น้ำใจใคร่ ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย

น้ำใจใคร่ งานวิจัยและสรรพคุณ 15 ข้อ

ชื่อสมุนไพร น้ำใจใคร่
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น นางจุม, นางชม (ภาคเหนือ), กะทกรก, กระดอกอก, กระทอกท้า, กระทอก, ชักกระทอก, กระเดาะ, เสาะเทาะ, เจาะเทาะ, ลูกไข่แลน, ควยถอก (ภาคใต้), กระเด๊าะ, อาจิง (มลายู)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Olax psittacorum (Lam.) Vahl.
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Olax scandens Roxb.
วงศ์ OLACACEAE


ถิ่นกำเนิดน้ำใจใคร่

น้ำใจใคร่ จัดเป็นพืชในสกุล Santalales ซึ่งอยู่ในวงศ์น้ำใจใคร่ (OLACACEAE) ที่มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมในเขตร้อนชื้นของทวีปเอเชีย เช่นใน อินเดีย ศรีลังกา พม่า ไทย ลาว กัมพูชา เวียดนาม มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ต่อมาจึงได้มีการแพร่กระจายพันธุ์ไปยังเขตร้อนบริเวณใกล้เคียง สำหรับในประเทศไทยสามารถพบน้ำใจใคร่ ได้ทั่วทุกภาคของประเทศบริเวณป่าเบญจพรรณ ป่าไผ่ทั่วไป ป่าดิบแล้ง ป่าชายหาด หรือ ที่ใกล้ชายฝั่งทะเลทั่วไป ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลจนถึงประมาณ 300 เมตร


ประโยชน์และสรรพคุณน้ำใจใคร่

  1.  ใช้คุมธาตุ
  2. แก้กามโรค
  3. แก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย
  4. แก้พิษเมาเบื่อทั้งปวง
  5. รักษาบาดแผล
  6. แก้โรคไตพิการ (โรคเกี่ยวกับทางเดินปัสสาวะ เช่น ปัสสาวะขุ่นเหลือง หรือ แดง มีอาการแน่นท้อง กินอาหารไม่ได้)
  7. แก้หวัดคัดจมูก
  8. แก้ปวดศีรษะ
  9. ช่วยขับพยาธิ
  10. แก้ไข้
  11. แก้ตัวร้อน
  12. ช่วยบำรุงกำลัง
  13. รักษาแผลเน่าเปื่อย ให้แผลแห้ง
  14. แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ
  15. ใช้ขับผายลมในเด็ก

           ในอดีตชาวบ้านมักใช้น้ำใจใคร่เป็นตัวตรวจสอบปริมาณน้ำฝนก่อนทำการเพาะปลูกในแต่ละปีว่าจะมีปริมาณฝนมากน้อยเพียงใด เช่น ถ้าปีไหนผลน้ำใจใคร่มีกลีบเลี้ยงหุ้มมากเกือบมิดผล แสดงว่าปีนั้นน้ำท่าจะอุดมสมบูรณ์ แต่ถ้ากลีบเลี้ยงหุ้มผลสั้นแสดงว่าปีนั้นฝนจะตกน้อย นอกจากนี้ในบางพื้นที่ยังมีการนำยอดอ่อนและใบอ่อนของน้ำใจใคร่ มาใช้เป็นผักจิ้มกับน้ำพริก ซึ่งจะให้รสหวานมันและฝาดเล็กน้อย หรือ ใช้เป็นผักใส่แกงส้ม แกงเลียงก็ได้ ส่วนผลสุกเด็กๆ ในชนบทในอดีตนิยมนำมารับประทานเล่นกันอย่างแพร่หลาย

