ลำพู ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย

ลำพู งานวิจัยและสรรพคุณ 20 ข้อ

ชื่อสมุนไพร ลำพู
ชื่อวิทยาศาสตร์ ลำภู, ลำพูบ้าน (ทั่วไป)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Sonneratia caseolaris (L.) Engl.
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Sonneratia acida Linn.
ชื่อสามัญ Cark tree, Mangrove apple, Crab apple mangrove
วงศ์ SONNERATIACEAE


ถิ่นกำเนิดลำพู

ลำพู จัดเป็นพันธุ์ไม้ป่าชายเลนที่มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมบริเวณเขตร้อนของทวีปเอเชีย ในภูมิภาคเอเชียใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ในศรีลังกา อินเดีย มาเลเซีย ไทย อินโดนีเซีย จากนั้นจึงได้มีการแพร่กระจายพันธุ์ไปยังหมู่เกาะโซโลมอน, หมู่เกาะนิวเฮมริดิส รวมถึงทางตอนเหนือของออสเตรเลีย อีกด้วย สำหรับในประเทศไทยสามารถพบลำพู ได้ตามป่าชายเลน ในภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้


ประโยชน์และสรรพคุณลำพู

  1. ใช้แก้ไข้เนื่องจากอักเสบ
  2. ใช้ดับพิษร้อน
  3. ใช้ถอนพิษไข้
  4. ช่วยขับปัสสาวะ
  5. ช่วยขับนิ่ว
  6. แก้ไข้
  7. แก้ไอ
  8. แก้ท้องเสีย
  9. แก้ท้องร่วง
  10. แก้เลือดไหลไม่หยุด
  11. แก้ปวดท้อง
  12. แก้พิษปลาดุกแทง
  13. แก้ฝีดาษ
  14. ใช้ขับเมือกในลำไส้
  15. แก้แผลเปื่อยพุพอง
  16. แก้โรคผิวหนัง
  17. ใช้ทำน้ำกระสายยา
  18. แก้โรคป่วง
  19. ใช้ขับเลือดในระบบทางเดินปัสสาวะ
  20. ช่วยขับพยาธิ 

           มีการใช้ประโยชน์จากลำพู ในรูปแบบต่างๆ ดังนี้

  • ผลของลำพูมีรสเปรี้ยว เด็กๆในชนบทจะใช้รับประทานเล่นเป็นของว่าง
  • ส่วนยอดอ่อน ดอกอ่อน และผลอ่อนของต้นลำพู มีการนำมาใช้รับประทานเป็นผักสด หรือ ลวกเป็นผักจิ้ม หรือ รับประทานเป็นเครื่องเคียง กับน้ำพริก
  • ในส่วนของรากอากาศของต้นลำพูที่ขึ้นกระจายอยู่รอบต้น เรียกว่า หน่อลำพู ใช้ทำเป็นจุกสำหรับปิดไห หรือ ขวดน้ำปลาที่หมักแบบดั้งเดิม หรือ ใช้ตากแห้งตัดเป็นท่อนสั้นๆ มัดกับเส้นเอ็นเพื่อเป็นทุ่นเบ็ดสำหรับตกปลา
  • ส่วนเนื้อไม้มีความแข็งแรงปานกลาง มีความทนทาน หากใช้ในที่ร่ม จึงนิยมนำมาใช้ก่อสร้าง เช่น ทำฝาบ้าน พื้นบ้าน ทำเรือ ไม้พาย หีบศพ ลังใส่ของ ทำไส้ไม้อัด หรือ ใช้ทำแบบหล่อคอนกรีต เป็นต้น

           นอกจากนี้ในประเทศมาเลเซียยังมีผลอ่อนของลำพู กวนไว้รับประทานกับแกงกะหรี่ หรือ นำไปเป็นส่วนผสมในเครื่องปรุงแกงเผ็ดอีกด้วย

