มะม่วงหัวแมงวัน ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย

มะม่วงหัวแมงวัน งานวิจัยและสรรพคุณ 18 ข้อ

ชื่อสมุนไพร มะม่วงหัวแมงวัน
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น ฮักหมู, ฮักปู๊, มะม่วงแมงวัน (ภาคเหนือ), รักหมู (ภาคใต้), มะม่วงนก (ภาคกลาง)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Buchanania lanzan Spreng
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Buchanania latifolia Roxb., Buchanania cochinensis
วงศ์ ANACARDIACEAE


ถิ่นกำเนิดมะม่วงหัวแมงวัน

มะม่วงหัวแมงวันมีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมในเขตร้อนของทวีปเอเชียบริเวณทางตอนเหนือ ตอนกลาง และตะวันตกของประเทศอินเดีย จากนั้นจึงได้กระจายพันธุ์ไปยังบริเวณใกล้เคียงในศรีลังกา เนปาล บังคลาเท พม่า ไทย ลาว กัมพูชา และมาเลเซีย เป็นต้น สำหรับในประเทศไทยสามารถพบมะม่วงหัวแมงวัน ได้ทั่วทุกภาคของประเทศบริเวณป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรัง และป่าชายหาด ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 50-300 เมตร


ประโยชน์และสรรพคุณมะม่วงหัวแมงวัน

  • ใช้เป็นยาฝาดสมาน
  • แก้ไข้
  • แก้ร้อนใน
  • แก้กามโรค
  • แก้ท้องผูก
  • เป็นยาถ่ายอย่างแรง เป็นยาระบาย
  • แก้ท้องร่วง
  • แก้อาการท้องเดิน
  • รักษาโรคผิวหนัง
  • แก้ท้องเน่น
  • ขับเสมหะ
  • แก้น้ำดี
  • ทำให้อาเจียน
  • แก้อักเสบจากพืชพิษ
  • แก้ไอ
  • แก้หอบหืด
  • รักษางู และแมลงสัตว์กัดต่อย
  • ป้องกันแบคทีเรีย

           มะม่วงหัวแมงวันถูกนำมาใช้ประโยชน์ในรูปแบบต่างๆ มากมาย เช่น ผลสุกของมะม่วงหัวแมงวัน มีรสหวาน ในชนบทจึงมีการนำมาใช้รับประทานเล่นได้ (หากรับประทานมากเกินไปอาจระคายเคืองในลำคอ) และยังมีการนำยอดอ่อน และดอกอ่อนมารับประทานเป็นผักจิ้มน้ำพริกได้อีกด้วย เนื้อไม้มีความแข็งแรงมีสีน้ำตาลปนเทา สามารถนำมาใช้ทำเครื่องใช้ไม้สอยต่างๆ เช่น ทำลังใส่สิ่งของใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งบ้าน ต่างๆ หรือ นำใช้ในงานก่อสร้าง เช่น ประตู หน้าต่าง เสา และรั้วได้

           ส่วนใบ และเปลือกต้นสามารถนำมาใช้เป็นสีย้อมผ้าได้โดย ใบใช้ผสมกับน้ำปูนใส จะให้สีน้ำตาล เช่นเดียวกันกับเปลือกต้น และใบผสมกับโคลนจะให้สีม่วงเทา

มะม่วงหัวแมงวัน

รูปแบบและขนาดวิธีใช้

  • ใช้ทำให้อาเจียน แก้อาการท้องเดิน ใช้ขับเสมหะ ช่วยรักษาโรคเกี่ยวกับน้ำดี แก้อักเสบจากพืชพิษ ใช้เป็นยาระบาย โดยนำเปลือกต้น มาต้มกับน้ำดื่ม
  • ใช้แก้ไข้ ใช้เป็นยาฝาดสมาน แก้ร้อนใน แก้ท้องร่วง แก้ท้องผูก แก้กามโรค โรคผิวหนัง แมลงสัตว์กัดต่อย นำรากมาต้มน้ำ ดื่มและใช้ทาบริเวณที่เป็นภายนอก
  • ใช้แก้ท้องร่วง โดยนำยาง หรือ รากแห้งมะม่วงหัวแมงวัน มาบดกินกับน้ำร้อน
  • ใช้แก้ไอ ขับเสมหะ แก้หอบหืด โดยนำผลสุกมารับประทานพอประมาณ ใช้รักษาโรคผิวหนัง แมลงสัตว์กัดต่อย โดยนำใบมาขยี้ หรือ ตำพอกบริเวณที่เป็น

