มะเดื่อฝรั่ง ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย

มะเดื่อฝรั่ง งานวิจัยและสรรพคุณ 29ข้อ

 

ชื่อสมุนไพร มะเดื่อฝรั่ง
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น มะเดื่อญี่ปุ่น,ลูกฟิก(ทั่วไป)
ชื่อวิทยาศาสตร์  Ficus carica L.
ชื่อสามัญ Fig ,Common fig 
วงศ์  MORACEAE

ถิ่นกำเนิดมะเดื่อฝรั่ง

เป็นพืชพื้นเมืองในประเทศแถบตะวันออกกลาง ซึ่งมีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันตกและแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนในยุโรปรวมถึงในแอฟริกาเหนือ โดยจัดเป็นพืชในวงศ์เดียวกันกับขนุน และจัดอยู่ในสกุลเดียวกับมะเดื่อไทย ต้นโพธิ์ และต้นไทร ต่อมามีการแพร่กระจายในประเทศเขตร้อนในทุกทวีป แต่พบมากในยุโรปและเอเชีย เช่น ตุรกี , กรีช , ออสเตรเลีย , ญี่ปุ่น , รวมถึงในสหรัฐอเมริกา เป็นต้น สำหรับในประเทศไทย ได้มีการนำมะเดื่อฝรั่งมาทดลองปลูกครั้งแรกที่ดอยอ่างขางเมื่อ พ.ศ.2524 โดยมูลนิธิโครงการหลวงและมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพื่อทดแทนการปลูกฝิ่นต่อมาจึงได้ขยายพื้นที่การปลูกไปในภาคอื่นๆ จนในปัจจุบันสามารถปลูกและให้ผลผลิตได้ในหลายพื้นที่ของประเทศไทย โดยสามารถปลูกในสภาพพื้นที่ราบและมีอากาศร้อนก็ได้


ประโยชน์และสรรพคุณมะเดื่อฝรั่ง

  • ใช้สำหรับทำกระดาษ
  • ใช้ทำผลิตภัณฑ์เครื่องนุ่งห่มหรือของใช้
  • ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
  • ช่วยลดปริมาณการใช้อินซูลินในผู้ป่วยเบาหวาน
  • ใช้เป็นยาระบายอ่อนๆ ช่วยขับถ่าย เป็นยาระบาย
  • ช่วยฟอกตับและม้ามแก้กามโรค
  • แก้อาการท้องร่วง
  • ใช้เป็นยาแก้ไอ ช่วยขับเสมหะ
  • แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ
  • แก้อาการฟกช้ำ
  • ใช้ล้างบาดแผล
  • ใช้ทารักษาแผล
  • ช่วยสมานแผล
  • ช่วยรักษาฝี
  • แก้ปวดท้อง แก้บิด
  • แก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย
  • ช่วยห้ามเลือด
  • ช่วยบำรุงน้ำดี
  • ช่วยต้านโรคมะเร็ง
  • รักษาโรคเบาหวาน
  • ต้านโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน
  • ช่วยลดความดันโลหิต
  • ช่วยส่งเสริมการซ่อมแซมเซลล์ประสาท กระตุ้นความทรงจำ
  • ช่วยต้านโรคอัลไซเมอร์
  • ช่วยป้องกันหลอดเลือดแดงแข็ง
  • ช่วยต้านการอักเสบ
  • ช่วยให้ความเป็นกรดเป็นด่างในร่างกายเกิดการสมดุล
  • ช่วยป้องกันโรคนิ่ว
  • ช่วยป้องกันและยับยั้งการเกิดเซลล์มะเร็งในลำไส้

 

มะเดื่อฝรั่ง

มะเดื่อฝรั่ง

ลักษณะทั่วไปมะเดื่อฝรั่ง

มะเดื่อฝรั่งจัดเป็นไม้ผลยืนต้นขนาดกลางมีอายุนานหลายปี ลำต้นแตกกิ่งมากเป็นทรงพุ่มแผ่กว้าง ลำต้นสูงประมาณ 3-10 เมตร เปลือกลำต้นเป็นสีเทาอมน้ำตาล และมียางสีขาว โดยมะเดื่อฝรั่งจัดเป็นไม้เนื้ออ่อน ไม่นิยมใช้เนื้อไม้ในการก่อสร้างหรือแปรรูปเป็นเฟอร์นิเจอร์

