ไพลดำ ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย
ไพลดำ งานวิจัยและสรรพคุณ 12 ข้อ
ชื่อสมุนไพร ไพลดำ
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น ปูเลยดำ (ภาคเหนือ) ,ไพลม่วง,กระท้อดำ (ภาคกลาง), ดากเงาะ , จะเงาะ(ภาคใต้),กูยิดเตอะรุซฮีตัม (มลายู) แบล่ะโคซู่ (กะเหรี่ยง)
ชื่อวิทยาศาสตร์Zingiber ottensii valeton
วงศ์ ZINGIBERERACEAE
ถิ่นกำเนิด ไพลดำจัดเป็นพืชในวงศ์ขิง (ZINGIBERACEAE) ที่มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมในเขตร้อนของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาทิเช่นใน ไทย มาเลเซีย ต่อมาจึงได้มีการแพร่กระจายพันธุ์ไปยังบริเวณใกล้เคียง สำหรับในประเทศไทยมักพบได้ในภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคใต้ บริเวณป่าต่างๆ ที่มีภูมิอากาศร้อนชื้น
ประโยชน์/สรรพคุณ ไพลดำจัดเป็นพืชพื้นเมือง/พืชประจำถิ่นของไทย ดังนั้นจึงถูกนำมาใช้เป็นยาสมุนไพรมาตั้งแต่ในอดีตแล้ว โดยในตำรายาไทยและตำรายาพื้นบ้านได้ระบุถึงสรรพคุณเอาไว้ว่า ไพลดำตามตำรายาไทยสรรพคุณจะเหมือนไพล ใช้ได้เหมือนไพล แต่มีฤทธิ์แรงกว่า เหง้าใช้ช่วยเจริญอาหาร บำรุงกำลัง เป็นยาอายุวัฒนะ แก้ธาตุพิการ แก้โรคกระเพาะอาหาร รับประจำเดือน แก้บิด ขับลม สมานลำไส้ ใช้รักษาลำไส้ เป็นแผล แก้โรคกระเพาะอาหาร แก้เคล็ดขัดยอก ฟกช้ำบวม แก้เมื่อยขา แก้เหน็บชา สมานแผล แก้เหน็บชา แก้เส้นสายตามร่างกายตึง ใบ รสขื่นเอียน แก้ปวดเมื่อย ครั่นเนื้อครั่นตัว ดอก รสขื่น ใช้แก้ช้ำใน กระจายเลือดที่เป็นก้อนลิ่ม แก้อาการบวมช้ำ ราก รสขื่นเอียน ใช้แก้เลือดกำเดาออกทางปากทางจมูก แก้อาเจียนเป็นเลือด ทั้งต้น ใช้รักษาโรคกระเพาะอาหาร แก้อาหารเป็นพิษ
รูปแบบ/ขนาดวิธีใช้
- ใช้เป็นยาอายุวัฒนะ ยาบำรุงกำลัง ช่วยเจริญอาหาร แก้ธาตุพิการ โดยนำเหง้าสดตากแห้ง นำมาบดให้เป็นผง ผสมกับน้ำผึ้งปั้นเป็นยาลูกกลอน ใช้รับประทานเข้าและเย็น วันละ 2-3 เม็ด หรือใช้เหง้า ตากแห้ง นำมาบดเป็นผงผสมกับผงว่านกระชายดำ ว่านกระชายแดง และว่านเพชรน้อยผสมกับน้ำผึ้งปั้นเป็นยาลูกลอน ใช้กินก่อนอาหารครั้งละ 1 เม็ด วันละ 3 เวลาก็ได้
- ใช้แก้บิด ขับลม ขับประจำเดือนในสตรี สมานลำไส้ แก้แผลในลำไส้ แก้แผลในกระเพาะ แก้โรคลำไส้ต่างๆ โดยนำเหง้าสดนำมาตำคั้นเอาน้ำผสมกับเกลือสะตุ 1 ช้อนโต๊ะ ใช้รับประทาน
- ใช้รักษาโรคกระเพาะอาหารและลำไส้ โดยนำเหง้าสดต้นกับน้ำใส่เกลือเล็กน้อยดื่ม
- ใช้แก้เลือกกำเดาออกทางปาก ทางจมูก โดยนำรากมาต้มกับน้ำดื่ม
- ใช้รักษากระเพาะอาหาร อาหารเป็นพิษ โดยนำทั้งต้นมาต้มกับน้ำดื่ม
- ใช้แก้ครั่นเนื้อครั่นตัว ปวดเมื่อยโดยนำใบสดต้มกับน้ำดื่ม
- ใช้แก้ช้ำใน ช่วยกระจายเลือดที่เป็นก้อนลิ่ม โดยนำดอกมาตากแห้งต้มกับน้ำดื่ม
- ใช้สมานแผล แก้เคล็ดขัดยอก ฟกช้ำบวม แก้เหน็บชา โดยนำเหง้ามาฝนทาหรือใช้เหง้า ตำให้ละเอียดผสมกับเหล้าขาว แล้วกรองเอาแต่น้ำ รับประทานก่อนอาหารครั้งละ 3 ช้อนโต๊ะ วันละ 3 เวลา
