ตะบูนขาว ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย
ตะบูนขาว งานวิจัยและสรรพคุณ 17 ข้อ
ชื่อสมุนไพร ตะบูนขาว
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น ตะบูน, กระบูน, กระบูนขาว (ภาคกลาง), ยี่เหร่ (ภาคใต้)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Xylocarpus granatum J.Koening
วงศ์ MELIACEAE
ถิ่นกำเนิดตะบูนขาว
ตะบูนขาว จัดเป็นไม้ป่าชายเลยที่มีถิ่นกำเนิดบริเวณชายฝั่งทะเล ในเขตร้อน พบกระจายในอเมริกา แอฟริกา เอเชีย ออสเตรเลีย รวมถึงในหมู่เกาะของมหาสมุทรแปซิฟิก สำหรับในประเทศไทยพบตะบูนขาว ได้บริเวณป่าชายเลนในภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ โดยมักพบขึ้นปนกับต้นไม้บริเวณป่าชายเลนอื่นๆ เช่น จาก โกงกาง แสม พังกา หัวสุมดอกขาว ลำพู และลำแพน เป็นต้น
ประโยชน์และสรรพคุณตะบูนขาว
- แก้อหิวาตกโรค
- แก้เส้นตึง
- แก้กร่อน
- แก้เถาดาน
- แก้อาเจียนเป็นเลือด
- ใช้ห้ามเลือดภายใน
- แก้บิด
- แก้ท้องเสีย
- ใช้เป็นยาฝาดสมาน
- ใช้เป็นยาบำรุงร่างกาย
- แก้อาการไอ
- แก้อาการท้องร่วง
- ใช้ชะล้างแผล
- ใช้พอกแก้บวม
- แก้โรคหืด
- แก้พิษจากสัตว์ทะเล
- ใช้เพิ่มความแข็งแรงให้กับกะโหลกศีรษะของเด็กทารก
ตะบูนขาว ถูกนำมาใช้ประโยชน์มากมายหลายด้านอาทิเช่น เนื้อในมีสีขาว สามารถนำมาแปรรูปเป็นไม้ก่อสร้าง เช่น ใช้ทำไม้วงกบ ไม้แป้น รวมถึงแปรรูปเป็นเฟอร์นิเจอร์ หรือ เครื่องใช้ต่างๆ และยังสามารถนำมาใช้ทำฟืน หรือ เผาถ่านใช้เป็นครัวเรือนได้ เปลือกให้น้ำฝาด สามารถนำมาใช้สำหรับย้อมผ้าย้อมแหอวนได้
รูปแบบและขนาดวิธีใช้
- ใช้แก้กร่อน แก้เส้นตึงเป็นเถาดา แก้อหิวาตกโรค ใช้เป็นยาฝาดสมานโดยนำราก นำไปต้มรับประทาน เช้า-เย็น
- ใช้แก้ท้องร่วง โรคบิด แก้ไอ บำรุงร่างกาย โดยนำเมล็ดมาเผาไฟ หรือ คั่วรับประทาน หรือ นำมาต้มกับน้ำดื่มก็ได้
- ใช้ห้ามเลือดภายใน โดยนำเปลือกต้น และผล ตะบูนขาว มาคั้นกับน้ำมดแดงกิน
- ใช้แก้โรคอหิวาต์ อาเจียนเป็นเลือด แก้บิด แก้ท้องเสีย ใช้เป็นยาฝากสมาน โดยนำเปลือกต้น หรือ ผลมาต้มกับน้ำดื่ม
- ใช้เพิ่มความแข็งแรงให้กับกะโหลกศีรษะของเด็กทารก โดยนำเมล็ดมาบดด้วยน้ำปูนใส แล้วนำมาทาบนศีรษะของเด็ก
- ใช้แก้หืด แก้ไอ โดยนำใบมาต้มกับน้ำดื่ม
- ใช้ชะล้างแผล โดยนำเปลือกและเมล็ดมาตะบูนขาว ต้มน้ำนำมาชงชะล้างบริเวณที่เป็นแผล
- ใช้แก้โรคหิด โดยนำเถ้าจากเมล็ดมาผสมน้ำทาบริเวณที่เป็น
- แก้พิษจากสัตว์ทะเล ใช้ยางไม้ของตะบูนขาว สามารถนำมาใช้ทาบริเวณที่โดนพิษ
ลักษณะทั่วไปของตะบูนขาว