           ใบแตกใบออกเดี่ยว เรียงสลับกันตามปลายกิ่ง มีความกว้าง 20-25 เซนติเมตร และยาวประมาณ 25-30 เซนติเมตร แผ่นใบค่อนข้างหนา และค่อนข้างแข็ง โดยแผ่นใบขรุขระสากมือ แผ่นใบด้านล่างมีขนปกคลุม ส่วนขอบใบหยักลึก 3-7 หยัก ส่วนของก้านใบมีสีเหลืองอมเขียว

           มีดอกขนาดเล็ก ออกตามข้อบริเวณซอกใบ ประกอบไปด้วยดอกตัวเมียที่มีก้านเกสรยาวและดอกตัวเมียที่มีก้านเกสรสั้น และดอกตัวผู้

           มะเดื่อฝรั่งมีดอกคล้ายผล ที่ทำให้มองเห็นเป็นดอกเดี่ยว แต่แท้จริงคือดอกรวมที่เจริญจากส่วนของก้านช่อดอกบริเวณฐานรองดอกพัฒนามาหุ้มดอกไว้

           ผลมีรูปทรงและขนาดที่แตกต่างกันไปตามสายพันธุ์ บางสายพันธุ์อาจเป็นรูปทรงกลม ทรงระฆัง หรือผลกลวงโบ๋ ซึ่งเนื้อผลมีรสหวานอมเปรี้ยว ภายในผลมีเมล็ดขนาดเล็ก ที่มีลักษณะแบน แข็ง เป็นสีเหลืองหรือสีน้ำตาลอ่อนจำนวนมากมาย ซึ่งเป็นเมล็ดที่มีผนังชั้นในของผลห่อหุ้มอยู่


การขยายพันธุ์มะเดื่อฝรั่ง

            มะเดื่อฝรั่ง สามารถขยายพันธุ์ได้ทั้งจากการเพาะเมล็ด ตอนกิ่ง ปักชำ หรือจากการเสียบยอด และพันธุ์ของมะเดื่อฝรั่งที่นิยมปลูกในบ้านเรามักจะเป็นพันธุ์ญี่ปุ่นพันธุ์บราวน์ตุรกี, พันธุ์ออสเตรเลียเพราะเป็นพันธุ์ที่ทนทานต่อสภาพอากาศร้อนได้ดี และให้ผลผลิตที่มีคุณภาพดี ส่วนวิธีที่นิยมขยายพันธุ์ในปัจจุบันได้แก่วิธีการขยายพันธุ์ด้วยการตอนกิ่ง เมื่อกิ่งมีรากที่เจริญเต็มที่แล้วจึงค่อยย้ายลงไปปลูกในกระถางขนาด 5 นิ้ว ผสมดินปลูกด้วยกาบมะพร้าวและขุยมะพร้าวก่อนนำกิ่งพันธุ์ลงปลูก รดน้ำพอชุ่มเช้า-เย็น อย่างสม่ำเสมอทุกวัน รอจนกว่ารากขยายออกจนทั่วกระถางจึงค่อยย้ายไปปลูกในบ่อปูนขนาด 80 ซม. ก่อนย้ายปลูกควรใส่วัสดุปลูกที่เป็นกาบมะพร้าว ขุยมะพร้าว และปุ๋ยคอก ผสมคลุกเคล้ากับดินให้เข้ากันดีเสียก่อนเช่นกัน ซึ่งการปลูกในบ่อ หรือกระถาง จะทำให้ง่ายต่อการดูแลบำรุงรักษา

            ทั่งนี้ควรตัดแต่งกิ่งและทรงพุ่มอยู่เสมอเพื่อไม่ให้มีลำต้นที่สูงเกินไป หลังจากทำการตัดแต่งกิ่งได้ประมาณ 2-3 สัปดาห์ มะเดื่อฝรั่งจะมีการติดผล และใช้เวลาต่อไปอีกราว 2 -3 เดือน ก็สามารถทยอยให้ผลผลิตเก็บเกี่ยวต่อไปได้นานหลายเดือน 


