ถั่วแปบ ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย
ถั่วแปบ งานวิจัยและสรรพคุณ 25 ข้อ
ชื่อสมุนไพร ถั่วแปบ
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น ถั่วหนัง, หมากแปป, มะแปป (ภาคเหนือ), แปบน้อย, แปบปลาซิว (ภาคอีสาน), ถั่วแล้ง, ถั่วหนัง, กวาวน้ำ (ภาคตะวันตก, เป๊าะบ่าสะ, โบ่บ๊ะซะ (กะเหรี่ยง)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Lablab purpureus (L.)Sweet.
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Lablab lablab (L.) Lyons, Lablab vulgaris (L.) Savi, Dolichos lablab L., Dolichos purpureus L., Lablab niger Medikus, Vigna aristata Piper
ชื่อสามัญ Lab lab bean, Hyacinth bean, Egyptian kidney bean, Dolichos bean.
วงศ์ LEGUMINOSAE
ถิ่นกำเนิดถั่วแปบ
ถั่วแปบ เป็นพืชในวงศ์ถั่ว (LEGUMINOSAE) ที่มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมในเขตร้อนของทวีปเอเชีย โดยเชื่อกันว่าถิ่นกำเนิดดั้งเดิมจริงๆ น่าจะอยู่ที่ภูมิภาคเอเชียใต้ เช่นใน ศรีลังกา อินเดีย เนปาล และปากีสถาน ต่อมาจึงได้แพร่กระจายพันธุ์ไปยังภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ผ่านทางบังกลาเทศ พม่า ไทย ลาว และมาเลเซีย สำหรับในประเทศไทยสามารถพบถั่วแปบ ได้ทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเป็นการปลูกเชิงพาณิชย์ หรือ ปลูกไว้รับประทานตามบ้านเรือนทั่วไป
ประโยชน์และสรรพคุณถั่วแปบ
- ใช้บำรุงธาตุ
- ใช้บำรุงกำลัง
- แก้อาการอ่อนเพลีย
- แก้ไข้สัมประชวร
- แก้โรคตา
- แก้เสมหะในร่างกาย
- แก้อาการแพ้
- แก้ลม
- แก้อาการเกร็ง
- ช่วยบำรุงม้าม
- ช่วยบำรุงกระเพาะอาหาร
- แก้อาการเจ็บคอ
- แก้เสียงแหบแห้ง
- แก้คอแห้ง
- ช่วยดับพิษร้อน
- ช่วยขจัดความชื้นในร่างกาย
- ช่วยถอนพิษ
- ช่วยระงับอาเจียน
- แก้เมาค้าง ถอนพิษสุรา
- แก้ประจำเดือนมาไม่ปกติ
- ใช้รักษาโรคตา
- แก้โรคซางในเด็ก
- แก้ท้องร่วง
- ใช้รักษาโรคคางทูม
- แก้อ่อนเพลีย
ถั่วแปบสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ ดังนี้
ด้านอาหารมีการนำส่วนของฝักอ่อนของถั่วแปบ มาใช้ประกอบอาหาร อาทิเช่น การนำมาใช้ผัดและแกงได้หลายอย่าง เช่น ภาคกลางใช้แกงส้ม ภาคอีสานใช้แกงซุป ภาคเหนือใช้ใส่แกงแค หรือ นำมายำ เช่น ใช้จิ้มกับเครื่องจิ้มชูรสต่างๆ จำพวกน้ำพริกปลาร้า ปลาส้ม ส่วนเมล็ดแก่ใช้มาทำเป็นอาหารของโคและกระบือ
ด้านการเกษตรกรรม มีการนำถั่วแปบ มาปลูกเป็นพืชคลุมดิน เพื่อป้องกันวัชพืช ช่วยรักษาความชุ่มชื้นของหน้าดิน หรือ ใช้ปลูกเพื่อช่วยบำรุงดินได้ เนื่องจากต้นมีปมที่รากจับไนโตรเจนจากอากาศมาเปลี่ยนเป็นปุ๋ยไตเตรด หรือ จะใช้เป็นปุ๋ยพืชสดก็ได้อีกด้วย
รูปแบบและขนาดวิธีใช้
- ใช้แก้ไข้สัมปะชวร บำรุงกำลัง บำรุงธาตุ แก้อ่อนเพลีย แก้โรคตา แก้เสมหะ แก้แพ้ แก้ลม แก้อาการเกร็ง โดยนำฝักอ่อน หรือ เมล็ดถั่วแปบ มาปรุงเป็นอาหารรับประทาน หรือ นำเมล็ดถั่วแปบแก่มาคั่วรับประทานก็ได้
- ใช้บำรุงม้าม บำรุงกระเพาะอาหาร ดับพิษร้อน ขจัดความชื้นในร่างกาย ใช้ถอนพิษ ถอนพิษสุรา ระงับอาเจียน แก้เมาค้าง แก้เจ็บคอ คอแห้ง เสียงแห้ง แก้ประจำเดือนมาไม่ปกติ โดยนำทั้งต้นถั่วแปบมาต้มกับน้ำดื่ม
- ใช้รักษาโรคตา แก้ท้องร่วง แก้โรคซางในเด็ก โดยนำรากถั่วแปบ สดมาทุบพอแตกต้มกับน้ำดื่ม