ลักษณะทั่วไป ไพลดำจัดเป็นไม้ล้มลุกอายุหลายปี มีลำต้นจริงอยู่ใต้ดิน และมีลำต้นเทียมที่เกิดจากกาบใบห่อหุ้มกันหลายชิ้นโผล่พ้นดินออกมาโดยมีความสูง 1.5-3 เมตร และมักจะขึ้นเป็นกอ สำหรับลำต้นหรือเหง้าที่อยู่ใต้ดิน มีลักษณะเป็นหัวอวบน้ำคลายกับพืชในวงศ์ขิงอื่นๆมีเนื้อภายในเป็นสีม่วง หรือสีม่วงอมน้ำตาล มีกลิ่นฉุนร้อนเฉพาะตัวคล้ายเหง้าไพล ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับโดยจะแทงออกมาจากใต้ดิน โดยมีก้านใบสีม่วงคล้ำ เป็นกาบหุ้มซ้อนกัน และลำต้นเทียมเป็น โดยใบมนปลายใบเรียว ขอบใบเรียบ แผ่นใบหนาเป็นมันมีสีเขียว และมีเส้นกลางใบเป็นร่องสีเขียวอ่อน ส่วนด้านล่างใบจะมีเส้นกลางใบมีขนมีลิ้นใบยาวมีปลายกาบใบ ลักษณะเป็นรูปไข่ ปลายมน มีใบประดับสีเขียวปนแดงวางเรียงซ้อนกันเป็นชั้นๆ คล้ายกับเกล็ดปลา เมื่อใบประดับยังอ่อนจะมีสีแดงอมเขียว แล้วจะเปลี่ยนเป็นสีชมพูหรือสีแดงเข้ม ดอกออกเป็นช่อยาวประมาณ 9 เซนติเมตร แทงขึ้นมาจากเหง้าใต้ดิน ความยาวของก้านช่อดอกจะยาวประมาณ 15 เซนติเมตร ช่อดอกมีลักษณะเป็นรูปทรงกระบอกปลาย ส่วนกลีบดอกมีลักษณะบาง 5 กลีบ เป็นสีเหลืองอ่อน ประสีม่วงแดงอ่อนๆ โคนดอกเชื่อมติดกันปลายดอกแผ่ออก ตรงกลางดอกมีเกสรเพศผู้ ประสีน้ำตาลแดงแกมสีชมพูอ่อน โดยเกสรเพศผู้ปลายจะเป็นจะงอยยาวโค้ง สีเหลืองส้ม ส่วนเกสรเพศเมีย ก้านเกสรเป็นสีขาว ยอกเกสรมีลักษณะเป็นรูปกรวย สีขาว รอบๆ ปากมีขนและรังไข่เป็นสีขาว ผลเป็นผลแห้งรูปทรงกระบอกมีสีแดง เมื่อผลแก่จะแตกออกเองได้
การขยายพันธุ์ ไพลดำสามารถขยายพันธุ์ได้โดยวิธีการใช้เหง้าปลูก โดยมีวิธีการเลือกเหง้าปปลูกและวิธีการปลูก เช่นเดียวกันกับพืชในวงศ์ขิงชนิดอื่นๆ เช่น ขิง ขมิ้น และข่าตามที่ได้กล่าถึงมาแล้วในบทความก่อนหน้านี้ แต่ทั้งนี้มีความเชื่อกันว่า ไพลดำจะต้องใช้ดินสีดำทำการปลูกถึงจะเจริญงอกงบาม หากใช้ดินสีอื่นจะทำให้ต้นตาย
องค์ประกอบทางเคมี มีรายงานผลการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับองค์ประกอบทางเคมีของสกัดจากเหง้าของไพลดำในส่วนที่เป็นน้ำมันหอมระเหยระบุว่าสารออกฤทธิ์ที่สำคัญหลายชนิดอาทิเช่น Zerumbone ,Sabinene ,Terpinen-4-ol (terpineol-4-ol) , 1,8-Cineole (eucalyptol) ,α-Humulene ,p-Cymene ,γ-Terpinene นอกจากนี้ยังพบสารกลุ่ม terpenes อื่น ๆ เช่น α-pinene, β-pinene และ limonene เป็นต้น
การศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยา
มีรายงานผลการศึกษาวิจัยฤทธิ์ต้านมะเร็ง (cytotoxicity) ในน้ำมันหอมระเหยจากเหง้า ของไพลดำระบุว่าสามารถต้านการเจริญของเซลล์มะเร็งบางสายพันธุ์ในหลอดทดลองโดยมีรายงาน GC-MS ระบุว่า zerumbone เป็นสาระสำคัญที่ออกฤทธิ์ต้านมะเร็ง นอกจากนี้น้ำมันหอมระเหยดังกล่าวยังมีฤทธิ์ต้านจุลชีพบางชนิด โดยจะขึ้นอยู่กับความเข้มข้น ส่วนอีกการศึกษาวิจัยหนึ่งได้ทำการศึกษาวิจัยฤทธิ์ต้านการอักเสบในหนูทดลอง น้ำมันหอมระเหยจากส่วนเหง้าของไพลดำมีฤทธิ์ ลดอาการบวมน้ำ (edema) ในแบบทดสอบ carrageenan และยังสามารถยับยั้งการอักเสบชนิดอื่นๆ โดยมีกลไกเกี่ยวข้อมกับการลดการแสดงออกของ COX-2 , TNF-αและ PGE2 เป็นต้น
การศึกษาวิจัยทางพิษวิทยา มีรายงานการศึกษาวิจัยทางพิษวิทยา น้ำมันหอมระเหย จากส่วนเหง้าของไพลดำระบุว่ามีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาหลายประการอาทิเช่น น้ำมันหอมระเหยจากเหง้าของไพลดำ ในหนูทดลองที่ตั้งครรภ์ พบว่าก่อให้เกิดภาวะ embryotoxic และ teratogenic (ความผิดปกติของตัวอ่อนพัฒนาการและการฝังตัวอ่อนในครรภ์) ในขณะที่การทดสอบ acute oral toxicity (การทดสอบพิษเฉียบพลัน โดยการป้อนทางปกติ) ในหนูทดลองพบว่าในขนาด 2000 mg/kg. ไม่พบการตายและค่าชีวเคมี ในเลือดที่ผิดปกติแต่อย่างใด