ลักษณะทั่วไปของมะม่วงหัวแมงวัน

มะม่วงหัวแมงวัน จัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ เรือนยอดเป็นพุ่มทึบ มีความสูงของต้นได้ถึง 8-20 เมตร ลำต้นมีลักษระเปลาตรง ต้นโตเต็มวัยสามารถขนาดโตวัดรอบได้ประมาณ 60-100 เซนติเมตร เปลือกต้นมีสีเทา หรือ เทาดำ แตกเป็นร่องหรือเป็นสะเก็ดยาวๆ ตามลำต้น เปลือกด้านในเป็นสีแดงเลือดหมู เมื่อถากเปลือกในจะมีน้ำยางสีน้ำตาลไหลซึมออกมา เมื่อโดนลมจะมียางสีดำตามก้าน และกิ่งอ่อนมีขนยาวสีน้ำตาลแดงทั่วไป ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงเวียนสลับบริเวณปลายกิ่ง ลักษณะของใบเป็นรูปไข่กลับแกมรูปไข่กลับ หรือ รูปขอบขนานมีขนาดกว้าง 5-7.5 เซนติเมตร และยาว 10-15 เซนติเมตร โคนใบสอบมนเรียวปลายใบมนขอบใบเรียบ เนื้อใบสีเขียวหนาเหนียวคล้ายหนังสัตว์ หลังใบเรียบ ส่วนท้องใบมีขนสีน้ำตาลตามเส้นกลางใบและเส้นแขนงใบ ใบอ่อนมีสีน้ำตาลแดง และมีก้านใบยาว ดอกออกเป็นช่อแบบแยกแขนงบริเวณซอกใบและปลายกิ่ง ส่วนดอกมีขนาดเล็กสีขาว มี 5 กลีบ ขนาดกว้าง 2-3 มิลลิเมตร ยาว 3-5 มิลลิเมตร ส่วนกลีบเลี้ยงมี 5 กลีบ สีน้ำตาล มีขนปกคลุมใต้กลีบ ด้านนอกของกลีบเลี้ยงและรังไข่มีขนขึ้นหนาแน่น มีเกสรเพศผู้ 5 อัน เกสรเพศเมีย 1 อัน ก้านช่ออวลมีขนสีน้ำตาลแดงขึ้นปกคลุมอย่างหนาแน่น ผลเป็นผลแบบ drupe มีลักษณะรูปกลม หรือ รี ผิวผลเรียบมีขนาดเล็ก มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1-1.5 เซนติเมตร สีเขียวเมื่อผลแก่จะเปลี่ยนเป็นสีม่วง หรือ สีดำโดยในหนึ่งผลมีเมล็ด 1 เมล็ด

มะม่วงหัวแมงวัน

มะม่วงหัวแมงวัน

การขยายพันธุ์มะม่วงหัวแมงวัน

มะม่วงหัวแมงวันสามารถขยายพันธุ์ได้โดยวิธีการใช้เมล็ด ซึ่งการขยายพันธุ์ของมะม่วงหัวแมงวัน นั้น ส่วนมากจะเป็นการขยายพันธุ์ในธรรมชาติมากกว่าการนำมาปลูกโดยมนุษย์ สำหรับวิธีการเพาะเมล็ดและการปลูกมะม่วงหัวแมงวัน นั้นสามารถทำได้เช่นเดียวกันกับการเพาะเมล็ดและการปลูกไม้ยืนต้นทั่วไป ซึ่งได้กล่าวมาแล้วในหลายๆ บทความก่อนหน้านี้


องค์ประกอบทางเคมี

มีรายงานผลการศึกษาวิจัยองค์ประกอบทางเคมีของสารสกัดจากส่วนใบ น้ำมันหอมระเหยจากเมล็ด และน้ำมันจากเมล็ดของมะม่วงหัวแมงวัน ระบุว่า พบสารออกฤทธิ์ที่สำคัญดังนี้ สารสกัดจากใบพบสาร Celidoniol, Vomicine, Epinitol, kaempferol-7-o’glucosides, quercetin-3-rahmnoglucoside, quercetin, gallic acid, kaemferol และ myricetin-3’-rhmnoside-3-galactoside น้ำมันหอมระเหยจากเมล็ดพบสาร Cycloisosativene, Tetradecane, Tetradecanoic acid, Campesterol, Stigmasterol, Hexadecanoic acid, Oleic acid, Octadecanoic acid, Androstan-3-ol และ Azulene ส่วนน้ำมันจากเมล็ด พบสาร β-amyrin, Myristic acid, palmitic acid, stearic acid, oleic acid และ linoleic acid เป็นต้น

โครงสร้างมะม่วงหัวแมงวัน

การศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของมะม่วงหัวแมงวัน

มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของสารสกัดมะม่วงหัวแมงวัน จากส่วนต่างๆ ระบุว่า มีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาหลายประการดังนี้

