กระดึงช้างเผือก ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย
กระดึงช้างเผือก งานวิจัยและสรรพคุณ 20 ข้อ
ชื่อสมุนไพร กระดึงช้างเผือก
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น ขี้กา, เถาขี้กา, ขี้กาแดง (ภาคกลาง), ขี้กาลาย, มะตูมกา (ภาคอีสาน), กระดึงช้าง, ขี้กาใหญ่, ขี้กาขม (ภาคใต้)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Trichosanthes tricuspidata Lour.
วงศ์ COCURBITACEAE
ถิ่นกำเนิดกระดึงช้างเผือก
กระดึงช้างเผือก จัดพรรณไม้เถาที่มีถิ่นกำเนิดในภาคใต้ของอินเดียไปจนถึงทางตะวันออกของเทือกเขาหิมาลัย รวมถึงทางจีนตอนใต้แล้วจึงกระจายพันธุ์ไปยังบริเวณใกล้เคียง เช่น พม่า ไทย ลาว เวียดนาม กันพูชา มาเลเซีย รวมถึงทางตอนใต้ของญี่ปุ่น และออสเตรเลีย สำหรับประเทศไทยสามารถพบได้ทั่วทุกภาคบริเวณป่าเบญจพรรณทั่วไป
ประโยชน์ของสรรพคุณกระดึงช้างเผือก
- ใช้เป็นยาบำรุงร่างกาย
- ใช้เป็นยาถ่าย
- แก้ตับ
- แก้ม้ามโต
- แก้โรคเรื้อน
- ใช้เป็นยาบำรุงกำลัง
- แก้ไข้
- ใช้บำรุงน้ำดี
- แก้ดับพิษ
- แก้เสมหะ
- แก้โลหิต
- ช่วยชำระเสมหะให้ตก
- ช่วยฆ่าโรคไร เห็บ เหา
- ใช้แก้หวัดคัดจมูก
- แก้โรคผิวหนัง
- แก้ฝีหนอง
- แก้พิษตานซาง
- แก้ตับปอดพิการ
- ใช้ถ่ายเสมหะ
- ช่วยขับพยาธิ
รูปแบบและขนาดวิธีใช้
ใช้บำรุงร่างกาย แก้ตับ หรือ ม้ามโตถ่ายพยาธิโดยนำรากมาต้มกับน้ำ ดื่ม หรือ นำรากมาบดให้เป็นผลรับประทน แก้ตับ หรือ ม้ามโตก็ได้ ใช้แก้หวัดคัดจมูก โดยนำใบมาต้มกับน้ำดื่ม ใช้บำรุงกำลัง แก้ไข้ โดยนำดอกมาต้มกับน้ำดื่ม ใช้บำรุงน้ำดีดับพิษเสมหะ และโลหิต ชำระเสมหะให้ตกโดยนำเถากระดึงช้างเผือก มาต้มกับน้ำดื่ม ยาถ่ายใช้แก้พิษตาซาง แก้ตับปอดพิการ ถ่ายเสมหะ ขับพยาธิ โดยนำผลแห้งมาต้มกับน้ำดื่ม ใช้พอกฝีแก้โรคผิวหนังโดยใช้ใบสดมาตำประกบ หรือ ทาบริเวณที่เป็น ใช้แก้โรคเรื้อนโดยใช้รากมาต้มผสมกับน้ำมันใช้ทาบริเวณที่เป็น
ลักษณะทั่วไปของกระดึงช้างเผือก
กระดึงช้างเผือก จัดเป็นไม้เถาขนาดใหญ่เลื้อยไปตามผิวดิน หรือ พืชพรรณไม้อื่นๆ ลักษณะลำต้นเป็นเหลี่ยมสันสีเขียวเข้ม เป็นร่องมีขนสั้นสีขาวสากมือ ขึ้นอยู่ทั่วไป แต่จะค่อยๆ หลุดร่วงไปจนเกือบเกลี้ยง และมีมือเกาะแยกเป็น 2-3 แขนง