ลำพู

รูปแบบและขนาดวิธีใช้

  • ใช้ดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ ขับปัสสาวะ ขับนิ่ว แก้ไข้ แก้ไอ แก้ท้องเสีย ขับพยาธิ โดยนำรากลำพูมาต้มกับน้ำดื่ม
  • ใช้แก้ปวดท้อง โดยนำลำพูมาต้มกับน้ำดื่ม
  • แก้พิษปลาดุกแทง โดยนำใบลำพูมาตำพอกบริเวณที่โดนแทง
  • ใช้แก้ท้องร่วง โดยนำผลลำพู แก่มาคั้นเอาน้ำกิน
  • ใช้แก้แผลเปื่อยพุพอง แก้โรคผิวหนัง โดยนำเปลือกต้นลำพูมาแช่น้ำ หรือ ต้มกับน้ำอาบ
  • ใช้แก้อาการเลือดไหลไม่หยุด โดยนำน้ำที่ได้จากการหมักผลลำพูมาดื่ม
  • ใช้บรรเทาอาการไอ โดยนำน้ำคั้นจากผลลำพูห่ามมาดื่ม 
  • ใช้รักษาฝีดาษ โดยนำใบลำพูมาบดผสมกับข้าวสุกใช้พอกบริเวณที่เป็น


ลักษณะทั่วไปของลำพู

ลำพู จัดเป็นได้ยืนต้นไม่ผลัดใบขนาดกลางสูง 10-25 เมตร เรือนพุ่มยอดโปร่ง ลำต้นตั้งตรง เปลือกของลำต้นเรียบมีสีน้ำตาล หรือ เทาคล้ำ เมื่อต้นมีอายุมาก เปลือกต้นจะแตกและมีร่องตื้นกิ่ง มักจะแตกห้อยย้อยลงดิน

           ใบลำพู เป็นใบเดี่ยว แตกออกตรงข้ามเป็นคู่ๆ ตั้งแต่ 5 คู่ขึ้นไป ลักษณะของใบเป็นรูปรี รูปขอบขนาน รูปไข่แคบ หรือ รูปไข่กลับ ใบมีขนาดกว้าง 2-5 เซนติเมตร ยาว 6-10 เซนติเมตร โคนใบเป็นรูปลิ่ม หรือ มน ปลายแหลมและมีติ่งแหลมสั้น ขอบใบเรียบ เนื้อใบหนาคล้ายแผ่นหนัง ผิวใบเกลี้ยงสีเขียวมีเส้นกลางใบสีแดงแยกจากเส้นกลาง 8-12 คู่ หรือ มากกว่า ก้านใบมีสีแดงเรื่อ

           ดอกลำพู เป็นดอกเดี่ยวออกบริเวณปลายกิ่ง โดยดอกมีขนาดใหญ่ เป็นรูปมนรีปลายแหลมมีกลีบเลี้ยงสีเขียวหนาคล้ายหนัง ส่วนกลีบดอกมี 6 กลีบ มีสีขาวอมเขียว หรือ สีเหลือง ตรงกลางดอกมีเกสรตัวผู้จำนวนมากติดอยู่ที่โคนของหลอดกลีบเลี้ยง ภายในดอกประกอบด้วยอับเกสรรูปไต และก้านชูอับเกสรสีชมพูหรือแดง ซึ่งมีลักษณะยาวส่วนเกสรตัวเมียประกอบด้วยรังไข่ และมีกลุ่มท่อน้ำท่ออาหารอยู่ตรงกลาง

           ผลลำพู เป็นผลสด รูปร่างกลมแป้นสีเขียว มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 3-4.75 เซนติเมตร โคนผลติดอยู่กับหลอดของกลีบเลี้ยงที่แผ่แบนราบ ส่วนปลายผลจะเว้าตรงปลาย และจะมีหลอดเป็นเส้นยาวติดอยู่ ภายในผลมีเมล็ดขนาดเล็กจำนวนมาก เมล็ดลักษณะของเมล็ดเป็นเหลี่ยมชัดเจน ฝังอยู่ในเนื้อ เปลือกหุ้มเมล็ดแข็ง สีน้ำตาล

