กัลปพฤกษ์ ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย
กัลปพฤกษ์ งานวิจัยและสรรพคุณ 17 ข้อ
ชื่อสมุนไพร กัลปพฤกษ์
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น ชัยพฤกษ์ (ภาคเหนือ), กาลพฤกษ์ (ภาคกลาง), เปลือกขม, แก่นร้าง (ภาคตะวันออก)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Caddia bakeriana Craib
ชื่อสามัญ Pink shower.Pink cassia, Wishing tree
วงศ์ CAESALPINICEAE
ถิ่นกำเนิดกัลปพฤกษ์
กัลปพฤกษ์ จัดเป็นไม้ยืนต้นที่มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีถิ่นกำเนิดเป็นบริเวณกว้างใน พม่า ไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนาม เป็นต้น สำหรับในประเทศไทย สามารถพบได้ทั่วไปเกือบทั่วทุกภาคของประเทศยกเว้นภาคใต้ โดยจะพบมากในภาคเหนือ และภาคอีสาน บริเวณ ป่าโคก ป่าแดง และป่าเบญจพรรณ ทั่วไป
ประโยชน์และสรรพคุณกัลปพฤกษ์
- ใช้ระบายอ่อนๆ
- แก้คูถ
- ช่วยขับเสมหะ
- ช่วยระบายอุจจาระธาตุ
- แก้พรรณดึก
- ใช้ทำให้อาเจียน
- ช่วยถ่ายพิษไข้
- ใช้เป็นยาลดไข้
- แก้อักเสบ
- แก้พรรณดึก
- แก้โรคเบาหวาน
- ช่วยฆ่าเชื้อคุดทะราด
- รักษากลาก เกลื้อน
- รักษาโรคผิดหนังต่างๆ
- ช่วยลดน้ำตาลในเลือด
- แก้เบาหวาน
- แก้ท้องเสีย
ในสมัยโบราณจะใช้เนื้อในฝักกัลปพฤกษ์กินกับหมาก และใช้น้ำฝาดของเนื้อไม้กัลปพฤกษ์ ส่วนของใบ และดอกของกัลปพฤกษ์มีการนำมาเป็นอาหารเลี้ยงสัตว์ เช่น วัว ควาย และหมู เป็นต้น และเนื้อไม้กัลปพฤกษ์สามารถนำมาแปรรูป เพื่อตกแต่งบ้านเรือน เช่น ฝ้า ราวบันได และไม้แต่งเสา เป็นต้น นอกจากนี้ในปัจจุบันยังมีการนิยมนำกัลปพฤกษ์ มาปลูก เป็นไม้ดอกประดับ ตามสถานที่ราชการต่างๆ สวนสาธารณะ หรือ ตามสองข้างทาง เนื่องจากมีดอกออกเป็นช่อสีชมพูขาวสวยงามอีกด้วย
รูปแบบและขนาดวิธีใช้
- ใช้ลดไข้ ถ่ายพิษไข้ โดยนำเปลือกฝักแห้ง และเมล็ดมาต้มกับน้ำดื่ม
- ใช้ระบายอ่อนๆ ระบายอุจจาระธาตุ แก้พรรณดึก แก้เสมหะ แก้คูถโดยนำ เนื้อในฝักกัลปพฤกษ์ มารับประทาน (ประมาณ 8 กรัม)
- ใช้ลดไข้ ฆ่าเชื้อคุดทะราด แก้ท้องเสีย เป็นยาระบาย โดยนำราก หรือ แก่นมาต้มกับน้ำดื่ม
- ใช้ฆ่าเชื้อและรักษา กลากเกลื้อน โรคผิวหนัง ต่างๆ โดยนำ รากเปลือกต้น และแก่นมาฝนทาที่บริเวณที่เป็น หรือ นำมาต้มอาบก็ได้
- ใช้แก้อักเสบ ลดน้ำตาลในเลือด แก้เบาหวาน โดยนำดอกแห้งมาต้มกับน้ำดื่ม
- ใช้เป็นยาระบายโดยนำใบแห้งมาต้มกับน้ำ หรือ ชงกับน้ำร้อนกินก็ได้
ลักษณะทั่วไปของกัลปพฤกษ์
กัลปพฤกษ์ จัดเป็นไม้ยืนต้นผลัดใบขนาดเล็กถึงกลาง มีความสูง 5-12 เมตร มีทรงพุ่มโปร่งกว้าง ไม่หนาทึบ และมักจะแตกกิ่งในระดับต่ำ ทอดกิ่งในแนวตั้งขึ้นด้านบน
- เปลือกลำต้นมีลักษณะเรียบ ผิวเปลือกมีสีเทา ยอดอ่อน และกิ่งอ่อนมีขนปกคลุมหนาแน่น เนื้อไม้มีสีเหลืองถึงสีน้ำตาล
- ใบเป็นใบประกอบแบบขนนกปลายคู่ออกแบบเรียงสลับ โดยใบจะออกเป็นช่อยาวประมาณ 15-40 เซนติเมตร ในแต่ละช่อใบจะมีใบย่อยประมาณ 5-10 คู่ เรียงจากเล็กไปหาใหญ่ ลักษณะของใบย่อยเป็นรูปไข่ขอบขนานถึงรูปใบหอก โคนใบมนปลายใบกลม บางครั้งมีติ่งสั้นๆ ตรงปลายขอบใบเรียบ ใบย่อยมีขนาดกว้าง 1.5-3 เซนติเมตร และยาว 4-10 เซนติเมตร แผ่นใบบาง มีขนละเอียดนุ่มขึ้นปกคลุมทั้งสองด้าน แต่ด้านท้องใบจะมีขนขึ้นหนาแน่นมากกว่าด้านหลังใบ และมีเส้นแขนงใบมีข้างละ 7-9 เส้น
