ข้าวเย็นเหนือ ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย
ข้าวเย็นเหนือ งานวิจัยและสรรพคุณ 25 ข้อ
ชื่อสมุนไพร ข้าวเย็นเหนือ
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น ข้าวเย็นวอก (ภาคเหนือ), ข้าวเย็นโคกแดง (อีสาน), หัวยาข้าวเย็นเหนือ (ภาคกลาง), หัวยาจีนปักษ์เหนือ (ภาคใต้), ควงเถี่ยวป๋าเซีย (จีน), เสี้ยมโถ่ฮก (จีนแต้จิ๋ว)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Smilax corbularia Kunth subsp. corbularia
วงศ์ SMILACACEAE
ถิ่นกำเนิดข้าวเย็นเหนือ
ข้าวเย็นเหนือ เป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริเวณประเทศพม่า ไทย และลาว แล้วจึงได้มีการแพร่กระจายพันธุ์ไปยังบริเวณใกล้เคียง สำหรับในประเทศไทย มักจะพบมากทางภาคเหนือของประเทศ และบางพื้นที่ในภาคอีสานบริเวณ ป่าโปร่ง ป่าดงดิบเขา ป่าเบญจพรรณ และป่าเต็งรัง ทั้งนี้มีการนำเหง้าใต้ดินของข้าวเย็นเหนือมาใช้เป็นเครื่องยา โดยพบว่าจะมีเหง้าพืชอีกชนิดหนึ่งที่นำมาใช้ทำเป็นเครื่องยาที่มีลักษณะคล้ายๆ กัน คือ ข้าวเย็นใต้ แต่จะมีลักษณะที่แตกต่างกันที่สามารถสังเกตได้ คือ ข้าวเย็นเหนือจะมีเนื้อสีแดงเข้ม เนื้อละเอียด มีรสมัน ส่วนข้าวเย็นใต้หัวมีเนื้อสีขาว และมีรสมันอร่อยออกหวานเล็กน้อย จะเป็นเครื่องยาที่นำเข้ามาจากประเทศจีน
ประโยชน์และสรรพคุณข้าวเย็นเหนือ
- แก้ปวด
- แก้น้ำเหลืองเสีย
- แก้ร้อนในกระหายน้ำ
- แก้เส้นเอ็นพิการ
- แก้ปัสสาวะพิการ
- แก้กามโรค
- แก้มะเร็งคุดทะราด
- แก้เข่าข้อออกดอก
- แก้ฝีแผลเน่าเปื่อยพุพอง
- แก้ทำให้แผลฝียุบแห้ง
- ช่วยดับพิษในกระดูก
- แก้เม็ดผื่นคัน
- แก้อักเสบในร่างกาย
- แก้ไข้เรื้อรัง
- แก้ไข้ตัวร้อน
- แก้ไข้สันนิบาต
- แก้ไข้เหนือ
- แก้ลมริดสีดวง
- ช่วยบำรุงเลือดลม
- บำรุงกำลัง
- ช่วยลดอาการลดปวด สำหรับหญิงอยู่ไฟ หลังคลอดบุตร
- แก้มะเร็ง
- แก้หนองใน
- แก้ริดสีดวง
- ช่วยขับน้ำเหลือง
รูปแบบและขนาดวิธีใช้
ใช้แก้มะเร็ง โดยบดยาหัวให้ละเอียด ผสมกับส้มโมง ต้นจนแห้ง แล้วผสมกับน้ำผึ้ง กินวันละ 1 เม็ด ใช้แก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้น้ำเหลืองเสีย แก้เส้นเอ็นพิการ แก้กามโรค ดับพิษในกระดูก แก้ปัสสาวะพิการ แก้อักเสบในร่างกาย แก้มะเร็งคุดทะราด ใช้บำรุงเลือดลม บำรุงกำลัง แก้ไข้ แก้ประดง โดยใช้เหง้า(หัว)ข้าวเย็นเหนือ แห้งต้มกับน้ำดื่ม ใช้แก้ไอ โดยใช้หัวข้าวเย็นเหนือ 5 บาท และหัวข้าวเย็นใต้ 5 บาท นำมาต้ม และเติมเกลือทะเลเล็กน้อย ดื่มวันละ 2 ครั้ง เช้า และเย็น ใช้แก้ริดสีดวงทวาร จะใช้ตัวยา 12 อย่าง ได้แก่ หัวข้าวเย็นเหนือเย็น ข้าวเย็นใต้ แก่นจำปา พริกไทยล่อน เครือส้มกุ้ง จันทน์ขาว จันทน์แดง จุกกระเทียม จุกหอมแดง รากลำเจียก เหง้าสับปะรด และสารส้ม นำมาต้มในหม้อดิน ใช้ดื่มครั้งละ 1 ถ้วยชา เช้า กลางวัน และเย็น ใช้แก้อาการปวดเมื่อยตามร่างกาย โดยใช้ข้าวเย็นเหนือ และข้าวเย็นใต้อย่างละ 30 กรัม โกฐหัวบัว, โกฐเขมา, เจตมูลเพลิง, เถาวัลย์เปรียง อย่างละ 20 กรัม นำมาต้มกับน้ำดื่ม หรือ จะนำมาแช่กับเหล้า ทิ้งไว้ 7 วัน แล้วนำมาดื่มก็ได้ ใช้เป็นยารักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก โดยใช้ข้าวเย็นเหนือ และข้าวเย็นใต้ นำมาบดเป็นผง ผสมกับน้ำมันมะพร้าว หรือ น้ำมันงา แล้วนำมาใช้ทาบริเวณที่เป็น ใช้แก้โรคผิวหนัง ผดผื่นคัน ผิวหนังอักเสบ โดยหัวใต้ดินนำมาต้มกับน้ำให้เด็กอาบ