ลำพู
ลำพู

การขยายพันธุ์ลำพู

ลำพู สามารถขยายพันธุ์ได้โดยการใช้เมล็ดในธรรมชาติ เมื่อผลลำพูสุกจะหลุดจากขั้นร่วงลงพื้น จากนั้นเนื้อผลจะปริออก เมล็ดลำพูที่อยู่ในเนื้อผลจำนวนมากจะแยกตัวออกแล้วไหลตามน้ำ เมื่อเมล็ดมาติดบริเวณที่มีสภาพเหมาะสม เมล็ดก็จะงอกเป็นต้นอ่อนและเจริญเป็นต้นใหม่ได้ ส่วนวิธีการเพาะเมล็ดและการปลูกลำพู นั้น สามารถทำได้เช่นเดียวกันกับการเพาะเมล็ด และการปลูกไม้ป่าชายเลนอื่นๆ เช่น โกงกาง ตะบูนขาว ตะบูนดำ และแสม เป็นต้น ซึ่งได้กล่าวมาแล้วในบทความก่อนหน้านี้


องค์ประกอบทางเคมี

มีรายงานผลการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับองค์ประกอบทางมึของสารสกัดจากดอก และส่วนเหนือดินของลำพู ระบุว่าพบสารออกฤทธิ์ที่สำคัญหลายชนิด อาทิเช่น สารสกัดจากดอกลำพู พบสารต่างๆ ดังนี้ β-sitosterol , β-sitosterol-3-O-, stigrnasterol, quercetin, kaempferol และ gallic acid เป็นต้น

           ส่วนสารสกัดจากส่วนเหนือดินพบสารต่างๆ ดังนี้ พบ oleanolic acid, ß-sitosterol-ß-D-glucopyranoside, luteolin, luteolin 7-O-ß-glucoside, (–)-R-nyasol, (–)-R-4′-O-methylnyasol, ellagic acid, maslinic acid, vanillic acid และ myricetin นอกจากนี้สารสกัดจากใบยังพบสาร luteolinand luteolin 7-O-ß-glucoside, maslinic acid, sterolsและ triterpenoids อีกหลายชนิด

โครงสร้างลำพู

การศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของลำพู

มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของสารสกัดลำพู จากใบ ดอก เกสร ผล เปลือกต้น ของลำพู ระบุว่า มีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาต่างๆ ดังนี้

           มีรายงานผลการศึกษาวิจัยระบุว่า สารสกัดใบลำพูที่สกัดด้วยเอทานอล 95% แสดงคุณสมบัติต้านมะเร็งเม็ดเลือดโดยสารสกัดใบลำพูสามารถทำให้เซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวเพาะเลี้ยงชนิด HL60 ซึ่งเป็นเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันชนิด human acute promyelocytic leukemia ตายไป 50% โดยมีค่า IC50 ที่ระดับความเข้มข้น 89.5 ± 6.45μg/mL ซึ่งเป็นความเข้มข้นที่น้อยที่สุดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) เมื่อเปรียบเทียบกับเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวเพาะเลี้ยงชนิด Molt 4 (เป็น human acute lymphoblastic) และเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวเพาะเลี้ยงชนิด K562 ซึ่งเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวเรื้อรังชนิด human chronic myeloid leukemia ต้องใช้ความเข้มข้น 124.4± 7.38และ 190.2 ± 4.40μg/mL ตามลำดับ ซึ่งสารสกัดใบลำพูมีคุณสมบัติในการต้านมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิด human acute promyelocytic leukemia ได้ดีกว่าเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิด human acute lymphoblastic และชนิด human chronic myeloid leukemia คิดเป็น 1.39 และ 2.13 เท่า ตามลำดับ

