัญ ส่วนสาร Salicylic acid ฆ่าเชื้อแบคทีเรียและฆ่าเชื้อราได้อีกด้วย

           ส่วนการศึกษาวิจัยอีกฉบับหนึ่งระบุว่า สารสกัดน้ำจากทั้งต้นของหญ้าลิ้นงู มีฤทธิ์ต้านการอักเสบโดยจะเข้าไปช่วยลดการหลั่งสารก่อการอักเสบในร่างกาย โดยสามารถลดความเสียหายของเซลล์ผิวจากอนุมูลอิสระ ช่วยการฟื้นฟูผิวและมีฤทธิ์เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน โดยสามารถปรับสมดุลของระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งมีผลช่วยลดอาการของโรคผิวหนังบางชนิด เช่น โรคสะเก็ดเงิน หรือโรคลูปัล (SLE) ที่เกิดทางผิวหนัง เป็นต้น อีกทั้งยังมีรายงานการศึกษาวิจัยฤทธิ์ปกป้องตับของสารสกัดจากทุกส่วนของหญ้าลิ้นงู ในหนูทดลองพบว่า สารสกัดจากหญ้าลิ้นงูมีคุณสมบัติในการปกป้องตับจากการถูกทำลายของสารเคมีต่างๆ ได้แก่ Carbon tetrachloride, D-Galatosamine, Perchloroethylene โดยมีค่าใกล้เคียงกับยา Silymarin ส่วนสารสกัดเอทานอลจากส่วนใบและส่วนเหนือดินของหญ้าลิ้นงู พบว่ามีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ปกป้องเซลล์ตับและยับยั้งเซลล์มะเร็งบางชนิดเมื่อทดสอบในหลอดทดลอง (in vitro) ส่วนการทดสอบในสัตว์ทดลองพบว่ามีฤทธิ์สมานแผลและแก้ปวด


การศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาของหญ้าลิ้นงู

ไม่มีข้อมูล


ข้อแนะนำและข้อควรระวัง

สำหรับการใช้หญ้าลิ้นงู เป็นสมุนไพรในการบำบัดรักษาโรคต่างๆ นั้น ควรระมัดระวังในการใช้ เช่นเดียวกันกับการใช้สมุนไพรชนิดอื่นๆ โดยควรใช้ในขนาดและปริมาณที่เหมาะสมที่ได้ระบุไว้ในตำรับตำรายาต่างๆ ไม่ควรใช้ในปริมาณที่มากจนเกินไป หรือ ใช้ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานจนเกินไป เพราะอาจส่งผลกระทบต่อสมุนไพรในระยะยาวได้


เอกสารอ้างอิง หญ้าลิ้นงู
  1. วิทยา บุญวรพัฒน์. หญ้าลิ้นงู.หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. หน้า 600.
  2. ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม. หน้าลิ้นงู, หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย. ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. หน้า 811.
  3. สุนันท์ ชัยนะกุล และคณะ.องค์ประกอบทางเคมีและความเป็นพิษต่อเซลล์ของหญ้าลิ้นงู Chemical constituents and cytotoxic activity of Hedyotis corymbose Lamk. วารสารมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี) ปีที่ 2. ฉบับที่ 3.มกราคม-มิถุนายน 2553. หน้า 80-88.
  4. Smitinund, T. (1980). Thai plant names (botanical names-vernacular names); Funny Publishing;Bangkok, 173-174.
  5. Patel T, Jain V and Dodia R. Oldenlandia corymbosa L.: A Phytopharmacological review International Journal of Phytopharmacy Review Article Vol. 4 (3), pp.79-8
  6. Wuthitamaves, W. (1997). Encyclopedia of medicinal plants; Odean Store: Bangkok, 469.
  7.  Wahidulla, S., DiSouza, L., Kamal, S.Y. (1991). Dipeptides from the red alga Acantophoraspicifera. Phytochemistry, 30, 3323-3325.
  8. Peres, M.T.L.P., Delle Monache, F.D., Cruz, A.B., Pizzolatti, M.G., Yunes, R.A. (1997). Chemicalcomposition and antimicrobial activity of Croton urucurana Baillon (Euphorbiaceae).J. Ethnopharmacol., 56, 223-226.
  9. Sivapraksam SSK., Karunakaran K., Subburaya U., Subashini TS. A Review on Phytochemical and Pharmacological Profile of Hedyotis corymbosa Linn. Int. J. Pharm. Sci./ Rev. Res. 2014; 26(1): 320-4.
  10. Shiel, W.C., and Stoppler, M.C. (2008). Medical Dictionary. Wiley Publishing,Inc. New Jersey.
  11. Sadasivan, S., Latha, P.G., Sasikumar, J.M., Rajashekaran, S., Shyamai, S., Shine, V.J. (2006).Hepatoprotective studies on Hedyotis corymbosa Lamk. J. Ethnopharmacol., 106, 245-249
  12. Sashidhara, K.V., Rosaiah, J,N., Tyagi, E., Shula, R., Raghubir, R., Rajendran, S.M. (2008).Rare dipeptide and urea derivatives from roots of Moringa oleifera as potential anti-inflammatoryand antinociceptive agents. Eur. J. Med. Chem., 1-5