อะซีซัลเฟม โพแทสเซียม
อะซีซัลเฟม โพแทสเซียม
ชื่อสามัญ Acesul fame Potassium
ประเภทและข้อแตกต่างสารอะซีซัลเฟม-โพแทส
สารอะซีซัลเฟม-โพแทสเซี่ยมจัดเป็นสารให้ความหวานแทนน้ำตาลประเภทที่ไม่ให้พลังงาน โดยเป็นสารประกอบอินทรีย์ที่ให้รสหวาน (sweetness) มากกว่าน้ำตาลซูโครส 200 เท่า แต่จะไม่มีคุณค่าทางโภชนาการ และไม่ให้พลังงาน ซึ่งเมื่อร่างกายได้รับจะถูกดูดซึมและขับออกทางปัสสาวะโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในร่างกาย และมีโครงสร้างทางเคมี คือ potassium salt of 6-methyl-1,2,3-oxathiazine-4(3H)-one 2,2-dioxide ซึ่งจะอยู่ในรูปของผลึกสีขาว มีสูตรโมเลกุล C4H4KNO4S และมีมวลโมเลกุล เท่ากับ 201.24 g/mol
สำหรับคุณสมบัติของอะซีซัลเฟมโพแทสเซียมนั้นจะมีความคงตัวสูง โดยมีความเป็นกรดด่าง (pH) ระหว่าง 3.5-8.0 และสามารถทนความร้อนที่ baking temperature ได้อย่างดีรวมถึงละลายน้ำได้ดีมาก และเมื่อสัมผัสกับต่อมรับรสจะรู้สึกได้ถึงรสหวานในทันที แต่จะมีรสชาติตกค้าง (aflertaste) ในลักษณะที่เรียกว่า bitter-metallic aftertaste อยู่ในระยะเวลาหนึ่ง ส่วนประวัติการค้นพบอะซีซัลเฟม โพเทสเซียมนั้น ถูกค้นพบอย่างบังเอิญในปี ค.ศ.1967 โดย Karl Clauss นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมัน จากสถาบันเคมี Hoechst AG และสำหรับประเภทของอะซีซัลเฟม โพแทสเซียมที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนั้นพบว่า มีเพียงประเภทเดียวเท่านั้น
แหล่งที่พบและแหล่งที่มาสารอะซีซัลเฟม-โพแทส
อะซีซัลเฟม โพแทสเซียมเป็นสารให้ความหวานแทนน้ำตาลที่ได้จากการสังเคราะห์ทางเคมี เช่นเดียวกันกับสารให้ความหวานอื่นๆ เช่น แอสปาร์แตม ,ซูคราโลส และนีโอแทม เป็นต้น แต่อะซีซัมเฟม โพแทสเซียมจะสังเคราะห์จากกระบวนการแปลงกรดแอซิโตน แอซีติก (acetoacetic acid) และนำไปผสมกับแร่ธาตุโพแทสเซียมในธรรมชาติ เพื่อให้มีความเสถียรมากขึ้นและทำให้อยู่ในรูปผลึก ซึ่งจะให้ความหวานกว่าน้ำตาลซูโครส 200 เท่า เลยทีเดียว
ปริมาณที่ควรได้รับสารอะซีซัลเฟม-โพแทส
สำหรับปริมาณของอะซีซัลเฟม โพแทสเซียมที่ควรได้รับต่อวันนั้น สามารถอ้างอิงได้จาก องค์การอาหารและยาของสหรัฐ (FDA) ที่อนุญาตให้ใช้สารอะซีซัลเฟม โพแทสเซียม ในอาหารได้ และกำหนดค่า ADI (ปริมาณที่ใช้ได้อย่างปลอดภัยในคน) ไว้ที่ 15 มิลลิกรัมของน้ำหนักตัว ส่วนองค์การอาหารและยาของไทยนั้น ได้กำหนดเกณฑ์การใช้อะซีซัมเฟม โพแทสเซียมเป็นวัตถุเจือปนอาหาร ตามบัญขีแนบท้ายประกาศกระทรวงสาธารณสุข เลขที่389 พ.ศ.2564 ไว้ดังนี้
ประโยชน์และโทษสารอะซีซัลเฟม-โพแทส