           อีกทั้งยังพบว่าสารสกัดใบลำพู ยังแสดงฤทธิ์ต้านการอักเสบของสารสกัดโดยการวัดการลดลงของปริมาณไนตริกออกไซด์ด้วยปฏิกิริยา Griess โดยใช้ RAW 264.7 (macrophage cell line) เป็นเซลล์ต้นแบบ และกระตุ้นด้วย LPS ให้หลั่งไนตริกออกไซด์ จากการทดสอบพบว่าสารสกัดใบลำพูที่ความเข้มข้น 26.5± 6.08 μg/mL สามารถยับยั้งการผลิตไนตริกออกไซด์ 50%

           นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าสารสกัดจากลูกลำพู ที่สกัดด้วยเอทานอล 96% ที่ความเข้มข้น 250 และ 500 mg/Kg ยังมีฤทธิ์การต้านการอักเสบโดยได้ทำการศึกษาในหนู (mice) ที่เหนี่ยวนำทำให้เกิดอุ้งเท้าบวม (paw edema) แบบตามความเข้มข้นที่เพิ่มสูงขึ้น (dose-dependent manner) และมีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) โดยการวัดปริมาณฟีนอล (phenolics) ฟลาโวนอยด์ (flavonoids) และแทนนิน (tannins) ด้วยวิธี DPPH เท่ากับ 122 mg GAE/gm, 613 mg QE/gm และ 30 mg GAE/gm ตามลำดับ

           และยังมีรายงานการศึกษาอีกฉบับหนึ่งที่ทำการทดสอบฤทธิ์ของสารสกัดจากกลุ่มพืชป่าชายเลน พบว่าทีหุ้มดอก เกสร และผลลำพู มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระที่ดีเมื่อเปรียบเทียบกับสารสกัดจากพืชป่าชายเลนชนิดอื่นเมื่อ ทดสอบด้วยวิธี DPPH โดยมีค่า ED50 เท่ากับ 6, 10, 2.93 และ 4.17 µg/ml ตามลำดับ อีกทั้งสารสกัดจากผลลำพูยังมีฤทธิ์ต้านการเกิด llpid peroxidation ที่ดีโดยมีค่า IC50 เท่ากับ 0.083 µg/ml และยังมีรายงานผลการศึกษาวิจัยฤทธิ์ต้านเชื้อจุลชีพของสารสกัดจากลำพู 5 ชนิด พบว่ามีศักยภาพในการต้านเชื้อจุลชีพได้ โดยมีสารสกัดถึง 5 ชนิด ที่ออกฤทธิ์ต้านแบคทีเรียในวงกว้างถึง 8 สายพันธุ์ ได้แก่ สารสกัดจากใบอ่อน ราก ดอกอ่อน ดอกแก่ และผลอ่อน

           ส่วนการศึกษาวิจัยอีกฉบับหนึ่งระบุว่า สารสกัดจากลำพูที่ออกฤทธิ์ต้านแบคทีเรียได้ดีโดยมี inhibition zone อยู่ระหว่าง 17-19 มิลลิเมตร โดยเรียงลำดับจากมากไปหาน้อย คือ สารสกัดจากเปลือก กลีบเลี้ยง ดอกแก่ และเกสร ซึ่งออกฤทธิ์ต้าน B. subtilis และสารสกัดจากเกสรและใบอ่อนที่ออกฤทธิ์ต้าน A. hydrophila ได้ดีและมีรายงานการศึกษาว่าสารสกัดเมทธานอลจากส่วน ใบ รากส่วนต่างๆ ของดอก และผลของลำพู ออกฤทธิ์ต้านแบคทีเรียแกรมลบ ได้แก่ E. coli และ P. aeruginosa รวมทั้งสายพันธุ์ดื้อยาได้ดี แต่เมื่อนําไปสกัดด้วย soxhlet พบว่าฤทธิ์ต้านจุลชีพลดลงมาก แสดงว่าสารที่ออกฤทธิ์ต้านจุลชีพน่าจะเป็นสารที่มีขั้ว