ลักษณะทั่วไปของข้าวเย็นเหนือ
ข้าวเย็นเหนือ จัดเป็นไม้เถาเนื้อแข็ง มีหัวหรือเหง้าเนื้อแข็งอยู่ใต้ดิน เถามีลักษณะกลมหรือเป็นเหลี่ยมเล็กน้อย มีหนาม กระจายห่างๆ มักเลื้อยพาดพันต้นไม้อื่น หรือ ตามพื้นดินในสภาพที่สมบูรณ์ เถาเลื้อย อาจยาวได้ถึง 5 เมตร ใบออกเป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับ เป็นรูปรีแรมรูปใบหอก กว้าว 3-8 เซนติเมตร และยาว 5-15 เซนติเมตร ปลายใบแหลมโคนใบมนไม่เว้า ขอบใบเรียบ แผ่นใบเป็นมันหนาคล้ายแผ่นหลัง ผิวใบเรียบทั้งสองด้าน หน้าใบเป็นสีเขียวเข้ม หลังใบมีขนสีขาวปกคลุม ใบมีเส้นใบหลักประมาณ 5-7 เส้น โดยเส้นกลาง 3 เส้น จะเห็นได้ชัดกว่าเส้นด้านข้าง ดอกออกเป็นช่อแบบช่อซี่ร่ม โดยจะออกที่ซอกใบที่อยู่ใกล้ปลายกิ่ง เป็นดอกแยกเพศต่างต้น ดอกย่อย 1-3 ช่อ ดอกมีสีเขียวมีกลีบ 6 กลีบ เป็นรูปรี หรือ รูปรีแกมรูปขอบขนาน เกสรเพศผู้มีจำนวน 6 อัน ส่วนช่อดอกเพศเมียมี 15-30 ดอกต่อช่อ รังไข่อยู่เหนือวงกลีบ รูปรี ยาวประมาณ 2 มิลลิเมตร มีเกสรเพศผู้ที่เป็นหมัน 3 อัน คล้ายกับเข็ม ผลออกเป็นกระจุกแน่น ลักษณะเป็นทรงกลม เป็นผลแบบมีเนื้อ เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 5-6 มิลลิเมตร เมื่อผลอ่อนเป็นสีเขียวแต่เมื่อผลสุกจะเป็นสีม่วงดำ ภายในผลมีเมล็ดประมาณ 1-2 เมล็ด
การขยายพันธุ์ข้าวเย็นเหนือ
ข้าวเย็นเหนือสามารถขยายพันธุ์ได้โดยวิธีใช้เมล็ดและใช้เหง้าปลูก ซึ่งการขยายพันธุ์หลักๆที่เกิดขึ้นจะเป็นการขยายพันธุ์ในธรรมชาติมากกว่าการถูกนำมาขยายพันธุ์โดยมนุษย์ ส่วนในการนำข้าวเย็นเหนือ มาใช้เป็นเครื่องยานั้น ก็จะเป็นการนำมาจากธรรมชาติมากกว่าการปลูกเพื่อใช้ประโยชน์ แต่หากต้องการจะขยายพันธุ์ข้าวเย็นเหนือนั้น มีการแนะนำว่าควรใช้วิธีนำเหง้ามาปลูก เพราะจะสามารถเจริญเติบโตได้เร็วกว่าการปลูกโดยใช้เมล็ด สำหรับวิธีการใช้เหง้าปลูกนั้น ก็สามารถทำได้เช่นเดียวกันกับการใช้เหง้าปลูกพืชชนิดอื่นๆ ตามที่ได้กล่าวมาแล้วในบทความก่อนหน้านี้
องค์ประกอบทางเคมี
มีการศึกษาวิจัยถึงองค์ประกอบทางเคมีของเหง้าข้าวเย็นเหนือ ที่นำมาใช้ทำเครื่องยาสมุนไพรพบว่า พบสารทุติยภูมิที่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญ ได้แก่ phenolic compound, Astilbin, quercetin, engeletin และ steroid saponin
นอกจากนี้ยังพบสาร Diosgenin, Smilacin, Tanin, Smilax, Parillin, Tigogenin, Amino acid เป็นต้น
ที่มา : Wikipedia
การศึกษาทางเภสัชวิทยาของข้าวเย็นเหนือ
มีผลการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของเหง้าข้าวเย็นเหนือ หลายฉบับ ระบุว่าสารสกัดของเหง้า (หัว) ข้าวเย็นเหนือมีฤทธิ์ต้านเอนไซม์ HIV-1 integrase ได้ และยังพบว่าสารออกฤทธิ์ที่สำคัญในเหง้าของข้าวเย็นเหนือยังมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้มีรายงานการการศึกษาวิจัยโดย ใช้เหง้าของหัวข้าวเย็นเหนือเป็นตำรับยาร่วมกับหัวข้าวเย็นอีก 4 ชนิด คือ P ygmaeopremnaherb acea (Roxb.) Mold., Dioscoreamemb ranacea Pierre ex Prain & Burkill., D. birmanica Prain & Burkill และ S. glabra Roxb. เพื่อรักษาโรคมะเร็งและเอดส์อีกด้วย