ตะบูนขาว จัดเป็นไม้พุ่ม หรือ ยืนต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลาง ผลัดใบแต่ผลิใบใหม่ได้เร็ว มีความสูงประมาณ 6-15 เมตร มีลักษณะทรงพุ่มเป็นทรงเรือนยอดแผ่กว้าง มีรูปร่างไม่เป็นระเบียบ ลำต้นมักคดงอ เปลือกต้นบางเรียบมีสีเทา หรือ อมขาว หรือ เป็นสีน้ำตาลเหลือง ซึ่งเปลือกต้นมักแตกล่อนเป็นแผ่นบางๆ ที่โคนต้นมีลักษระเป็นพูพอน รูปริบบิ้นแผ่จากโคนต้น
ใบตะบูนขาว ใบประกอบแบบขนนกปลายคู่ ยาว 9-12 เซนติเมตร โดยจะออกแบบเรียงสลับ และใน 1 ช่อใบจะมีใบย่อย 1-3 คู่เรียงตรงข้าม หรือ เยื้องกันเล็กน้อย ใบย่อยเป็นรูปไข่กลับ หรือ รูปขอบขนานแกมรูปไข่กลับขนาดกว้าง 3-6 เซนติเมตร ยาว 5-14 เซนติเมตร แผ่นใบสมมาตรกับ ฐานใบรูปลิ่มใบ ปลายใบกลม เนื้อใบหนามาก แต่เปราะแตกง่ายมีเส้นแขนงใบข้างละ 6-9 เส้น
ดอกตะบูนขาว ออกเป็นช่อกระจุกแบบแยกแขนง โดยมักเกิดบนกิ่งอ่อน หรือ กิ่งแก่ แตกเป็นง่ามมีแกนกลางชัดเจน ซึ่งความยาวของช่อดอกประมาณ 1-6 เซนติเมตร มีใบประดับ และใบประดับย่อยที่หลุดร่วงง่าย ยาวประมาณ 0.5 มิลลิเมตร และมีกลีบเลี้ยงปลายจักเป็นพู 4 พู ลึกเกือบถึงกึ่งกลาง ขอบพูจรดกัน ส่วนกลีบดอกมี 4 กลีบ มีสีขาวครีม หรือ สีชมพูเข้ม รูปขอบขนาน กว้าง 2-3 มิลลิเมตร และยาว 3.5-5.5 เซนติเมตร มีก้านเกสรเพศผู้เชื่อมกันเป็นท่อ มีเส้นผ่าศูนย์กลางยาว 2-3.5 มิลลิเมตร ปลายจักเป็นพู แต่ละพูเป็นติ่งแหลม หรือ แตกเป็นสอง รังไข่มี 4 ช่อง แต่ละช่องมีไข่อ่อน 3-4 หน่วย และมีก้านดอกย่อยยาว 3-9 มิลลิเมตร บวมพองที่ปลายติดกับกลีบเลี้ยงเห็นชัด
ผลตะบูนขาว เป็นผงแห้งแตก ลักษณะของผลเป็นรูปทรงกลมขนาดใหญ่ มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 15-25 เซนติเมตร หนักประมาณ 1-2 กิโลกรัม ผลเปลือกแข็งมีสีน้ำตาลคล้ายผลทับทิม มีก้านผลยาวประมาณ 3-5 เซนติเมตร มีร่องตามยาวของผล 4 แนว หรือ แบ่งเป็น 4 พู ด้านในผลมีเมล็ดขนาดใหญ่ ประมาณ 4-20 เมล็ด เมล็ดมีลักษณะเป็นรูปเหลี่ยมโค้งนูนปลาย ประสานเข้าเป็นรูปทรงกลม หนึ่งด้านกว้างประมาณ 4-6 เซนติเมตร
การขยายพันธุ์ตะบูนขาว
ตะบูนขาว เป็นพืชที่สามารถเจริญเติบโตได้ดีในน้ำกร่อย ชอบพื้นที่ชุ่มชื้นที่มีน้ำท่วมขัง และสามารถขยายพันธุ์ในธรรมชาติมากกว่าถูกนำมาปลูกโดยมนุษย์ โดยการขยายพันธุ์ในธรรมชาติของตะบูนขาว นั้นจะเป็นการอาศัยเมล็ดที่แตกออกจากผลร่วงสู่ดินแล้วงอกเจริญเติบโตเป็นต้นใหม่ สำหรับวิธีการเพาะเมล็ดและการปลูกตะบูนขาวนั้นสามารถทำได้เช่นเดียวกันกับไม้ยืนต้น และไม้พุ่มชนิดอื่นๆ ซึ่งได้กล่าวมาแล้วในบทความก่อนหน้านี้