           นอกจากนี้ ยังมีรายงานอีกฉบับระบุว่าสารสกัดจากส่วนใบของลำพูออกฤทธิ์ต้านแบคทีเรียได้ดีที่สุด โดยออกฤทธิ์ต้านแบคทีเรีย B. megaterium, S. aureus และ S. aureus สายพันธุ์ดื้อยา ในขณะที่สารสกัดจากรากและเมล็ดสามารถต้านเชื้อแบคทีเรียแกรมบวก B. megaterium ได้ดี ส่วนสารสกัดจากส่วนกลีบเลี้ยง เกสร และเนื้อ ออกฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียแกรมบวกได้อีกด้วย

           ส่วนฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาอื่นๆ ของลำพูยังมีอีกหลายด้าน เช่น ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) ฤทธิ์ความเป็นพิษต่อเซลล์ (cytotoxicity) ฤทธิ์ยับยั้งการเกิดเปอร์ออกซิเดชันของไขมัน (antilipid peroxidation) ฤทธิ์ปกป้องเซลล์ตับ (Hepatoprotective activity) และฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ acetylcholinesterase เป็นต้น


การศึกษาวิจัยพิษวิทยาของลำพู

ไม่มีข้อมูล


ข้อแนะนำและข้อควรระวัง

สำหรับการใช้ลำพู เป็นสมุนไพรนั้น ควรระมัดระวังในการใช้เช่นเดียวกันกับการใช้สมุนไพรชนิดอื่นๆ โดยควรใช้ในขนาดและปริมาณที่กำหนดไว้ใรตำรับตำรายาต่างๆ ไม่ควรใช้ในขนาดที่มากจนเกินไป หรือ ใช้ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานานจนเกินไป เพราะอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวได้