ใบ เป็นใบเดี่ยวออกแบบเรียงสลับเป็นห่างๆ มีรูปร่างแตกต่างกันตั้งแต่รูปไข่กว้าง ไปจนถึงรูปเกือบกลมลักษณะของใบ มีลักษณะเป็นแฉก 3-7 แฉก ซึ่งแฉกกลางจะยาวที่สุด ใบมีขนขนาดยาว และกว้างประมาณ 15-20 เซนติเมตร ส่วนโคนใบเว้าคล้ายรูปหัวใจกว้างๆ ขอบใบหยัก และเว้าลึก 3-7 แห่ง ผิวใบด้านบนสากมือ ด้านล่างมีขน ส้นๆ สีขาว มีเส้นใบออกจากโคนใบประมาณ 3-7 เส้น ปลายเส้นใบยื่นพันขอบใบออกไปคล้ายหนามสั้นๆ หลังใบเห็นเป็นร่องของเส้นแขนงใบชัดเจน และในส่วนก้านใบจะมีขนหรือเกือบเกลี้ยง
ดอก ออกเป็นช่อบริเวณซอกใบโดยเพศผู้ และเพศเมียอยู่ต่างต้นกันสำหรับดอกเพศผู้ จะออกเป็นช่อมีใบประดับรูปไข่กลับ และขอบใบประดับจะหยัก เป็นแฉกตื้นๆ กลีบดอกรูปหอกป้อม ขอบหยัก หรือ ฟันเลื่อยลึกแหลม มี 5 กลีบ เชื่อมติดกันเป็นฐานเพียงเล็กน้อย ขอบกลีบเป็นชายครุย มีเกสรเพศผู้ 3 อัน อับเรณูเชื่อมติดกันเป็นรูป S ส่วนดอกเพศเมียออกเป็นดอกเดี่ยวๆ กลีบเลี้ยง และกลีบดอกออกเหมือนดอกเพศผู้ กลีบดอกมีสีเหลืองอมชมพู มีลายเป็นเส้นสีแดงภายใน รังไข่มี 1 ช่อง มีไข่อ่อนจำนวนมาก
ผล เป็นรูปทรงกลม หรือ รูปขอบขนาน เมื่อมีขนขึ้นปกคลุมประมาณ 3-5 เซนติเมตร ผลยังอ่อนเป็นสีเขียวเข้ม มีลายทางเป็นเส้นสีขาว หรือ สีเขียวอ่อนตลอดผล เมื่อสุกจะเปลี่ยนเป็นสีส้มแดงลายสีเหลืองเนื้อด้านในผลเป็นสีเขียว ด้านในผลมีเมล็ด สีเทา หรือ สีน้ำตาลจำนวนมาก และมีเนื้อหุ้มเมล็ดสีเทาเมื่อแห้งจะโปร่งคล้ายฟองน้ำ ส่วนเมล็ดมีลักษณะเป็นรูปขอบขนานแบน
การขยายพันธุ์กระดึงช้างเผือก
กระดึงช้างเผือกสามารถขยายพันธุ์ได้โดยการใช้เมล็ด ซึ่งการขยายพันธุ์ส่วนใหญ่จะเป็นการขยายพันธุ์ตามธรรมชาติ ทั้งโดยที่ผลแก่ตกลงดินแล้วเมล็ดงอกขึ้นเป็นต้นใหม่ และที่นก หรือ สัตว์พันธุ์มาแทะกินผลสุกแล้วถ่ายมูลที่เป็นเมล็ดของกระดึงช้างเผือก ออกมาแล้วจึงงอกเป็นต้นใหม่ สำหรับการนำมาเพาะปลูกโดยมนุษย์นั้นในปัจจุบันยังไม่มีการนิยมนำมาปลูกแต่อย่างใด
องค์ประกอบทางเคมี
มีรายงานผลการศึกษาวิจัยถึงองค์ประกอบทางเคมีจากส่วนต่างๆ ของกระดึงช้างเผือก ในต่างประเทศระบุว่าพบสารออกฤทธิ์ที่สำคัญต่างๆ หลายชนิด เช่น ในผลพบสาร Cucurbitane glycosides cucurbitacin 2-o-b-glycoperanoside, 25-O-acetyl-cucurbitacin2-o-b-glycopyranoside, khekadaengside K khekadaengoside A-J, M-N, cucurbitacin J 2-o-glycopyranoside, cucurbitacin K 2-o-b-glycopyranoside octamor cucurbitane khekada engoside L.