องค์ประกอบทางเคมี
มีรายงานผลการศึกษาวิจัยถึงองค์ประกอบทางเคมีของสารสกัดจากส่วนต่างๆ ของตะบูนขาว ระบุว่าพบสารออกฤทธิ์ที่สำคัญหลายชนิดอาทิเช่น มีรายงานการศึกษาการโดยนำส่วนสกัดหยาบชั้นเมทานอลจากกิ่งและใบของตะบูนขาว มาทำการแยกให้บริสุทธิ์ และสามารพแยกสารลิโมนอยด์-ไพริดีนชนิดใหม่ได้ 2 สาร ได้แก่ Xylogranatopyridines A และ B ซึ่งสารทั้งสองนั้นเกิดมาจากสารลิโมนอยด์ตั้งต้น คือ prexylogra-natopyridine ส่วนสารสกัดหยาบเอทานอลจากเมล็ดตะบูนขาว พบสารกลุ่ม tetranortrierpenoids ชนิดใหม่ 4 สาร ได้แก่ Xylomexicanins E-H และสารลิโมนอยด์ชนิดใหม่อีก 4 ชนิด คือ Xylocartin C และ granattumin V-Y อีกทั้งยังมีรายงานการศึกษาองค์ประกอบทางเคมีจากส่วนสกัดหยาบชั้นเอทานอลของเมล็ดตะบูนขาว อีกฉบับหนึ่งระบุว่า สามารถแยกสารได้ 2 ชนิด คือ Xylocarponoid A และ Xylocarponoid B สารสกัดหยาบเมทานอลจากส่วนใบและกิ่งของตะบูนขาว พบว่าสามารถแยกสาร กลุ่ม protolimonoids ชนิดใหม่ 7 ชนิด ได้แก่ Xylogranatumines A ถึง G นอกจากนี้ส่วนสกัดจากเมล็ดของตะบูนขาว ด้วยเมทานอล ยังพบสารลิโมนอยด์ ได้แก่ Sundarbanxylogranins A ถึง E อีกด้วย
การศึกษาทางเภสัชวิทยาของตะบูนขาว
มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของสารสกัดตะบูนขาว จากส่วนต่างๆ ระบุว่ามีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาหลายประการดังนี้
ฤทธิ์ลดอาการท้องเสีย มีรายงานผลการศึกษาวิจัยโดยป้อนสารสกัดด้วยเมทานอลจากเปลือกต้นตะบูนขาว ขนาด 250 และ 500 มก./กก. ให้หนูถีบจักรที่ถูกเหนี่ยวนำให้ท้องเสียด้วยน้ำมันละหุ่ง และแมกนีเซียมซัลเฟต พบว่าสารสกัดสามารถลดอาการท้องเสียได้ โดยไปลดปริมาณอุจจาระที่ถ่ายทั้งหมด และปริมาณอุจจาระเหลว รวมถึงยังช่วยลดการเคลื่อนไหวของลำไส้ได้อีกด้วย
มีรายงานการวิจัยหลายฉบับระบุว่าส่วนสกัดหยาบเอทานอล จากเปลือกรากตะบูนขาวมีฤทธิ์การยับยั้งเชื้อแบคทีเรียหลายชนิดอาทิเช่น Bacillus subtilis, Diplococus pneumoniae, Proteus valgaris, Staphylococcus, aureus แต่ไม่มีฤทธิ์ในการยับยั้งเชื้อ Escherichia coli ส่วนสารสกัดผลของตะบูนขาวด้วยเอทานอลนั้นมีรายงานการวิจัยว่า ไม่มีฤทธิ์ในการยับยั้งเชื้อ B. Subtilis, E. coli สำหรับส่วนสกัดหยาบไดคลอโรมีเทน และส่วนสกัดหยาบเมทานอลจากเมล็ดตะบูนขาวไม่มีฤทธิ์ในการยับยั้งเชื้อ S.aureus, Methicillin - resistant S. aureus, E. coli และ Pseudomonas aeruginosa แต่ส่วนสกัดเฮกเซนจากเมล็ดตะบูนขาวมีฤทธิ์การยับยั้งเชื้อ S. aureus, Methicillin - resistant S. aureus อย่างอ่อน และไม่มีฤทธิ์ในการยับยั้งเชื้อ E. coli และ P. aeruginosa