ข้อแนะนำ/ข้อควระวัง ในหญิงครรภ์ สตรีให้นมบุตร และสตรีที่วางแผนตั้งครรภ์ ควรหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์จากน้ำมันจากเหง้าไพลดำ เนื่องจากมีรายงานการศึกษาวิจัยความเป็นพิษต่อ embryotoxic/teratogenic ซึ่งอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อทารกในครรภ์ได้ ส่วนน้ำมันหอมระเหยจากพืชตระกูลขิงอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองผิวหรือแพ้ในกลุ่มที่แพ้พืชในวงศ์นี้ และในบุคคลที่ใช้ในขนาดที่เข้มข้น ดังนั้นในการใช้น้ำมันหอมระเหยของไพลดำ ควรนำไปเจือจางและควรทดสอบก่อนใช้ เพราะอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองหรือแพ้ได้
อ้างอิง ไพลดำ
- บุญชู ธรรมทัศนานนท์,ว่านรักษาโรค.คอลัมน์ การรักษาพื้นบ้าน.นิตยสารหมอชาวบ้านเล่มที่21.มกราคม2524.
- ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม.ว่านไพลดำ,หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย,ฉบับพิมพ์ครั้งที่5.หน้า725-726.
- ฐานข้อมูลสมุนไพรไทยเขตอีสานได้ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี,ไพลดำ,(ออนไลน์)2025,แหล่งที่มา https://phar.ubu.ubu.ac.th./herb-DetailPhargarden/172.
- Marliani, L., & co-authors. (2018). Essential oil components of leaves and rhizome of Zingiber ottensii (conference/meeting report).
- Samuel, A.J.S.J., Kalusalingam, A., Chellappan, D.K., Gopinath, R., Radhamani, S., Husain, H. A., Muruganandham, V., Promwichit, P. 2010. Ethnomedical survey of plants used by the orang asli in kampong bawong, Perak, West Malaysia. Joutnal of Ethnobiology and Ethnomedicine. 6:5
- Panyajai, P., Prommit, S., Somkaew, S., et al. (2022). Anticancer activity of Zingiber ottensii essential oil and its nanoformulations. PLoS ONE, 17(1).
- Tiengburanatam, N. (2009). Bioactive protein from rhizomes of Zingiber ottensii Valeton (Doctoral thesis). Chulalongkorn University. 1063. 1-170.
- Thitinarongwate, W., Mektrirat, R., Nimlamool, W., et al. (2021). Phytochemical and safety evaluations of Zingiber ottensii Valeton essential oil in zebrafish embryos and rats. Toxics, 9(5), 102.
- Okonogi S, Prakatthagomol W, Ampasavate C, Klayraung S. Killing kinetics and bactericidal mechanism of action of Alpinia galanga on food borne bacteria. African J Microbiol Res. 2011.
- Thitinarongwate, W., Nimlamool, W., Khonsung, P., Mektrirat, R., & Kunanusorn, P. (2022). Anti-inflammatory activity of essential oil from Zingiber ottensii Valeton in animal models. Molecules, 27(13), Article 4260.
- Wongpia, A., Kongsuwan, P., & Luangsuphabool, T. (2025). Chemical profiling of essential oils of Zingiber ottensii Valeton collected from Yala Province, Southern Thailand. AgriScience and Society Journal, 1(1), 40–49.