รากพบสาร trichotetrol palmitic acid, suberic acid, tetrahydroxypentacyclic triterpenoid, methyl palmitate, spinasterol, stigmas-7-en-3-beta-ol, bryonolic acid stigmas-7-en-3-beta-ol-3-o-beta-D-glycopyranoside, spinasteral-3-o-beta-D-glucopyranoside, glyceryl l-palmitate, glyceryl1-stearate, 23,24-dihydrocucuebitacin D, isocucuerbitacinB, cucuebitacin B, isocurbitacin D, 3-epi-isocucurbitacin B and D-glucose.
ลำต้นพบสาร กลุ่ม cyloartane glycosides ได้แก่ cyclotricuspidosides A,B and C.
ใบพบสาร cyclotichocantol, cycloeucalenol, cyclotricuspidoside A-C
และในเมล็ดพบสาร n-Hexadecanoic acid, octadecanoic acid, Oleic acid, 9,12-octadecadienoic acid, 9-octadecanoic acid, methyl ester, cis-vaccenic acid, 9-octadecenoic acid, methyl ester, cis-vaccenic acid cis-10-nonadecenoic acid, n-hexylamine,9,12-octadecadienoic acid, butyl 9,12-octadecadienoate, Methyl 9,12-heptadecadienoate, 2-methyl-z,z3,13-octadecadienol 9-octadecanal
การศึกษาทางเภสัชวิทยาของกระดึงช้างเผือก
มีรายงานผลการศึกษาทางเภสัชวิทยาในต่างประเทศของสารสกัดกระดึงช้างเผือก จากส่วนต่างๆ ระบุว่ามีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาดังนี้
ฤทธิ์ต้านการอักเสบ มีรายงานว่าสารสกัดจากส่วนเหนือดินของกระดึงช้างเผือกแสดงฤทธิ์ต้านการอักเสบของ lipopolysaccharide และกระตุนมาโครฟาจในหนูเม้าส์ที่ถูกกระตุ้นให้อักเสบแบบเฉียบพลัน
ฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย มีรายงานการศึกษาระบุว่าสารสกัดเอทานอล เอทานอล และน้ำ สารสกัดน้ำจากส่วนราก ของกระดึงช้างเผือก (trochoanthes tricuspidata) แสดงฤทธิ์ต้านแบคทีเรีย Klebisilla, Pseudomonas aeruginosa และมีรายงานระบุว่าสารสกัดคลอโรฟอร์มของรากกระดึงช้างเผือก แสดงฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียให้เห็นอย่างมีนัยสำคัญ โดยสารสกัดบิวทานอล อะซิโตน เมทานอล และน้ำของกระดึงช้างเผือก แสดงฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย streptococcus pyogenes ส่วนสารสกัดเอทานอลมีฤทธิ์ยับยั้ง Bacillus cereus Klebsiella pneumonia, Klebsiellaoxytoca, brevebacterium paucivorans ส่วนสารสกัดเอทานอลแสดงฤทธิ์ต้าน
ฤทธิ์ถ่ายพยาธิ มีรายงานฤทธิ์ต้านพยาธิของสารสกัดจากส่วนเหนือดินของกระดึงช้างเผือกที่สกัดด้วยเอทานอล และน้ำพบว่าสารสกัดทั้งสองออกฤทธิ์มากกว่าเมื่อเทียบกับยาถ่ายพยาธิมาตราฐานอัลเบนดาโซล โดยฤทธิ์ของสารสกัดทั้งสองขึ้นอยู่กับขนาดยา และสารสกัดเอทานอลออกฤทธิ์มากกว่าสารสกัดน้ำ
ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ มีรายงานการศึกษาวิจัยฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระจากส่วนใบ และผลขอลกระดึงช้างเผือก พบว่าส่วนของผลมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระมากกว่าใบนอกจากนี้มีรายงานจากสารสกัดคลอโรฟอร์มจากส่วนรากกระดึงช้างเผือกระบุว่ามีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระมากกว่าเมื่อเทียบกับสารมาตราฐาน
อีกทั้งยังมีรายงานการศึกษาวิจัยระบุว่าในส่วนของเนื้อผล (pericarp) ของกระดึงช้างเผือก หรือขี้กาแดง มีสารพิษ cucurbitacin 2 ชนิด คือ tricuspidatin, 2-o-Glucocucurbiyacin J. ซึ่งแสดงความเป็นพิษต่อเซลล์มะเร็งผิวหนังมนุษย์ (KB Cell) อีกด้วย
การศึกษาทางพิษวิทยาของกระดึงช้างเผือก
มีรายงานการศึกษาวิจัยด้านพิษวิทยาระบุว่าในส่วนเนื้อของผลกระดึงช้างเผือก พบสารพิษในกลุ่ม cucurbitacin 2 ชนิด คือ tricuspidatin, 2-o-Glucocurbitacin J.