- ใช้แก้คางทูม โดยนำใบถั่วแปบสดมาตำพอกบริเวณที่เป็น
ลักษณะทั่วไปของถั่วแปบ
ถั่วแปบ จัดเป็นไม้ล้มลุกเลื้อยพันเรือนยอดเป็นรูปทรงกระบอกอายุหลายปี ลำต้น หรือ เถามักบิดงอมีสีเขียวและมีขนสีขาวขึ้นอยู่ประปราย อยู่เหนือดิน ลำต้นมีความแข็งแรง ตั้งตรงเองไม่ได้และจะใช้ส่วนของลำต้นเกี่ยวพันตามต้นไม้ต่างๆ ลำต้นมีความสูงได้ 1.5-2 เมตร ส่วนลำต้น หรือ เถายาว 4-6 เมตร
ใบถั่วแปบ เป็นใบประกอบ โดยจะออกจากเถาบริเวณข้อเถาใน 1 ช่อ ใบจะมีใบย่อย 3 ใบเรียงสลับกัน ซึ่งใบมีขนาดกว้าง 4-6 เซนติเมตร และยาว 5-12 เซนติเมตร ลักษณะใบย่อยที่อยู่ปลายช่อใบจะมีลักษณะเป็นรูปไข่ โคนใบกลมปลายใบแหลม ส่วนใบย่อยด้านข้างทั้ง 2 ใบ จะมีลักษณะเป็นรูปไข่เบี้ยว ใบย่อยจะมีหูใบ แผ่นใบค่อนข้างบางมีสีเขียวและมีขนบางๆ ขึ้นปกคลุม ส่วนก้านใบยาวประมาณ 5 นิ้ว
ดอกถั่วแปบ ออกเป็นช่อกระจะบริเวณซอกระหว่างก้านใบกับกิ่ง โดยก้านช่อดอกจะมีความยาว 5-10 เซนติเมตร ใน 1 ช่อดอกมีดอกย่อยจำนวนมากลักษณะของดอกถั่วแปบ จะเหมือนกับดอกถั่วชนิดอื่นๆ กลีบดอกมีจำนวน 3 กลีบ ลักษณะคล้ายรูปไต เป็นสีม่วง หรือ สีขาว ซึ่งดอกจะมีเกสรตัวผู้สีเหลืองจำนวน 3 อัน มีเกสรตัวเมียสีเหลืองอีกจำนวน 1 อัน มีรังไข่อยู่เหนือวงกลีบและจะมีกลีบรองดอกลักษณะเป็นรูประฆังติดอยู่ด้วย
ผลถั่วแปบ ออกเป็นฝักมีลักษณะแบนยาวและโค้งงอ ปลายผลมีจะงอย สันฝักนูนขรุขระยาวประมาณ 2 นิ้ว ส่วนผิวฝักเรียบ เมื่อยังอ่อนเป็นสีเขียวอ่อน หรือ สีม่วงในผลมีเมล็ดอยู่ 3-6 เมล็ด มีลักษณะเป็นรูปไข่กลมผิวเรียบ มีสีครีม สีขาวเหลือง สีน้ำตาลอ่อน จนถึงสีแดง แตกต่างไปตามสายพันธุ์
การขยายพันธุ์ถั่วแปบ
ถั่วแปบ สามารถขยายพันธุ์ได้โดยวิธีการใช้เมล็ด โดยมีวิธีการปลูกเช่นเดียวกันกับการปลูกถั่วชนิดอื่นๆ ซึ่งเคยได้กล่าวมาแล้วในบทความก่อนหน้านี้ เช่น "ถั่วลันเตา "ทั้งนี้ ถั่วแปบเป็นพืชที่ปลูกเป็นแถวเป็นแนวได้ง่าย เนื่องจากถั่วแปบเป็นพืชที่ปลูกแถวเป็นแนวได้ง่าย เนื่องจากเมล็ดมีขนาดเท่ากับข้าวโพด แต่จะต้องระยะปลูกระหว่างแถว 50 เซนติเมตร ระหว่างต้น 15 เซนติเมตร นอกจากนี้ถั่วแปบยังมีการเจริญเติบโตที่รวดเร็ว ชอบแสงแดดตลอดวัน ทนแล้งได้ดี และขึ้นได้ดีในดินทราย ซึ่งโดยเนื่องจากเมล็ดถั่วแปบมีวัสดุคล้ายฟองน้ำ ซึ่งสามารถดูดซับความชื้นจากดินได้ดีกว่าเมล็ดพืชชนิดอื่นๆ ทำให้มีอัตราการงอกของถั่วแปบ สูงกว่าและงอกโดยใช้เวลาน้อยกว่า
องค์ประกอบทางเคมี
มีรายงานผลการศึกษาวิจัยองค์ประกอบทางเคมีของเมล็ดถั่วแปบ ระบุว่าพบสารออกฤทธิ์ที่สำคัญหลายชนิดดังนี้
- สารกลุ่ม Phenolic เช่น Gallic-acid, p-coumaric acid, ferulic acid, rutin, epicatechin, osmosin และ luteolin
- สารกลุ่ม Saponins เช่น Lablabosides A, lablabosides B; Chikusetsusaponin lva
- สารกลุ่ม Carotenoid เช่น Lycopene, β-carotene, lutein
- สารกลุ่ม Fatty acids เช่น Myristic acid, palmitic acid, palmitic acid, arachidic acid, oleic acid, phytic acid
การศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของถั่วแปบ
มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของสารสกัดถั่วแปบ จากเมล็ดของถั่วแปบระบุว่ามีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาต่างๆ ดังนี้
ฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด มีรายงานผลการศึกษาวิจัย โดยการให้สารสกัดเมทานอลจากเมล็ดถั่วแปบ แก้หนูที่เป็นโรคเบาหวานพบว่าสามารถทำให้ระดับน้ำตาลในเลือด ไตรกลีเซอไรด์ คอเลสเตอรอลรวม ระดับซีรั่มกลูตามเมตไพรูเวตทรานส์เวตทรานส์อะมิเนส (SGPT) และระดับซีรั่มกลูตาเมตออกซาโลอะซีติดทรานส์อะมิเนส (SGOT) ลดลงตามขนาดยา (P<0.001) เมื่อเปรียบเทียบกับหนูที่เป็นเบาหวานที่ไม่ได้รับการรักษาในแบบจำลองโรคเบาหวานที่เกิดจาก streptozotocin นอกจากนี้ สารสกัดดังกล่าวยังมีคุณสมบัติต้านเบาหวานในหนูที่เป็นโรคเบาหวานที่ถูกชักนำให้เป็นเบาหวาน โดย alloxan โดยจะแสดงผลตามขนาดยา
ฤทธิ์ต้านโรคอ้วน สารการศึกษาในร่างกายมนุษย์แสดงให้เห็นว่าการบริโภคสารสกัดจากถั่วแปบ (HB-Ex) สามารถยับยั้งการเพิ่มขึ้นของน้ำหนักและการสะสมไขมันในร่างกายที่เกิดจากการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง (HFD) ได้อย่างมีประสิทธิภาพในขณะเดียวกันกับที่น้ำหนักตัวโดยรวมลดลง นอกจากนี้การศึกษายังแสดงให้เห็นว่าสาร Chikusetsusaponin Iva ซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักของสารสกัดจากถั่วแปบ สามารถลดระดับไขมันในซีรั่มและตับของหนูที่เป็นโรคไขมันในเลือดสูงได้ นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นว่าสามารถเพิ่มการทำงานของระบบ metabolism ที่เกี่ยวข้องกับการเผาผลาญไขมัน กลูโคส และกรดน้ำดีได้อีกด้วย
ฤทธิ์ต้านมะเร็ง มีรายงานวิจัยแสดงให้เห็นว่าโปรตีน ALDH7A1 จะพบได้มากในบุคคลที่เป็นมะเร็งตับอ่อน โดยโปรตีนนี้เสริมการก่อโรคโดยเพิ่มการใช้ออกซิเจนและการสังเคราะห์ ATP แต่เมื่อให้การให้สารซาโปนิน ที่พบในเมล็ดถั่วแปบพบว่าการแสดงออกของโปรตีน ALD7A1 ในเซลล์มะเร็งตับอ่อนลดลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งการลดลงของโปรตีนดังกล่าวส่งผลให้การใช้ออกซิเจนและการผลิต ATP ลดลง จึงช่วยขัดขวางเกิดและการลุกลามของมะเร็งตับอ่อนได้
ฤทธิ์ต้านการอักเสบและแก้ปวด มีรายงานการศึกษาในหลอดทดลอง แสดงให้เห็นผลต้านการอักเสบของสารสกัดเมทานอลจากเมล็ดถั่วแปบอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้การวิเคราะห์ gascromatography ฟี-MS ยังระบุถึงการมีอยู่ของ 1-hexyl-2 nitrocyclohexane ในสารสกัดดังกล่าวซึ่งแสดงคุณสมบัติที่มีฤทธิ์ต่อระบบประสาท ต้านการอักเสบ และระงับปวด
ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ มีรายงานผลการศึกษาวิจัยระบุว่าสารสกัดเมล็ดถั่วแปบ โดยมีค่า IC50 อยู่ในช่วง 23.36 ±0.61 ถึง 60.20±0.10 µgmL-1 ตามน้ำหนักสด
นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าในเมล็ดของถั่วแปบพบสารในกลุ่มสเตียรอยด์ เช่น Dolichosterone โดยน้ำต้มเมล็ดยังมีฤทธิ์ช่วยต้านอาการอักเสบ ยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็ง ช่วยลดการดูดซึมของแอลกอฮอล์ในกระเพาะอาหารและเพิ่มการกำจัดแอลกอฮอล์ออกจากตัวของสัตว์ทดลองและต้านฮอร์โอนไทรอยด์
การศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาของถั่วแปบ
มีรายงานทางพิษวิทยาของถั่วแปบ ระบุว่า เมล็ดถั่วแปบดิบ มีสารที่ทำให้เลือดแข็งตัวและมีสารซาโปนิน (Saponin) บางชนิดที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ โดยหากรับประทานเข้าไป อาจก่อให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ได้