การศึกษาทางพิษวิทยาของข้าวเย็นเหนือ
ไม่มีข้อมูล
ข้อแนะนำและข้อควรระวัง
ในการใช้ส่วนต่างๆ ของข้าวเย็นเหนือเป็นเครื่องยาสมุนไพรสำหรับบำบัดรักษาโรคต่างๆ นั้นควรระมัดระวังในการใช้เช่นเดียวกันกับการใช้สมุนไพรชนิดอื่นๆ โดยควรใช้ในปริมาณที่พอดีที่ระบุไว้ในตำรับตำรายาต่างๆ ไม่ควรใช้ในปริมาณที่มากหรือน้อยจนเกินไป หรือ ใช้ติดต่อกันเป็นระยะเวลานานจนเกินไป เพราะอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพได้ สำหรับเด็ก สตรีมีครรภ์ ผู้ป่วยโรคเรื้อรังรวมถึงผู้ที่ต้องรับประทานยาต่อเนื่องเป็นประจำ ก่อนจะใช้ข้าวเย็นเหนือ เป็นสมุนไพรสำหรับบำบัดรักษาโรค ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้เสมอ
เอกสารอ้างอิง ของข้าวเย็นเหนือ
- แก้ว กาญจนา,2547, ตำราสมุนไพรบำบัดโรคชุดที่ 2 สูตรลับตำรับสมุนไพรรักษาโรคเบาหวาน, สํานักพิมพ์นีออนบุ๊คมีเดีย, นนทบุรี, 100 น.
- วิทยา บุญวรพัฒน์. “ข้าวเย็นเหนือ”. หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. หน้า 132.
- เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ, 2549, สมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคกลาง, มูลนิธิการแพทย์แผนไทยพัฒนา, พิมพ์ครั้งที่ 2, บริษัทสามเจริญพาณิชย์, กรุงเทพฯ, 228 น.
- ชยันต์ พิเชียรสุนทร ศุภชัย ติยวรนันท์ และ วิเชียร จีรวงศ์. คู่มือเภสัชกรรมแผนไทยเล่ม 6 เภสัชกรรม. กทม. อัมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง. 2555.http://thaiherbal.org/900/900
- เยาวพา จิระเกียรติกุล,เจิมดรุณ อุทัยแจ่มศรีผล, ภานุมาศ ฤทธิไชย. ผลของระยะเวลาเพาะเลี้ยงต่อปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระของยอดหัวข้าวเย็นเหนือ . วารสารวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปีที่ 27. ฉบับที่ 6.พฤศจิกายน-ธันวาคม 2562. หน้า 1066-1077
- ข้าวเย็น.ฐานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี (ออนไลน์) เข้าถึงได้จาก http://www.phergarden.com/main.php?action=viewpage&pid=49
- Yuan, J.Z., Dou, D.Q., Chen, Y.J., Li, W., Kazuo, K., Tamotsu, N. and Yao, X.S.,2004,Studies on dihydroflavonol glycosides from rhizome of Smilax glabra,China J.Chin.Mate.Med.29: 867-870.
- Li, S.Y., Fuchino, H., Kawahara, N., Sekita, S. and Satake, M.,2002,New phenolic constituents from Smilax bracteata,J. Nat. Prod. 65: 262-266.
- Shi-Chao, C., Ying-Xiong, Q., Ai-Li, W., Cameron, K.M. and Cheng-Xin, F.,2006,A phylogenetic analysis of the Smilacaceaebased on morphological data,Acta Phytotaxon. Sin. 44: 113-125.
- Ruangnoo, S., Jaiaree, N., Makchuchit, S., Panthong, S., Thongdeeying, P. and Itharat, A.,2012,An in vitroinhibitory effect on RAW 264.7 cells by antiinflammatory compounds from Smilax corbulariaKunth,Asian Pac. J. Allergy Immunol. 30: 268-74.