ข้อแนะนำและข้อควรระวัง
จากการศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาพบว่าส่วนเนื้อผลสดขงกระดึงช้างเผือกพบสารมีพิษ 2 ชนิด ดังนั้น จึงไม่ควรรับประทาน หรือ นำเนื้อผลสดมารับประทานเป็นสมุนไพร เพราะอาจทำให้เป็นอันตรายต่อสุภาพได้ สำหรับการใช้ส่วนอื่นๆ ของกระดึงช้างเผือก เป็นสมุนไพรก็ควรระมัดระวังในการใช้โดยควรใช้ในขนาด และปริมาณที่เหมาะสมไม่ควรใช้มากจนเกินไป หรือ ใช้ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานานจนเกินไปเพราะอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวได้
เอกสารอ้างอิง กระดึงช้างเผือก
- ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์. ขี้กาลาย (Khi ka Lai). หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. หน้า 65.
- ลีนา ผู้พัฒนพงศ์. สมุนไพรไทย ตอนที่ 5. กรุงเทพฯ หจก. ชุติมาการพิมพ์ 2530 : 731
- พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ, ดร.นิจศิริ เรือวรังษี, กัญจนา ดีสิเศษ. ขี้กาลาย. หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคกลาง. หน้า 81.
- เมล็ดขี้กาแดง. กระดานถาม-ตอบ (ออนไลน์). เข้าถึงได้จาก http://www.medplant.Mahodol.ac.th/user/replt.asp?id=6039.
- Duyfjes BE, Pruesapan K. The genus Trichosanthes L. (Cucurbitaceae) in Thailand. Thai Forest Bull (Botany). 2004;32:76– 109.
- Nadkarni KM. 1976. Indian Material Medica, Bombay Popular Prakashan Pvt. Ltd., 1, 1238.
- Khare CP. Indian Medicinal Plants An Illustrated Dictionary With 215 Pictures of Crude Herbs 123, 1/211. JanakPuri, New Delhi-110058, India; 2007. p. 671–2.
- Francis XT, Dhanasekaran G. In Vitro Antibacterial potential of Trichosanthes tricuspidata Lour. Against pathogenic bacteria. World J Pharm Pharm Sci. 2018;7(2):1436–41.
- Ahuja A, Jeong D, Kim MY, Cho JY. Trichosanthes tricuspidata Lour. methanol extract exhibits anti-inflammatory activity by targeting SYK, SRC and IRAK Kinase Activity. Evidence-Based Complement Altern Med. 2019;p. 1–14. doi:10.1155/2019/6879346.
- Kanchanapoom T, Kasai R, Yamasaki K, Kazuo Y. Cucurbitane, hexanorcucurbitane and octanorcucurbitane glycosides from fruits of Trichosanthes tricuspidata. Phytochemistry. 2002;59(2):215–28.
- Dubey BK. Evaluation of phytochemical constituents and anthelmintic activity of aerial part of Trichosanthes tricuspidata Lour. Int J Pharm Phytopharmacol Res. 2013;3(2):104–6.
- Saboo SS, Priyanka K, Thorat, Tapadiya GG. Evaluation of phytochemical and anticancer potential of chloroform extract of Trichosanthes tricuspidata Lour roots (Cucurbitaceae) using in- vitro models. Int J Pharm Pharm Sci. 2013;5(4):203–8.
- Jayakumar C, Devi VM, Reddy PDM, Sridar R. Oil extraction from Trichosanthes tricuspidata seed using conventional soxhlet apparatus. Asian J Chem. 2020;32(1):9–12.
- Kasai R, Sasaki A, Hashimoto T, Ohtani K, Yamasaki K. Cycloartane glycosides from Trichosanthes tricuspidata. Phytochemistry. 1999;51:803–8.