เนื่องจากอะซีซัลเฟม โพแทสเซียมเป็นสารให้ความหวานแทนน้ำตาล ที่ไม่ให้ให้พลังงานดังนั้นในปัจจุบันจึงมีการนำไปใช้ในอาหารกว่า 4,000 ชนิด โดยมักใช้ร่วมกับสารให้ความหวานชนิดอื่นๆ ที่ให้แคลอรี่ต่ำ เพื่อเพิ่มรสหวานให้กับอาหารและเครื่องดื่ม เช่น แอสปาร์แตม , ซูคราโลส และมอสโตเด็กซ์ตริน เป็นต้น ซึ่งในสหรัฐอเมริกาองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาอนุญาตให้ใช้ในอาหารต่างๆ ในหลายประเภท ได้แก่ของหวาน (dessert), ลูกอมลูกกวาดต่างๆ (candies),หมากฝรั่ง (chewing gums),เครื่องดื่มทั่วไป (beverages) เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ (alcoholic beverages), อาหารประเภทของอบ (baked goods), ซอสรสหวานต่างๆ (sweet sauces) ,น้ำเชื่อม (syrups), ของหวานที่แช่แข็งหรือแช่ตู้เย็น (refrigerated and frozen desserts) และน้ำตาลสำหรับโรยหน้าขนม (toppings) เป็นต้น
ส่วนในประเทศไทยมีการใช้สารให้รสหวานชนิดนี้ในน้ำอัดลมเครื่องดื่ม เครื่องดื่มผง (dry mixes for beverages) ลูกอม ลูกกวาด โยเกิร์ต การแฟและชาสำเร็จรูป (instant coffee and tea) ขนมหวานผลิตจากเจลาติน (gelatin dessert) พุดดิ้ง (pudding) ครีมเทียม (nondairy creamer) และของหวานต่างๆ ผู้เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการใช้อะซีซัลเฟม โพแทสเซียมแทนที่น้ำตาลเพื่อลดปริมาณแคลอรี่ (calorie) และใช้เป็นสารให้ความหวานในอาหารสำหรับผู้ป่วยโรงเบาหวานอีกด้วย
การศึกษาวิจัยที่เกี่ยวข้องสารอะซีซัลเฟม-โพแทส
มีผลการศึกษาวิจัยของอะซีซัลเฟม โพแทสเซียม เกี่ยวกับเชื้อจุลินทรีย์ในระบบทางเดินอาหารและการเกิดฟันผุ มีการศึกษาในหนูทดลอง พบว่าการบริโภคอะซีซัลแฟม โพแทสเซียมเป็นเวลา 4 สัปดาห์ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเชื้อจุลินทรีย์ในทางเดินอาหาร และน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นในหนูเพศผู้แต่ไม่เพิ่มขึ้นในเพศเมีย และมีการศึกษาวิจัยในห้องปฏิบัติการโดยทำการทดสอบผลของสารให้ความหวานแทนน้ำตาลกลุ่มที่ให้ความหวานจัด ซึ่งได้แก่ แอสปาร์แตม แซ็กคาริน อะซีซัลเฟม โพแทสเซียม และซัยคลาเมตต่อการเจริญและเมตาบอลิซึมของเชื้อในคราบจุลินทรีย์และเชื้อสเตรปโตคอคคัสมิวแทนส์พบว่าอะซีซัลเฟมโพแทสเซียมไม่มีผลยับยั้งการเจริญของเชื้อ ส่วนการศึกษาเกี่ยวกับอะซีซัลเฟม โพแทสเซียมต่อเชื้อสเตรปโตคอคคัส มิวแทนส์หรือเชื้อก่อโรคฟันผุอื่นๆ รวมถึงต่อการเกิดฟันผุนั้นค่อนข้างมีจำนวนจำกัดและส่วนใหญ่เป็นการศึกษาเมื่อกว่า 30 ปีที่แล้ว ซึ่งได้ข้อสรุปว่า อะซีซัลเฟม โพแทสเซียม จัดเป็นสารให้ความหวานแทนน้ำตาลที่ไม่ก่อให้เกิดฟันผุ
