สะเดาดิน ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย
สะเดาดิน งานวิจัยและสรรพคุณ 19 ข้อ
ชื่อสมุนไพร สะเดาดิน
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น ผักขวง (ภาคกลาง), ผักขี้ขวง, ผักสีเสียด (ภาคเหนือ), ผักขี้ขวง (ภาคอีสาน)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Glinus opposite folius (L.) Aug.DC.
ชื่อสามัญ Bitter leaf.
วงศ์ MOULLUGINACEAE
ถิ่นกำเนิดสะเดาดิน
สะเดาดิน จัดเป็นพืชประจำถิ่นของไทยอีกชนิดหนึ่ง โดยมีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมในเขตร้อนชื้นของทวีปเอเชีย ได้แก่ ในไทย ลาว กัมพูชา อินเดีย และปากีสถาน เป็นต้น ต่อมาจึงได้มีการกระจายพันธุ์ไปยังเขตร้อนของทวีปแอฟริกา เช่น ในเซเนกัล ไปจนถึงตอนใต้ของ ไนจีเรีย สำหรับในประเทศไทยสามารถพบสะเดาดิน ได้ทุกภาคของประเทศ แต่จะพบได้มากทางภาคเหนือ บริเวณริมลำธาร ข้างนา และสนามหญ้าทั่วไป ที่เป็นดินร่วนปนทราย ที่มีความชื้นในพื้นที่จากระดับน้ำทะเล ไปจนถึง 350 เมตร
ประโยชน์และสรรพคุณสะเดาดิน
- ใช้บำรุงน้ำดี
- ใช้บำรุงร่างกาย
- ช่วยเจริญอาหาร
- ใช้เป็นยากระทุ้งพิษ
- แก้ไข้พิษ
- แก้ไข้กาฬ
- แก้ไข้หัว
- แก้ไข้หวัดคัดจมูก
- แก้ปวดศีรษะ
- แก้ไอ
- แก้ร้อนในกระหายน้ำ
- แก้ฟกช้ำ
- แก้บวมอักเสบ
- แก้อาการปวดหู
- แก้คัน
- แก้โรคผิวหนัง
- ใช้ถอนพิษ
- แก้แมลงสัตว์กัดต่อย
- ช่วยฆ่าเชื้อ
นอกจากนี้สะเดาดิน ยังจัดอยู่ในตำรายาที่ปรากฏในคัมภีร์ต่างๆ เช่น คัมภีร์ธาตุวิวรณ์, คัมภีร์โรคนิทาน และคัมภีร์ปฐมจินดา เป็นต้น
ในชนบทโดยเฉพาะภาคเหนือมีการนำสะเดาดิน มาใช้รับประทาน โดยนำมาใช้ประกอบอาหารต่างๆ เช่น ใช้เป็นผักสดจิ้มกับน้ำพริก หรือ รับประทานร่วมกับลาบ ซึ่งจะให้รสขมมาก แต่หากต้องการลดความขมก็นำมาลวกน้ำร้อนใส่เกลือลงไปนิดหน่อย นำมาใช้เป็นผักลวกจิ้มน้ำพริก หรือ อาจนำมาแกงใส่ปลาย่าง แกงส้มปลาใส่น้ำมะขามเปียก แกงใส่แหนม ใส่ไข่ หรือ ใช้ทำเป็นผักชุบแป้งทอดกรอบก็ได้
รูปแบบและขนาดวิธีใช้
- ใช้บำรุงร่างกาย บำรุงน้ำดี โดยนำทั้งต้นสะเดาดินมาผสม ผลมะนาว เหง้ายาหัว ผลมะกรูด แก่นสลัด และเกลือ มาแช่น้ำซาวข้าวดื่ม
- ใช้บำรุงน้ำดี บำรุงร่างกาย ช่วยเจริญอาหาร แก้ไข้ แก้ไข้หัว ไข้กาฬ ไข้พิษ แก้ไอ แก้ร้อนในกระหายน้ำ โดยนำทั้งต้นสะเดาดินมาต้มกับน้ำดื่ม
- ใช้แก้อาการปวดศีรษะ แก้หวัดคัดจมูก โดยใช้ต้นสะเดาดินสดมาตำผสมกับขิง แล้วนำไปสุมกระหม่อม หรือ เอามาพอกกระหม่อม
- ใช้แก้คัน แก้โรคผิวหนัง ใช้ถอนพิษ ฆ่าเชื้อ แก้แมลงสัตว์กันต่อย โดยนำหัว หรือ เหง้า หรือ ทั้งต้นของสะเดาดิน ตำพอก หรือ ทาบริเวณที่เป็น
- ใช้แก้อาการปวดหู โดยนำทั้งต้นสะเดาดินผสมกับน้ำมันละหุ่ง (ของต้นละหุ่ง ) จากนั้นนำไปอุ่นใช้หยอดหู
ลักษณะทั่วไปของสะเดาดิน
สะเดาดิน จัดเป็นพันธุ์ไม้ล้มลุกขนาดเล็ก มีลำต้นเตี้ย ลักษณะกลมมีสีน้ำตาลอ่อนทอดเลื้อยแผ่แขนงราบไปกับพื้นดิน โดยมักจะแตกกิ่งก้านสาขาแผ่กระจายออกไปรอบๆ ต้น
ใบสะเดาดิน เป็นใบเดี่ยว ขนาดเล็กกว้าง 0.3-0.5 เซนติเมตร ยาว 1-2.5 เซนติเมตร แตกใบออกตามข้อต้น ใบมีลักษณะเป็นรูปยาวรี โคนใบสอบ ปลายใบแหลม หรือ มน ขอบใบเรียบ โดยในแต่ละข้อจะมีใบอยู่ประมาณ 4-5 ใบ สะเดาดินแผ่นใบบางมีสีเขียว มีรสขมและมีก้านใบสั้น