- ดอกออกเป็นช่อ กระจะบริเวณกิ่งและปลายกิ่งโดยช่อดอกจะยาวประมาณ 4-8 เซนติเมตร ส่วนดอกย่อยประกอบด้วยกลีบเลี้ยงจำนวน 5 กลีบ รูปหอกแกมรูปไข่ขนาด 2-3 มิลลิเมตร อยู่ด้านนอกสุด มีสีแดงเข้ม ถัดมาเป็นกลีบดอก จำนวน 5 กลีบ รูปใบหอกแกมรูปไข่ โดยแต่ละกลีบกว้าง 2 เซนติเมตร ยาว 4-5 เซนติเมตร เมื่อดอกตูม มีสีชมพูอ่อน และเมื่อบานจะเปลี่ยนเป็นสีขาว และจะมีเกสรตัวผู้ มีขนาดใหญ่ไม่เท่ากัน
- ผลเป็นฝักเช่นเดียวกับราชพฤกษ์ (แต่มีขนาดเล็กกว่า) ลักษณะทรงกระบอกยาวแคบ และมักจะคอดเป็นช่วงๆ ฝัก เมื่อฝักอ่อนจะเป็นสีเขียว แต่เมื่อฝักแก่จะมีสีน้ำตาลถึงดำห้อยลงมาจากกิ่ง ฝักมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1-1.5 เซนติเมตร และยาวประมาณ 30-40 เซนติเมตร ผิวฝักมีขนนุ่มสีเทาปกคลุม ภายในฝักแบ่งออกเป็นช่องๆ ตามขวางมีเนื้อในฝักสีขาวปนเขียว และจะมีเมล็ดประมาณ 30-40 เมล็ด
- ส่วนเมล็ดกัลปพฤกษ์ มีลักษณะค่อนข้างกลมแบน รูปไข่ ถึงรูปขอบขนาน มีสีน้ำตาลเป็นมัน มีขนาดกว้าง 0.6-0.8 มิลลิเมตร และยาว 0.8-1.1 เซนติเมตร
การขยายพันธุ์กัลปพฤกษ์
กัลปพฤกษ์สามารถขยายพันธุ์ได้โดยวิธีการเพาะเมล็ด และการตอนกิ่ง แต่วิธีที่เป็นที่นิยมคือการเพาะเมล็ด โดย ควรเลือกฝักจากต้นที่สมบูรณ์ ไม่มีรอยโรค ลำต้นมีกิ่งมาก ดอกออกดก และฝักอวบใหญ่ กลมสม่ำเสมอตลอดทั้งฝัก แล้วนำมาแช่น้ำร้อน นาน 1-2 นาที ก่อนจากนั้นจึงนำไปเพาะในถุงเพาะชำ (ถุงดำเพาะกล้า) ด้วยการผสมดินกับปุ๋ยคอก หรือ วัสดุเกษตรอื่น เช่น แกลบดำ และขุยมะพร้าวในอัตราส่วนดินต่อวัสดุผสมที่ 1:2 เมื่อเมล็ดงอกขึ้นมาเป็นต้นกล้า ที่มีความสูง 30 เซนติเมตร จึงนำไปปลูกในแปลงต่อไป ทั้งนี้กัลปพฤกษ์ เป็นไม้ที่ชอบดินร่วนปนทราย มีการระบายน้ำดี ไม่ชอบพื้นที่น้ำท่วมขังและชอบแสงแดดจัดเต็มวัน
องค์ประกอบทางเคมี
มีรายงานการศึกษาวิจัยถึงองค์ประกอบทางเคมีของส่วนใบ และน้ำมันหอมระเหยจากใบเนื้อไม้และเปลือกลำต้นของกัลปพฤกษ์ ระบุว่า พบสารออกฤทธิ์ที่สำคัญดังนี้ องค์ประกอบทางเคมีในใบพบสาร aloe emodin, β-sitosterol, kaempferol, kaempferol-3-o-rhamnoside และ quercetin เป็นต้น ส่วนน้ำมันหอมระเหยจากใบพบสาร Linalool, Dodecanoic acid, 4-Vinylguaiacol, Tricosane, Hexadecanoic acid, Octacosane, Heptacosane และน้ำมันหอมระเหยจากเนื้อไม้พบสาร Hexanal, palmitic acid, Furfural, Octadecanoic acid (stearic acid) และ Phenylacetaldehyde และน้ำมันหอมระเหยจากใบพบสาร Phytol, lauric acid, linalool, Tetracosane และ Pentacosane เป็นต้น
การศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของกัลปพฤกษ์
มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของสารสกัดกัลปพฤกษ์ จากส่วนต่างๆ ของระบุว่ามีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาดังนี้