นอกจากนี้ยังมีรายงานด้านความปลอดภัยของการใช้อะซีซัลเฟม โพแทสเซียมในต่างประเทศระบุว่า การใช้ acesulfame potassium ในคนยังไม่พบอันตรายใดๆ จากข้อสรุปขององค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาโดยสรุปจากข้อมูลที่มีการทดลองทั้งในคนและสัตว์ทดลองมากกว่า 90 การศึกษา และปริมาณที่ใช้ในการทดลองส่วนใหญ่จะใช้ในขนาดสูงกว่าขนาดปกติที่รับประทานในคนรวมทั้งสามารถใช้ได้ในสตรีมีครรภ์สตรีให้นมบุตร ผู้ป่วยเบาหวาน และผู้ป่วย phenylketonuria ได้โดยอะซีซัลเฟม โพแทสเซียมจะไม่ถูกเมแทบอลิซึมหรือเกิดการสะสมในร่างกาย เนื่องจากหลังจากบริโภค อะซีซัลเฟม โพแทสเซียมจะถูกดูดซึมอย่างรวดเร็ว และถูกกำจัดออกในรูปเดิม
ข้อแนะนำและข้อควรปฏิบัติ
ในการใช้อะซีซัมเฟม โพแทสเซียม เป็นสารให้ความหวานแทนน้ำตาล หรือการบริโภคผลิตภัณฑ์ที่มีอะซีซัมเฟม โพแทสเซียม เป็นส่วนผสมให้ได้ประโยชน์และมีความปลอดภัยนั้น สามารถทำได้ เช่น เดียวกันกับการใช้สารสกัดและสารสังเคราะห์อื่นๆ โดยควรใช้ในขนาดและปริมาณตามที่กำหนดไว้และไม่ควรใช้ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานาน เพราะอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพได้ สำหรับสตรีมีครรภ์หรือผู้ป่วยโรคต่างๆ ก่อนจะใช้อะซีซัลเฟม โพแทสเซียมก็ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนใช้เสมอ
อ้างอิง อะซีซัลเฟม โพแทสเซียม
- อรนาฎ มงตังคสมบัติ,พนิดา ธัญญศรีสังข์.สารให้ความหวานแทนน้ำตาลกับผลต่อสุขภาพร่างกายและสุขภาพช่องปาก.วิทยาสารทันตแพทย์ศาสตร์ปีที่ 69.ฉบับที่ 4ตุลาคม-ธันวาคม2562.หน้า379-397
- รศ.วิมล ศรีสุข.เป็นเบาหวาน....เลือกอะไรใส่กาแฟแทนน้ำตาล.บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน.คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล
- วรรณดล เชื้อมงคล.สารให้ความหวาน:การใช้และความปลอดภัย.วารสารไทยเภสัชศาสตร์และวิทยาการสุขภาพปีที่3.ฉบับที่1 มกราคม-มิถุนายน 2551.หน้า 161-168
- ประกาศกระทรวงสาธารณสุข(ฉบับที่389)พ.ศ.2561 เรื่องวัตถุเจือปนอาหาร(ฉบับที่5)
- Klug, C., and Lipinski, R.G. (2012). Alternative sweeteners. 4th edition. Acesulfame potassium. Nabors, O. L.: 13-31.
- Grenby TH, Saldanha MG. Studies of the inhibitory action of intense sweeteners on oral microorganisms relating to dental health. Caries Res 1986;20(1):7-16
- ADA Evidence Analysis Library, (2011). The truth about artificial sweeteners or sugar substitutes.
- Bian X, Chi L, GaoB,TuP,Ru H, LuK.Theartificial sweetener acesulfame potassium affects the gut microbiome and body weight gain in cd-1 mice. PLoS One 2017;12(6):e0178426.
- International Food Information Council Foundation. Everything you need to know about acesulfame potassium. (Accessed on December 31, 2007, at http://ific.org/ publications/brochures/upload/EverythingYou-Need-to-Know-About-Acesulfame-Potassium.pdf