ดอกสะเดาดิน เป็นดอกเดี่ยวมักจะออกรวมกัน บริเวณข้อของลำต้นใกล้ๆ กับใบโดยในข้อหนึ่งจะมีดอก 4-6 ดอก ซึ่งดอกมีกลีบดอก 5 กลีบ สีขาวอมเขียว แต่ละกลีบมีขนาดยาวประมาณ 0.3 เซนติเมตร และจะมีก้านดอกยาว 0.6-1.2 เซนติเมตร
ผลสะเดาดิน เป็นผลแห้งรูปยาวรี มีขนาดยาว 0.2 เซนติเมตร แก่จะแตกออกเป็น 3 แฉก ด้านในมีเมล็ดขนาดเท่ากับเม็ดทรายอยู่จำนวนมาก โดยเมล็ดจะมีสีน้ำตาลแดง
การขยายพันธุ์สะเดาดิน
สะเดาดินสามารถขยายพันธุ์ได้ โดยการใช้เมล็ด ทั้งนี้ในปัจจุบันไม่นิยมปลูกสะเดาดิน เนื่องจากเป็นพืชที่ออกดอกและติดผลตลอดทั้งปี อีกทั้งยังขยายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว จนในบางพื้นที่ได้กลายเป็นวัชพืชไปแล้ว ดังนั้นการขยายพันธุ์ของสะเดาดิน จึงเป็นการขยายพันธุ์ในธรรมชาติเป็นส่วนมาก ทั้งนี้สะเดาดินเป็นพันธุ์ไม้กลางแจ้งที่เจริญเติบโตได้ในดินทุกชนิด ชอบแสงแดดตลอดทั้งวัน และยังทนแล้งได้ดีอีกด้วย
องค์ประกอบทางเคมี
มีรายงานผลการศึกษาวิจัยองค์ประกอบทางเคมีของสารสกัดที่สกัดจากส่วนต่างๆ ของสะเดาดิน ระบุว่าพบสารออกฤทธิ์ที่สำคัญ ในกลุ่มต่างๆ ดังนี้ สารกลุ่ม flavonoids เช่น vitexin, adenosine, L-phynylalanine และ kaempfevol-3-0-galacto pyranoside สารกลุ่ม triterpenoids เช่น scualene, oppositifolone และ lutein สารกลุ่ม sterols เช่น stigmasterol, spinasterol และ β-sitosterol
นอกจากนี้ยังพบสารออกฤทธิ์ในน้ำมันหอมระเหย เช่น cinnamic acid, vanillin, trans-ferulic acid, acetosyringone และ 4-hydroxybenzoic acid เป็นต้น
การศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของสะเดาดิน
มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของสะเดาดิน ระบุว่าสารสกัดสะเดาดิน จากส่วนต่างๆ ของสะเดาดินมีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาต่างๆ ดังนี้
ฤทธิ์ต้านจุลินทรีย์ มีรายงานผลการศึกษาวิจัย สารสกัดเมทานอลจากส่วนเหนือดินของสะเดาดิน โดยได้ทำการทดสอบกับเชื้อ Bacillus subtilis ไปจนถึง Blastomyces dermatitidis และ Candida albicans พบว่าสารสกัดดังกล่าว มีผลยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ในปริมาณต่ำถึงปานกลางและเมื่อทดสอบกับสารสกัดจากเอทานอล พบว่ามีฤทธิ์ต้านเชื้อ Salmonella typhi และ Pseudomonas aeruginosa ส่วนสารสกัดปิโตรเลียมอีเธอร์แสดงฤทธิ์ต้านเชื้อ Staphylococcus aureus และ Pityrosporum ovale
ฤทธิ์ต้านเชื้อรา มีรายงานผลการศึกษาวิจัยพบว่า สารสกัดไดคลอโรมีเทนจากทุกส่วนของสะเดาดิน เมื่อถูกนำไปทดสอบกับเชื้อ Candida albicans โดยได้ทำการทดสอบ MTT ผลปรากฏว่าสารสกัดดังกล่าวแสดงฤทธิ์ต้านเชื้อรา Candida albicans
ฤทธิ์ปกป้องตับ มีรายงานผลการศึกษาวิจัย ระบุว่าเมื่อใช้คาร์บอนเตตระคลอไรด์เพื่อกระตุ้นให้ตับหนูทดลองเสียหาย จากนั้นจึงทำการป้อนสารสกัดเมทานอลจากรากของสะเดาดินทางปาก จากนั้นจึงอ่านค่าของระดับ SGPT, SGOT และบิลิรูบิน พบว่าสารสกัดดังกล่าวช่วยเพิ่มการฟื้นตัวจากความเสียหายของตับได้
ฤทธิ์ต้านการอักเสบและระงับปวด มีรายงานผลการศึกษาวิจัยระบุว่า สารสกัดน้ำและเอธานอลของสะเดาดิน แสดงฤทธิ์ต้านการอักเสบ และสารสกัดดังกล่าวยังแสดงให้เห็นถึงการลดอาการบวมน้ำที่อุ้งเท้าและการตอบสนองของช่องท้องที่หดตัว ผลการทดลองแสดงให้เห็นว่าสารสกัดเอทานอลมีศักยภาพในการต้านการอักเสบมากกว่าสารสกัดน้ำ และยังมีรายงานว่าสารสกัดดังกล่าวยังมีลักษณะเฉพาะคล้ายกับยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช้สเตียรอยด์ (NSAID) อีกด้วย