มีการนำสารฤทธิ์ต้านเบาหวาน นำสารลิโมนอยด์-ไพริดีนที่แยกได้จากสารสกัดเมทานอลจากกิ่งและใบตะบูนขาว ไปทดสอบฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของโปรตีนไทโรซิน ฟอสฟาเทต 1B (protein tyrosine phosphatase 1B) ที่เกี่ยวข้องกับโรคเบาหวาน พบว่าสาร Xylogranatopyridine A สามารถยับยั้งการทำงานของเนไซม์ที่ชื่อว่า โปรตีนไทโรซิน ฟอสฟาเทต 1B โดยมีค่า IC50 เท่ากับ 22.9 μM
มีการนำสารที่แยกได้จากสารสกัดเอทานอลจากเมล็ดตะบูนขาว ไปทดสอบฤทธิ์ความเป็นพิษต่อเซลล์มะเร็ง 6 ชนิด คือ A549, RERF, PC-3, PC-6, QG-56 และ QG-90 พบว่า สาร Xylomexicanins F แสดงฤทธิ์ยับยั้งเซลล์มะเร็ง A549 และ RERF ในระดับปานกลาง โดยมีค่า IC50 18.83 และ 15.83 mM ตามลำดับ
นอกจากนี้นำลิโมนอยด์ที่แยกได้จากสารสกัดเมทานอลจากส่วนใบของตะบูนขาว ไปทดสอบความเป็นพิษต่อเซลล์มะเร็งปอด (A549) พบว่าสาร Xylogranatumincs F มีฤทธิ์ในการยับยั้งเซลล์มะเร็งปอดที่ดีที่สุด
มีการนำสารที่แยกได้จากสารสกัดเมทานอลจากเมล็ดของตะบูนขาว ไปทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อ HIV พบว่า สาร Sundarbanxylogranin B แสดงฤทธิ์ยับยั้งเชื้อ HIV ในระดับปานกลาง ด้วยค่า IC50=23.14±1.29 μM
การศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาของตะบูนขาว
ไม่มีข้อมูล
ข้อแนะนำและข้อควรระวัง
ถึงแม้ว่าจะมีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของสารสกัดจากส่วนต่างๆ ของตะบูนขาว ระบุว่ามีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่สำคัญหลายประการแต่สำหรับการใช้ตะบูนขาวเป็นสมุนไพรนั้นก็ควรระมัดระวังในการใช้เช่นเดียวกันกับการใช้สมุนไพรชนิดอื่นๆ เนื่องจากยังไม่มีรายงานการศึกษาวิจัยทางพิษวิทยารับรอง รวมถึงยังไม่มีขนาดการใช้ที่ปลอดภัยแน่นอน ดังนั้นจึงควรใช้ในขนาดที่เหมาะสมที่ได้ระบุไว้ในตำรับตำรายาพื้นบ้านต่างๆ อย่างเคร่งครัด ไม่ควรใช้ในขนาด และปริมาณที่มากจนเกินไป หรือ ใช้ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานานจนเกินไป เพราะอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวได้
เอกสารอ้างอิง ตะบูนขาว
- สำนักงานหอพรรณไม้ (2557).ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย เต็ม สมิตินันทน์ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2557.กรุงเทพฯ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ.