องค์ประกอบทางเคมี

ในส่วนต่างๆของมะเดื่อฝรั่งพบสาร  Quercetin, Rutin , Kaempferol ,Catechin , Gallic acid, Syringic acid , Ellagic acid , Chlorogenic acid  นอกจากนี้ยังพบสาร Luteolin-8- C-glucoside ,Cyanidin-3-glucoside , Cyanidin 3,5-diglucoside , Pelargonidin 3-O-glucoside , Peonidin 3-O-rutinoside และสำหรับคุณค่าทางโภชนาการนั้น ในผลมะเดื่อยังมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายหลายชนิด เป็น ที่ มีคุณค่าทางอาหารสูงอยู่ใน 10 อันดับแรกของโลกอีกด้วย  ซึ่งมีคุณค่าทางโภชนาการดังนี้

           คุณค่าทางโภชนาการของมะเดื่อฝรั่งอบแห้ง ต่อ (100 กรัม)

           -พลังงาน 249 กิโลแคลอรี

           -คาร์โบไฮเดรต 63.87 กรัม

           -น้ำตาล 47.92 กรัม

           -เส้นใย 9.8 กรัม

           -ไขมัน 0.93 กรัม

           -โปรตีน 3.3 กรัม

           -วิตามินบี 1 0.085 มิลลิกรัม

           -วิตามินบี 2 0.082 มิลลิกรัม

           -วิตามินบี 3 0.619 มิลลิกรัม

           -วิตามินบี 5 0.434 มิลลิกรัม

           -วิตามินบี 6 0.106 มิลลิกรัม

           -วิตามินบี 9 9 ไมโครกรัม

           -โคลีน 15.8 มิลลิกรัม

           -วิตามินซี 1.2 มิลลิกรัม

           -วิตามินเค 15.6 ไมโครกรัม

           -ธาตุแคลเซียม 162 มิลลิกรัม

           -ธาตุเหล็ก 2.03 มิลลิกรัม

           -ธาตุแมกนีเซียม 68 มิลลิกรัม

           -ธาตุแมงกานีส 0.51 มิลลิกรัม

           -ธาตุฟอสฟอรัส 67 มิลลิกรัม

           -ธาตุโพแทสเซียม 680 มิลลิกรัม                                      

           -ธาตุโซเดียม 10 มิลลิกรัม

           -ธาตุสังกะสี 0.55 มิลลิกรัม

รูปภาพองค์ประกอบทางเคมีของมะเดื่อฝรั่ง

โครงสร้างมะเดื่อฝรั่ง
 ที่มา : Wikipedia

 

รูปแบบและขนาดวิธีใช้

มะเดื่อฝรั่งเป็นผลไม้ที่มีเส้นใยอาหารสูง จึงนิยมนำผลสุกมารับประทานสดๆ เพื่อจึงช่วยในการย่อยอาหาร ช่วยในการขับถ่ายและกำจัดของเสียออกจากร่างกาย และยังช่วยป้องกันอาการท้องผูก

นอกจากนี้ยังมีการนำมาใช้ประโยชน์ตามตำรายาไทยดังนี้

           - ช่วยบำรุงน้ำดี โดยใช้ใบแห้งบดละเอียดนำมาผสมกับน้ำผึ้งรับประทาน

           - เปลือกและลำต้น ใช้ต้มน้ำดื่ม ช่วยแก้อาการปวดท้อง แก้อาการโรคบิด แก้อาการปวดเมื่อยตามร่างกาย


การศึกษาทางเภสัชวิทยา

ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ มีการศึกษาวิจัยพบว่า ในผลมะเดื่อฝรั่งประกอบไปด้วยสารต่างๆที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้ เช่น สารโพลิฟินอล (Polyphenols) ฟลาโวนอยล์

           ฤทธิ์รักษาหูดจากการศึกษาเปรียบเทียบประสิทธิภาพการรักษาหูดโดยการจี้ด้วยความเย็นกับการใช้ยางของมะเดื่อฝรั่งทาบริเวณผิวหนังที่ติดเชื้อเป็นเวลา 6 เดือน พบว่าการรักษาหูดด้วยยางของมะเดื่อฝรั่งส่งผลดีในหลายด้าน ทั้งช่วยลดระยะเวลาในการรักษา ใช้งานง่าย ไม่พบผลข้างเคียง และมีอัตราการเกิดหูดซ้ำต่ำ