น้ำใจใคร่

รูปแบบและขนาดวิธีใช้

  • ใช้คุมธาตุ แก้กามโรค แก้พิษเบื่อเมา แก้ปวดเมื่อยร่างกาย โดยนำเนื้อไม้น้ำใจใคร่มาต้มกับน้ำดื่ม
  • ใช้แก้ไตพิการ โดยนำลำต้น หรือ เนื้อไม้น้ำใจใคร่ 30-60 กรัม ต้มกับน้ำดื่ม วันละสองครั้ง หลังอาหาร เช้า-เย็น
  • ใช้แก้ไข้ตัวร้อน แก้กามโรค ขับพยาธิ โดยนำรากน้ำใจใคร่มาต้มกับน้ำดื่ม
  • ใช้บำรุงกำลัง แก้ไข้ โดยนำเปลือกต้นน้ำใจใคร่ 30-60 กรัม มาต้มกับน้ำดื่ม 3 เวลา หลังอาหาร
  • ใช้แก้หวัดคัดจมูก แก้ปวดศีรษะ โดยนำใบมาน้ำใจใคร่ตำสุมศีรษะ
  • ใช้รักษาบาดแผล โดยนำเปลือกต้นน้ำใจใคร่มาฝนทาบริเวณที่เป็น
  • ใช้รักษาแผลเน่าเปื่อย ทำให้แผลแห้ง โดยนำเปลือกต้นน้ำใจใคร่ มาต้มรม หรือ ทาบริเวณที่เป็นแผล
  • ใช้แก้ท้องอืดเฟ้อ ช่วยทำให้ขับผายลม ในเด็ก โดยนำเมล็ดน้ำใจใคร่มาบดให้ละเอียดผสมกับน้ำสับปะรด รมควันมให้อุ่น นำมาทาที่ท้องเด็ก


ลักษณะทั่วไปของน้ำใจใคร่

น้ำใจใคร่ จัดเป็นไม้เถา หรือ ไม้พุ่มรอเลื้อย สูงได้ 2-5 เมตร เปลือกลำต้น มีสีเขียวเข้ม หรือ สีขาวอมน้ำตาล ผิวลำต้นแตกเป็นแนวยาวห่างๆ กันแตกกิ่งก้านมาก โดยกิ่งมักห้อยลง กิ่งอ่อนมีขนละเอียดสีขาวขึ้นปกคลุมและมีหนามแข็งเล็กๆ ทั่วไป ส่วนกิ่งแก่ ผิวเกือบเกลี้ยงและมีหนามโค้ง สำหรับเนื้อไม้มีสีขาวนวล

           ใบน้ำใจใคร่ เป็นใบเดี่ยว ออกแบบเรียงสลับตามกิ่งก้าน ลักษณะของใบน้ำใจใคร่เป็นรูปรี แกมใบหอก หรือ รูปไข่แกมขอบขนาน มีขนาดกว้าง 1-4 เซนติเมตร ยาว 2-10 เซนติเมตร โคนใบมนเว้าเล็กน้อยโดยจะเว้าสองข้างไม่เท่ากัน ปลายใบแหลมขอบใบเรียบ แผ่นใบเรียบและค่อนข้างหนาคล้ายแผ่นหนัง หลังใบมีสีเขียวเข้มเป็นมัน ทองใบมีสีอ่อนกว่าและมีขนนุ่มขึ้นปกคลุม ผิวใบสามารถมองเห็นเส้นแขนงใบมีข้างละ 5-8 เส้น และมีก้านใบยาว 0.5-1 เซนติเมตร

           ดอกน้ำใจใคร่ ออกเป็นช่อกระจะโดยจะออกเป็นกระจุก บริเวณซอกใบ ช่อดอกจะมี 1-3 ช่อ ดอกย่อยมีขนาดเล็กสีขาวกลิ่นหอม มีกลีบดอก ลักษณะรูปแถบแกมรูปขอบขนาน 3 กลีบ ซึ่งจะมีขนาดกว้าง 1.5 มิลลิเมตร ยาว 7-8 มิลลิเมตร โคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอดสั้นๆ ปลายกลีบดอก 2 ใน 3 กลีบ มักจะมีแฉกย่อยที่ปลาย ทำให้ดูเหมือนมี 5 กลีบ ส่วนกลีบเลี้ยงมี 5 กลีบ เป็นรูปถ้วยปลายตัดสีเขียวยาวประมาณ 1 มิลลิเมตร ดอกน้ำใจใคร่ มีเกสรเพศผู้ 3 อัน มีอับเรณูเป็นรูปขอบขนานและมีรังไข่รูปรี หรือ รูปไข่อยู่เหนือ วงกลีบ มีใบประดับ ยาว 2-3 มิลลิเมตร และมีก้านดอกลักษณะเกลี้ยงยาว 1-5 มิลลิเมตร