- มัณฑนา นวลเจริญ.2552. สารานุกรมความหลากหลายทางชีวภาพตำบลคลองประสงค์ อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่, กทม. สำนักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม
- ก่องกานดา ชยามฤต และลีนา ผู้พัฒนพงศ์.(2545),สมุนไพรไทย ตอนที่ 7.กรุงเทพฯ.ประชาชน.
- ชุติมา จิตนิยม.(2554). ลิโมนอยด์จากเมล็ดตะบูนขาวและตะบูนดำ จังหวัดสุราษฎร์ธานี. วิทยานิพนธ์ปริญญาวิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต, สาขาวิชาเคมี. คณะวิทยาศาสตร์, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
- เปลือกต้นตะบูนขาวช่วยลดอาการท้องเสีย.ข่าวความเคลื่อนไหวสมุนไพร. สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.
- ศิริพร จิ๋วสุวรรณ.การศึกษาทางเคมีและฤทธิ์ทางชีวภาพจากพืชสกุล Xylocarpus, วิทยานิพนธ์หลักสูตรวิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาเคมีศึกษา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา. ธันวาคม 2560. 80 หน้า
- ตะบูน/ตะบูนขาว ประโยชน์และสรรพคุณตะบูน. พืชเกษตรดอทคอมเว็บเพื่อพืชเกษตรไทย (ออนไลน์) เข้าถึงได้จาก http://www.pucehkaset.com.
- Zhen-Fang Zhou, Hai-Li Liu, Wen Zhang, Tibor Kurtan, Attila Mandi, Attila Benyei,Jia Li, Orazio Taglialatela-Scafat, & Yue-Wei Guo. (2014). Bioactive rearrangedlimonoids from the Chinese mangrove Xylocarpus granatum Koenig. Tetrahedron, 70,6444-6449.
- Yi-Bing Wu, Ying Bai, Xiaohan Guo, Jinlong Qi, Mei Dong, Francoise Sauriol, Qingwen Shi,Yucheng Gu, & Changhong Huo. (2014). A new limonoids from Xylocarpusgranatum. Chemistry of Natural Compounds, 50(2), 314-316.
- Yi-Guo Daia, Jun Wua, Krishna Pillai Padmakumarb, & Li Shen. (2017). SundarbanxylograninsA–E, five new limonoids from the Sundarban Mangrove, Xylocarpus granatum.Fitoterapia, 122, 85–89.
- Waratcharee,W.2005.Chemical Constituents from the Seeds of Xylocarpusgranatm. Songkia Univercity.
- Chang-Hong Huo, Dong Guo, Li-Ru Shen, Bao-Wei Yin, Francoise Sauriol, Li-Geng Li, Man-LiZhang, Qing-Wen Shi, & Hiromasa Kiyota. (2010). Xylocarpanoids A and B, unique C28skeleton limonoids from Xylocarpus granatum. Tetrahedron Letters, 51, 754-757.
- Zhen-Fang Zhou, Orazio Taglialatela-Scafati, Hai-Li Liu, Yu-Cheng Gu, Ling-Yi Kong, &Yue-Wei Guo. (2014). Apotirucallane protolimonoids from the Chinese mangroveXylocarpus granatum Koenig. Tetrahedron, 97, 192-197.
- Yi-Bing Wu, Xia Qing, Chang-Hong Huo, Hui-Min Yan, Qing-Wen Shi, Francoise Sauriol,Yu-Cheng Gu, & Hiromasa Kiyota. (2014). Xylomexicanins E-H, new limonoids fromXylocarpus granatum. Tetrahedron, 70, 4557-4562.