           ฤทธิ์ต่อผิวหนัง  มีการศึกษาหนึ่งชี้ว่า ครีมที่มีส่วนผสมของมะเดื่อฝรั่งส่งผลต่อผิวหนังหลายด้าน เช่น ลดเม็ดสีและรอยแดง เพิ่มความชุ่มชื้น ปรับสมดุลไขมันใต้ผิวหนัง และมีประสิทธิภาพช่วยต่อต้านริ้วรอย กระ สิว และจุดด่างดำได้

           ฤทธิ์อื่นๆ มีรายงานว่าในทวีปอเมริกากลางและอเมริกาใต้นำเอนไซม์ฟิซินในรูปของยางมะเดื่อฝรั่งไปใช้เป็นยาขับหนอนพยาธิแทนการใช้ตัวยาสังเคราะห์ทางด้านเภสัชกรรมพบว่า เอนไซม์ฟิซินช่วย เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของยาช่วยลดคอเลสเตอรอลและระดับน้ำตาลในเลือดได้ 


การศึกษาทางพิษวิทยา  
ไม่มีข้อมูล


ข้อแนะนำและข้อควรระวัง

  1. ผู้ป่วยโรคเบาหวานควรเฝ้าระวังและควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดอยู่เสมอ เนื่องจากการรับประทานมะเดื่อฝรั่งอาจส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดต่ำเกินมาตรฐานได้
  2. มะเดื่อฝรั่งมีวิตามินเคสูง ซึ่งเป็นวิตามิน ช่วยให้เลือดแข็งตัว ดังนั้น ผู้ที่กำลังใช้ยารักษาที่เกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด เช่น ยาต้านการแข็งตัวของเลือด (warfarin) ควรระมัดระวังในการบริโภค
  3. มะเดื่อฝรั่งช่วยกระตุ้นระบบขับถ่าย หากรับประทานในปริมาณมากเกินไป อาจทำให้ท้องเสียได้
  4. การบริโภคมะเดื่อฝรั่งอาจทำให้เกิดอาการแพ้หรืออาจมีปฏิกิริยากับยาบางตัวได้ ดังนั้นจึงควรระมัดระวังในการบริโภค
  5. ผู้ที่แพ้ผลไม้ในวงศ์ขนุน (Moraceae) เช่น ขนุน หรือน้อยหน่า อาจเกิดการแพ้มะเดื่อฝรั่งได้ เพราะพืชเหล่านี้อยู่ในวงศ์เดียวกัน


 

เอกสารอ้างอิง

  1. ธิดารัตน์  จันทร์ดอน.ผลไม้เพื่อสุขภาพจากโครงการหลวง.บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมิดล.
  2. นิดดา หงส์วิวัฒน์ และทวีทอง หงส์วิวัฒน์. มะเดื่อฝรั่ง ใน ผลไม้ 111 ชนิด: คุณค่าอาหารและการกิน. กทม. แสงแดด. 2550 หน้า149
  3. Mawa S, Husain K, Jantan I. Ficus carica L. (Moraceae): phytochemistry, traditional uses and biological activities. Evid-Based Compl Alt 2013;2013:974256.
  4. The Fig: its History, Culture, and Curing, Gustavus A. Eisen, Washington, Govt. print. off., 1901
  5. Barolo MI, Ruiz Mostacero N, López SN. Ficus carica L. (Moraceae): an ancient source of food and health. Food Chem 2014;164:119-27.
  6. Badgujar SB, Patel VV, Bandivdekar AH, Mahajan RT. Traditional uses, phytochemistry and pharmacology of Ficus carica: a review. Pharm Biol 2014;52(11):1487-503.
  7. มะเดื่อฝรั่งมีผลดีต่อสุขภาพจริงหรือ.พบแพทย์ดอทคอม(ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก http://www.pobpad.com
  8. มะเดื่อ/มะเดื่อฝรั่ง(Fig)สรรพคุณและการปลูกมะเดื่อฝรั่ง.พืชเกษตรดอทคอมเว็บพืชเกษตรไทย(ออนไลน์)เข้าถึงได้จากhttp://www.puechkaset.com