ฤทธิ์ต้านอาการท้องเสีย มีการทดสอบโดยนำสารสกัดเมทานอลและโลเปอราไมด์จากส่วนเหนือดินของสะเดาดินในปริมาณ 500 มก./กก. และ 3 มก./กก. มาใช้ป้อนให้กับหนูทดลองที่ทำให้เกิดภาวะท้องเสีย ผลการทดลองพบว่าสารสกัดดังกล่าวมีฤทธิ์จำนวนอุจจาระทั้งหมดและจำนวนอุจจาระเหลวได้ถึง 86%
การศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาของสะเดาดิน
ไม่มีข้อมูล
ข้อแนะนำและข้อควรระวัง
ในการใช้สะเดาดิน เป็นสมุนไพร ควรระมัดระวังในการใช้ เช่นเดียวกันกับการใช้สมุนไพรชนิดอื่นๆ โดยควรใช้ในขนาดและปริมาณที่เหมาะสมที่ได้ระบุไว้ในตำรับตำรายาต่างๆ ไม่ควรใช้ในขนาดและปริมาณที่มากจนเกินไป หรือ ใช้ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลาจนเกินไป เพราะอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวได้
เอกสารอ้างอิง สะเดาดิน
- ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม ผักขวง. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย. ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5 หน้า 469-470
- สะเดาดิน. คอลัมน์สมุนไพรมหิดล. นิตยสาร มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 2-8 กุมภาพันธ์ 2561.
- ขี้ขวง.ฐานทรัพยากรพืชพื้นถิ่นล้านนา. โครงการการศึกษาฐานทรัพยากรพืชพื้นถิ่นล้านนา เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์อาหารพืชพื้นถิ่นล้านนา.สำนักกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) หน้า407-409
- Sahakitpichan P, Disadee W, Ruchirawat S, Kanchanapoom T. L-(-)-(N-trans-cinnamoyl) arginine, anacylamino acid from Glinusoppositifolius (L.) Aug. DC. Molecules.2010; 15: 6186-6192.
- Pattanayak S, Nayak SS, Dinda SC,Panda D. Preliminary anti-diarrhoealactivity of aerial parts of Glinusoppositifolius (L.) in rodents. RecentAdvances in Pharmaceutical ScienceResearch. 2012; 1: 50-57.
- Islam MT, Khan MAA, Hossain JA, Barua J. Antioxidant, antimicrobial andcytotoxic bioassay of Mollugooppositifolius L. International Journal ofGreen Pharmacy (IJGP). 2011; 5:141-144.
- Vasincu A, Miron A, Bild V. Preliminaryresearch concerning antinociceptiveand anti-inflammatory effects of twoextracts from Glinus oppositifolius (L.)Aug. DC. Rev Med ChirSoc Med NatIasi. 2014; 118: 866-872.
- Sheu SY, Yao CH, Lei YC, Kuo TF.Recent progress in Glinusoppositifolius research. Pharm Biol.2014; 52: 1079-1084.
- Sahu SK, Das D, Tripathy NK.Hepatoprotective activity of aerial partof Glinus oppositifolius L. AgainstParacetamol-induced Hepatic Injury inRats. Asian Journal of Pharmacy andTechnology. 2012; 2: 154-156.
- Diallo D, Marston A, Terreaux C, TouréY, Paulsen BS, Hostettmann K.Screening of Malian medicinal plantsfor antifungal, larvicidal, molluscicidal,antioxidant and radical scavengingactivities. Phytother. Res. 2001; 15: 401-406.
- Burkhill HM. The Useful Plants of WestTropical Africa, 1, second ed., RoyalBotanical Gardens, Kew. 1985