เอกสารอ้างอิง ลำพู
  1. วุฒิ วุฒิธรรมเวช. ในสารานุกรมสมุนไพร : รวมหลักเภสัชกรรมไทย.พิมพ์ครั้งที่ 1.กรุงเทพมหานคร: โอเดียนสโตร์; 2540
  2. สำนักอนุรักษ์ทรัพยากรป่าชายเลน กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง คู่มือการเพาะชำ กล้าไม้ป่าชายเลน. กรุงเทพฯ:โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย. 2552. 122 หน้า
  3. จำนง ทองประเสริฐ. ราชบัณฑิต จดหมายข่าวราชบัณฑิตยสถานปีที่ 7 ฉบับที่ 74. ก.ค.2540.
  4. สำนักอนุรักษ์ทรัพยากรป่าชายเลน. 2555. พันธุ์ไม้ป่าชายเลนในประเทศไทย. โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์
  5. การเกษตรแห่งประเทศไทย จํากัด, กรุงเทพฯ.
  6. ธวัชชัย แพชมัด, เกษร จันทร์ศิริ, จุรี เจริญธีรบูรณ์. การพัฒนาสารสกัดจากลำพูและการศึกษาฤทธิ์ทางชีวภาพเพื่อใช้ทางยาและเครื่องสำอาง. รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ สถาบันวิจัยและพัฒนามหาวิทยาลัยศิลปากร, กรุงเทพฯ; 2555
  7. พันธุ์ทิพย์ วิเศษพงษ์พันธ์, ฤทธิรงค์ พรหมมาศ, อรรถวุฒิ กันทะวงศ์, และ วีระพงษ์ ศรีโฉมงาม. 2555. บทบาทของแทนนินในการป้องกันตัวของพรรณไม้ชายเลน 6 ชนิด, น.544-552. ใน เรื่องเต็มการประชุมทางวิชาการครั้งที่ 50 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เล่มที่ 1 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, กรุงเทพฯ
  8. ธวัชชัย แพชมัด, อรุณี เชื้อแก้ว, กชมน ยอดขำ. ปริมาณสารประกอบกลุ่มฟิโลลิกในชงชาจากส่วนต่างๆ ของลำพู (soneratia caseolaris (Linn.) Engl.) และผลของการทำให้แห้งด้วยเทคนิกต่างๆ ที่มีต่อปริมาณสารประกอบกลุ่มฟิโนลิก. การประชุมวิชาการและการนำเสนอผลงานทางวิชาการคณะเภสัชศาสตร์ 3 สถาบัน ครั้งที่ 3. 12-13 กุมภาพันธ์ 2554. หน้า 133-139
  9. พันธ์ทิพย์ วิเศษพงษ์พันธ์, ณภัทร พุทธิเมธากุล. ฤทธิ์ต้านแบคทีเรียของสารสกัดจากลำพู ลำพูทะเล และลำแพน. เรื่องเต็มการประชุมทางวิชาการของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ครั้งที่ 55:สาขาพืช. สาขาสัตว์. สาขาสัตวแพทยศาสตร์, สาขาประมง. สาขาส่งเสริมการเกษตรและคหกรรมศาสตร์.กรุงเทพฯ. 2560 หน้า 883-891 (1031 หน้า)
  10. สุวรรณา เสมศรี, สุรีย์พร หอมวิเศษวงศา. ฤทธิ์ต้านอักเสบ และความเป็นพิษของสารสกัดใบลำพูและลำแพนต่อเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวเพาะเลี้ยง. วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ ปีที่ 10 ฉบับที่ 1.มกราคม-มิถุนายน 2567. หน้า 57-67
  11. ประพันธ์ศักดิ์ ตวงสุวรรณ, ธวัชชัย แพชมัด. "ลำพู" นิเวศริมน้ำกับการเรียนรู้ตลอดชีวิต. วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ปีที่ 21 ฉบับที่ 2.กรกฎาคม-ธันวาคม 2566. หน้า 24-35. 
  12. BandaranayakeWM. Bioactivities, bioactive compounds and chemical constituents ofmangroveplants. Wetl Ecol Manag2002;10:421-52.
  13. Chanma,N., Deerasamee, P.1995.Chemical constituents of the flowers of Sonneratia caseolaris Engl. Senior Project. Facuity of Science, Chulalongkom University.
  14. Yompakdee, C., Thunyaharn, S. and Phaechamud, T. 2012. Bactericidal activity of methanol extracts of crabapple mangrove tree (Sonneratia caseolaris Linn.) against multi-drug resistant pathogens. Indian Journal of Pharmaceutical Sciences 74(3): 230-236
  15. WuS-B, WenY, LiX-W, ZhaoY, ZhaoZ, HuJ-F.Chemical constituents from the fruits of Sonneratia caseolaris and Sonneratia ovata(Sonneratiaceae).Biochem Syst Ecol 2009;37(1):1-5.
  16. Wetwitayaklung P, Limmatvapirat C, Phaechamud T. Antioxidant and anticholinesterase activities in various parts of Sonneratia caseolaris(L.).Indian J Pharm Sci 2013;75(6):649-56.
  17. Bunyapraphatsara N, Jutiviboonsuk A, and Somlek P.Pharmacological studies of plants in the mangrove forest, Thai J, Phytopharmacy 2005;10(2):1-10.
  18. Charoenteeraboon J, Wetwitayaklung P, Limmatvapirat C,PhaechamudT. Hepatoprotective activity from various parts of Sonneratia caseolaris. Planta Med 2007;73(9):561
  19. Dev S, Acharyya RN, Akter S, Al Bari MA, AsmaK,Hossain H, et al., Toxicological screening and evaluation of anti-allergic and anti-hyperglycemic potential of Sonneratia caseolaris(L.) Engl. Fruits. Clin phytosci 2021;7(1):1-13.