           ฤทธิ์ต้านการอักเสบและแก้ปวด มีการศึกษาวิจัยในหนูทดลองโดยการกระตุ้นด้วยคาราจีแนนให้อุ้งเท้าบวม แบบเฉียบพลันและทำให้เกิดอาการข้ออักเสบเรื่อรังจากฟอร์มาลดีไฮด์ จากนั้นจึงป้อนสารสกัดเมทานอลจากเมล็ดมะม่วงหัวแมงวัน พบว่าสารสกัดดังกล่าวในขนาด 200 มก./กก.(น้ำหนักตัว) สามารถลดปริมาตรสารบวมและการอักเสบของอุ้งเท้าหนูทดลองลงอย่างมีนัยสำคัญ

           ฤทธิ์รักษาแผลในกระเพาะอาหาร มีรายงานการศึกษาวิจัยสารสกัดเอธานอล จากส่วนรากของมะม่วงหัวแมงวัน เพื่อดูฤทธิ์รักษาแผลในกระเพาะอาหาร และฤทธิ์ต้านการอักเสบ สารสกัดที่มีความเข้มข้นต่างกัน (200 และ 400 มก./กก.) โดยการประเมินแผลที่เกิดจากเอธานอลในหนูเมาส์ พบว่าสารสกัดเอธานอลจากส่วนรากของมะม่วงหัวแมงวันแสดง ฤทธิ์ป้องกันความเสียหายร้ายแรงของแผลที่เกิดจากเอทานอล ในหนูทดลองได้

           นอกจากนี้ยังมีรายงานการศึกษาวิจัยฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียในน้ำมันหอมระเหยจากส่วนเมล็ดของมะม่วงหัวแมงวัน พบว่าน้ำมันหอมระเหยดังกล่าวมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียอย่างมีนัยสำคัญต่อเชื้อ Vibrio cholerae และ Salmonella typhi โดยมีโซนยับยั้งสูงสุดเท่ากับ 15.67-1.20 และ 13.83-0.33 ตามลำดับ


การศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาของมะม่วงหัวแมงวัน

ไม่มีข้อมูล


ข้อแนะนำและข้อควรระวัง

ผลสุกของมะม่วงหัวแมงวันมีรสหวานสามารถรับประทานได้ แต่หากรับประทานมากเกินไปก็อาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองในลำคอได้ เพราะมียางคล้ายมะม่วงทั่วไป นอกจากนี้ยางของมะม่วงหัวแมงวัน ยังมีพิษต่อผิวหนังอีกด้วย โดยหากน้ำยางไปโดยผิวหนังก็อาจทำให้เกิดอาการปวดแสบปวดร้อน ผิวหนังพุพองได้อีกด้วย ดังนั้นจึงควรระมัดระวังในการเก็บส่วนต่างๆ ของมะม่วงหัวแมงวันมาใช้ประโยชน์  


เอกสารอ้างอิง มะม่วงหัวแมงวัน
  1. ขวัญฤทัย คำฝาเชื้อ 2551 พฤกษศาสตร์พื้นบ้านของชาวกะเหรี่ยง ที่ตำบลบ้านจันทร์และแจ่มหลวง อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ วิทยานิพนธ์ (วิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 271 หน้า
  2. ทักษัณ อาชวาคม.มะม่วงหัวแมงวัน.พืชกินได้ในป่าสะแกราช. สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย(วว.).หน้า 67-68
  3. พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ, ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, กัญจนา ดีวิเศษ. “มะม่วงหัวแมงวัน”. หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคกลาง. หน้า 123.
  4. มะม่วงหัวแมงวัน แก้ไอ แก้หอบหืด. คอลัมน์สมุนไพรม หิดล. นิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ ประจำวันอาทิตย์ที่ 19 พฤษภาคม 2562.
  5. Mehta SK, Mukherjee S, Jaiprakash B. Preliminary phytochemical investigation on leaves of Buchanania lanzan (Chironji). Int J Pharm Sci Rev Res 2010;3(2):55-9.
  6. Rajput BS, Gupta D, Kumar S, Singh K, Tiwari C. Buchanania lanzan Spreng (Chironji): A vulnerable multipurpose tree species in Vindhyan region. J Pharmacogn Phytochem 2018;7:833-6
  7. Kodati D, Pareta S, Patra KC. Antiulcer activity of ethanolic extract of Buchanania lanzan Spreg. roots. Ann Biol Res 2010;1(4):234-9
  8. Zeven AC, de Wet JM. Dictionary of cultivated plants and their regions of diversity: Excluding most ornamentals, forest trees and lower plants. Pudoc 1982;2:227.
  9. Nasim KT, Arya R, Babu V, Ilyas M. Myricetin 3′-rhamnoside-3-galactoside from Buchanania lanzan (anacardiaceae). Phytochemistry 1992;31(7):2569-70
  10. Warokar AS, Ghante MH, Duragkar NJ, Bhusari KP. Anti-inflammatory and antioxidant activities of methanolic extract of Buchanania lanzan Kernel. Indian J Pharm Educ Res 2010;44(4):363-8