มีการศึกษาพบว่าสารสกัดจากลำต้น ดอก และใบกัลปพฤกษ์ด้วย ethanol สามารถยับยั้งเชื้อรา C.gloeosporioides ได้ฤทธิ์ต้านจุลชีพ ฤทธิ์ต้านจุลชีพของส่วนต่างๆ ของพืชต่อจุลินทรีย์ในช่องปากแบบแอโรบิกและแบบไม่ใช้ออกซิเจนถูกกำหนด เช่นเดียวกับความเป็นพิษต่อเซลล์ ฤทธิ์ต้านจุลชีพและความเป็นพิษต่อเซลล์แสดงไว้ใน ตาราง ที่ 3 มีการศึกษาวิจัยพบว่าน้ำมันจากใบและเปลือกต้นของกัลปพฤกษ์ มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียที่รุนแรง โดยแสดงการยับยั้งจุลินทรีย์ A. naeslundii, P. gingivalisB. FragilisS. mitis, S. mutans, S. sanguinis และ A. actinomycetemcomitans โดยมีค่า MIC อยู่ระหว่าง 62.5 ถึง 125 µg·mL
นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าสารสกัดจากส่วนใบของกัลปพฤกษ์ ยังมีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือก และมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้อีกด้วย
การศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาของกัลปพฤกษ์
ไม่มีข้อมูล
ข้อแนะนำและข้อควรระวัง
สำหรับการใช้กัลปพฤกษ์ เป็นสมุนไพรควรระมันระวังในการใช้เช่นเดียวกันกับการใช้สมุนไพร ชนิดอื่น โดยควรใช้ในขนาดและปริมาณที่เหมาะสมที่ได้ระบุไว้ในตำรับตำรายาต่างๆ ไม่ควรใช้ในขนาด และปริมาณที่มากจนเกินไป หรือ ใช้ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานานจนเกินไป เพราะอาจส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาวได้
เอกสารอ้างอิง กัลปพฤกษ์
- อรุณพร อิฐรัตน์, 2532. สมุนไพรไทยเทศ เล่ม 1 สงขลา : คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์.
- พระยาวินิจวนันดร (2553). ไม้ประดับที่เป็นของไทย และ ตำนานไม้ต่างประเทศบางชะนิดในเมืองไทย. ใน อนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพคุณวิไล อมาตยกุล ท.จ.ว., ภ.ป.ร. ๔ (หน้า 99) กรุงเทพฯ : พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน.
- เดชา ศิริภัทร.ดอกไม้แห่งกาลเวลาของชาวไทย. คอลัมน์ต้นไม้ใบหญ้า. นิตยสารหมอชาวบ้านเล่มที่ 320. ธันวาคม 2548
- ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๕๔ เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๗ รอบ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๔. กรุงเทพฯ : ราชบัณฑิตยสถาน, 2556.
- วันดี กฤษณพันธ์ 2522. การศึกษาทางพฤกษเคมีของใบขี้เหล็กเลือด และใบกัลปพฤกษ์ วิทยานิพนธ์ปริญญาโท จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย
- เสาวลักษณ์ พงษ์ไพจิตร, วัชรินทร์ ภุกขไชยศิริกุล, ฤทธิ์ต้านจุลินทรีย์ของสารสกัดพืชตระกูล Cassiasp. รายงานการวิจัย. คณะวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์. 2542. 49 หน้า
- ขวัญใจ กนกเมธากุล, สมเดช กนกเมธากุล และเกษม สร้อยทอง 2537. การทดสอบสารสกัดจากพืชบางชนิดในสกุล Cassia L., ต่อเชื้อรา Colletotrichum gloeosporiodes. วารสารวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยขอนแก่น ปี 20-22(3-3) (ฉบับพิเศษ) : 112-119.
- กัลปพฤกษ์ สรรพคุณ และการปลูกกัลปพฤกษ์, พืชเกษตรดอทคอมเว็บเพื่อพืชเกษตรไทย (ออนไลน์). เข้าถึงได้จาก http://www.puechkaset.com
- S. Kumar et al.Antidiabetic and anti-lipemic effects of Cassia siamea leaves extract in streptozotocin induced diabetic ratsAsian Pac. J. Trop. Med. (2010)