ข้อแนะนำและข้อควรระวัง
สำหรับสตรีครรภ์ ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานถั่วแปบ เนื่องจากถั่วแปบมีฤทธิ์ในการขับประจำเดือน และมีฤทธิ์ทำลายเนื้อเยื่อในมดลูกอาจก่อให้เกิดการแท้งบุตรได้
อีกทั้งการรับประทานถั่วแปบแบบเดิมในปริมาณที่มากเกินไป อาจเป็นอันตรายได้ เพราะถั่วแปบ ดิบจะมีสารไซยาโนจินิกไกลโคไซด์ (Cyanogenic glycosides) ซึ่งมีฤทธิ์เป็นพิษ หากรับประทานเข้าไป จะก่อให้เกิดอาการวิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน ปวดศีรษะได้ ดังนั้นจึงควรนำมาทำให้สุกก่อนรับประทาน
เอกสารอ้างอิง ถั่วแปบ
- เดชา ศิริภัทร. ถั่วแปบ ผักพื้นบ้านชื่อไทยโบราณ. คอลัมน์ ต้นไม้ใบหญ้า. นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 221.กันยายน 2540
- Devaraj, V. Rangaiah (2016). "Hyacinth bean: A gem among legumes. State of the art in Lablab purpureus research" (PDF). Legume Perspectives. 13 (2016-07): 1-42.0
- Yuan C, Liu C, Wang T, He Y, Zhou Z, Dun Y et al., Chikusetsu saponin IVa ameliorates high fat diet‐induced inflammation in adipose tissue of mice through inhibition of NLRP3 inflammasome activation and NF‐κB signaling. Oncotarget 8:31023-31040 (2017).
- Im AR, Kim YH, Kim YH, Yang WK, Kim SH and Song KH, Dolichos lablab protects against nonalcoholic fatty liver disease in mice fed high‐fat diets. J Med Food 20:1222-1232 (2017).
- Lee J-S, Lee H, Woo SM, Jang H, Jeon Y, Kim HY et al., Overall survival of pancreatic ductal adenocarcinoma is doubled by ‘Aldh7a1’ deletion in the KPC mouse. Theranostics 11:3472-3488 (2021).
- Hendricksen, R.; Minson, D. J. (2009). "The feed intake and grazing behaviour of cattle grazing a crop of Lablab purpureus cv. Rongai". The Journal of Agricultural Science. 95 (3): 547-54
- Al‐Snafi AE, The pharmacology and medical importance of Dolichos lablab (Lablab purpureus)-a review. IOSR J Pharm 7:22-30 (2017).
- Qiang‐Hua Y and Jun H, Mechanistic study on the inhibition of Baibiandou (Lablab Semen Album) total saponins on the growth of prostate cancer cell line PC‐3 cells based on transcriptomics. Prog Biochem Biophys 49:1597-1606 (2022).
- ถั่วแปบ.หนังสือสมุนไพร พื้นบ้านล้านนา. ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.หน้า 93.
- Das D, Pal K, Sahana N, Mondal P, Das A, Chowdhury S et al., Evaluation of morphological and biochemical parameters and antioxidant activity and profiling of volatile compounds in fifteen Dolichos bean (Lablab purpureus L.) genotypes of India. Food Chem Adv 2:100164 (2023).
- Thirumalaisamy R, Ammashi S and Muthusamy G, Screening of anti‐inflammatory phytocompounds from Crateva adansonii leaf extracts and its validation by in silico modeling. J Genet Eng Biotechnol 16:711-719 (2018).