           ผลน้ำใจใคร่ เป็นผลสดแบบผนังชั้นในแข็ง ผลมีลักษณะเป็นรูปทรงกลม หรือ รูปไข่ ผิวเกลี้ยง เป็นมัน มีขนาดกว้าง 0.5-1.5 เซนติเมตร ยาวประมาณ 1-1.5 เซนติเมตร ผลอ่อนมีสีเขียว ผลแก่มีสีเหลืองอมส้มบริเวณโคนผลมีกลีบเลี้ยงติดอยู่ประมาณ 2 ใน 3 ส่วน โดยส่วนปลายผลมีสีที่ค่อนข้างเข้มกว่าสีผล กรอบเหมือนหมวก ภายในผลมีเมล็ดลักษณะกลม 1 เมล็ด

น้ำใจใคร่
น้ำใจใคร่

การขยายพันธุ์น้ำใจใคร่

น้ำใจใคร่ สามารถขยายพันธุ์ได้โดยการใช้เมล็ด ซึ่งการขยายพันธุ์ของน้ำใจใคร่นั้น จะเป็นการขยายพันธุ์ในธรรมชาติมากกว่าถูกนำมาเพาะขยายพันธุ์โดยมนุษย์ เนื่องจากน้ำใจใคร่ เป็นพันธุ์ไม้ที่มีหนามและตามความเชื่อของคนไทยไม่นิยมนำไม้มีหนามมาปลูกไว้ตามบริเวณบ้านเรือน หรือ ตามเรือกสวนไร่นา สำหรับวิธีการเพาะเมล็ดและการปลูกน้ำใจใคร่นั้น สามารถทำได้เช่นเดียวกันกับการเพาะเมล็ดและการปลูกไม้พุ่มรอเลื้อยชนิดอื่นๆ ตามที่ได้กล่าวมาแล้วในบทความก่อนหน้านี้ เช่น "ผักเชียงดา "


องค์ประกอบทางเคมี

มีรายงานผลการศึกษาวิจัย เกี่ยวกับองค์ประกอบทางเคมีของสารสกัดน้ำ เมทานอลและเอทานอล จากส่วนใบ ลำต้น เปลือกต้น และผลของน้ำใจใคร่ ระบุว่า พบสารออกฤทธิ์ที่สำคัญหลายชนิดอาทิเช่น สาร Olaxoside, rutin, palmitic acid, methyl palmitate, β-sitosterol, phytol, methyl salicylate, 13-docosenamide, oleanolic acid, santalbic acid, quercetin, morin, caffeic acid, 7,10,13-hexadecatrienoic acid, 9,17-octadecadienal, 9,12-octadecadienoic acid, octadecanoic acid, squalene, nonacosane และ Hentriacontane เป็นต้น

โครงสร้างน้ำใจใคร่

การศึกษาทางเภสัชวิทยาของน้ำใจใคร่

มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของสารสกัดจากส่วนใบ ลำต้น และผลของน้ำใจใคร่ มีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาต่างๆ ดังนี้

           มีรายงานผลการศึกษาวิจัยฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย ในหลอดทดลองของสารสกัดจากส่วนใบ ผล หรือลำต้น ของน้ำใจใคร่ พบว่ามีฤทธิ์ต้านออกซิเดชันได้ดี และมีฤทธิ์ยับยั้งแบคทีเรียบางชนิด เช่น S. aureus, E. coli และ Vibrio (ความแรงขึ้นกับชนิดสารสกัดและส่วนที่ใช้) และมีรายงานว่าสารสกัดน้ำใจใคร่ จากส่วนใบ มีฤทธิ์ต้านเชื้อไวรัสที่ได้ทำการทดสอบต่อเชื้อ HSV-1 และ poliovirus type 2 อีกด้วย

           ส่วนในการศึกษาอีกฉบับหนึ่งระบุว่ามีรายงานการทดสอบฤทธิ์ต้านอักเสบของสารสกัดจากส่วนลำต้นและใบของน้ำใจใคร่ในเซลล์และสัตว์ทดลอง พบว่าสารสกัดดังกล่าวมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ โดยสามารถลดการสร้าง TNF-α และบรรเทาอาการปวดในสัตว์ทดลองได้อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ยังมีรายงานการศึกษาวิจัยฤทธิ์ต้านแผลในช่องปาก (anti-oral-ulcer) โดยใช้สารสกัดเอทานอลจากส่วนใบของน้ำใจใคร่ ในหนูทดลองที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดแผลในช่องปากด้วยกรดอะซิติกจากนั้นจึงทำการป้อนสารสกัด (ทางช่องปาก) ในขนาด 100 และ 200 mg/kg พบว่าสามารถลดขนาดและความรุนแรงของแผลในหนูทดลองได้อย่างมีนัยสำคัญ (โดยขนาด 200 mg/kg แสดงผลได้ดีกว่า)


การศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาของน้ำใจใคร่

ไม่มีข้อมูล


ข้อแนะนำและข้อควรระวัง

มีรายงานว่าสาร olaxoside ที่พบในน้ำใจใคร่อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองทางเดินอาหารหากรับประทานเข้าไปมากเกินไป หรือ อาจเกิดอาการแพ้ในบางคนรวมถึงผู้ที่แพ้พืชในวงศ์นี้ ส่วนสาร methyl salicylate ที่พบในน้ำใจใคร่ อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเสริมฤทธิ์กับยากลุ่มต้านเกล็ดเลือด ดังนั้นผู้ที่รับประทานยากลุ่มนี้จึงต้องระมัดระวังในการใช้น้ำใจใคร่เป็นสมุนไพรมากกว่าปกติ


เอกสารอ้างอิง น้ำใจใคร่
  1. พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ, น้ำใจใคร่, หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคเหนือ. หน้า 126.
  2. ราชบัณฑิตยสถาน. 2538. อนุกรมวิธานพืช อักษร ก.กรุงเทพมหานคร. เพื่อนพิมพ์
  3. พิมพ์วดี พรพงศ์รุ่งเรือง & ประนอม จันทรโณทัย. (2555). อนุกรมวิธานของพืชวงศ์น้ำใจใคร่ (Olacaceae) และวงศ์กุหลาบหิน (Crassulaceae) ในประเทศไทย. รายงานฉบับสมบูรณ์, ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์, มหาวิทยาลัยขอนแก่น. 48 หน้า.
  4. ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม, กระทกรก, หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย. ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5, หน้า 49-50
  5. กัญจนา ดีวิเศษ และอร่าม คุ้มกลาง (2541) ผักพื้นบ้านภาคอีสาน พิมพ์ครั้งที่ 1. โรงพิมพ์องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกษา กรุงเทพมหานคร.
  6. ดร.นิจศิริ เรืองรังสี, ธวัชชัย มังคละคุปต์,น้ำใจใคร่ (Niam Chai Khrai) หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. หน้า 156.
  7. Fortin, H., Vigor, C., Devehat, F. L., et al. (2002). In vitro antiviral activity of thirty-six plants from La Réunion Island. Fitoterapia, 73, 346-350.
  8. ฐานข้อมูลสมุนไพรไทยเขตอีสานใต้ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. น้ำใจใคร, [ออนไลน์]. 2025, แหล่งที่มา: https://phar.ubu.ac.th/herb-DetailPhargarden/23.
  9. Majumder, R., Adhikari, L., Dhara, M., & Pattnaik, S. (2020). Evaluation of anti-inflammatory, analgesic and TNF-α inhibition upon RAW-264.7 cell line followed by the selection of extract (leaf and stem) with respect to potency to introduce anti-oral-ulcer model obtained from Olax psittacorum (Lam.) Vahl, in addition to GC-MS illustration. Journal of Ethnopharmacology, 263, 113146.
  10. Mansingh, P. P., Adhikari, L., Dhara, M. (2025). Unveiling the therapeutic potential of Olax psittacorum: an approach to explore its safety and efficacy in experimental rats. Indian Journal of Pharmacology & Pharmacotherapy. 
  11. Sleumer; H. (1984.). Olacaceae.In Flora Malesiana Vol.10:6-9.
  12. Majumder, R., Dhara, M., Adhikari, L., Ghosh, G., & Pattnaik, S. (2019). Evaluation of in-vitro antibacterial and antioxidant activity of aqueous extracts of Olax psittacorum. Indian Journal of Pharmaceutical Sciences, 81(1), 99-109. 
  13. Mansingh, P. P., Adhikari, L., & Dhara, M. (2025). Pharmacognostic standardization and evaluation of anti-ulcer potential of Olax psittacorum leaf extract. Natural Product Research, 39(11), 3102-3110.
  14. Forgacs, P., & Provost, J. (1981). Olaxoside, a saponin from Olax andronensis, Olax glabriflora and Olax psittacorum. Phytochemistry, 20(7), 1689-1691.