จันทน์แดงอินเดีย ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย

จันทน์แดงอินเดีย งานวิจัยและสรรพคุณ 19 ข้อ

ชื่อสมุนไพร จันทน์แดงอินเดีย
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น จันทน์แดง, แก่นจันทน์แดง, รักตจันทน์, รัดจันทน์ (ทั่วไป)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Ptero carpus santalinus L.f.
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Lingoum santalinum (L.f.) Kuntz., Pleomele cochinchinensis Merr. ex Gagnep., Aletris cochinchinensis Lour., Dracaena saposchnikowii Regel., Draco saposchnikowii (Regel) Kuntze., Santalum rubrum.
ชื่อสามัญ Dragon’s blood, chandam, Raktachandana, Red sandalwood, Ruby wood, Red Sandal
วงศ์ LEGUMINOSAE


ถิ่นกำเนิดจันทน์แดงอินเดีย

จันทน์แดงอินเดีย จัดเป็นพืชในวงศ์ถั่ว (LEGUMINOSAE) ซึ่งเป็นคนละชนิดกับแก่นจันทน์แดง ที่ใช้กันในปัจจุบันในประเทศไทย โดยแก่นจันทน์แดงที่ใช้ในไทยปัจจุบัน คือ จันผา หรือ ลักจั่น (Dracaena cochinehinesis) (Lour.) S.C.) สำหรับจันทน์แดงอินเดีย ที่กล่าวในบทความนี้นั้นมีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมใน ประเทศอินเดีย ซึ่งพบขึ้นในเฉพาะบางพื้นที่ของแคว้นอันตรประเทศ โดยเฉพาะในเขตคัดตาพาห์และบริเวณใกล้เคียง เมืองมัทราสและไมเซอร์ โดยพบขึ้นอยู่บริเวณเชิงเขาที่มีลักษณะเป็นหินและสภาพภูมิประเทศแห้งแล้ง ที่มีระดับสูงจากระดับน้ำทะเล 150-900 เมตร ปัจจุบันการนำไปปลูกในหลายประเทศ เช่น ประเทศศรีลังกาและฟิลิปปินส์ สำหรับในประเทศไทยไม่มีรายงานการพบแต่อย่างใด


ประโยชน์และสรรพคุณจันทน์แดงอินเดีย

  1. ใช้บำรุงหัวใจ
  2. แก้พิษไข้ ทั้งภายในและภายนอก
  3. แก้พิษฝี ที่มีอาการอักเสบ
  4. แก้อาการปวดบวม
  5. แก้ไข้
  6. แก้ไข้ป่า (ไข้มาลาเรีย)
  7. ช่วยกระตุ้นกำหนัด
  8. ใช้เป็นยาขมเจริญอาหาร
  9. ช่วยขับเหงื่อ
  10. ช่วยขับพยาธิ
  11. ใช้บำบัดโรคบิดเรื้อรัง
  12. รักษาโรคริดสีดวงทวารหนัก
  13. รักษาโรคเกี่ยวกับน้ำดี
  14. รักษาโรคผิวหนัง รักษาอาการอักเสบที่ผิวหนัง
  15. รักษาผิวหนังที่โดนไฟไหม้ น้ำร้อนลวก
  16. ช่วยลดอาการบวม
  17. ช่วยลดอาการเจ็บตา
  18. แก้ปวดหัว 
  19. ช่วย ขับปัสสาวะ

           นอกจากนี้ในบัญชียาหลักแห่งชาติ บัญชียาจากสมุนไพร พ.ศ.2549 มีตำรับยาจากสมุนไพรที่มีการใช้ตามองค์ความรู้ดั้งเดิม 4 ขนานที่ใช้จันทน์แดงอินเดีย เป็นส่วนผสมในการเข้ายาในตำรับ ได้แก่ ยาหอมเทพจิตร ยาหอมนวโกศ ยาเขียวหอม และยาจันทน์ลีลา อีกทั้งยังมียาสามัญประจำบ้านแผนโบราณขนานหนึ่งที่มีจันทน์แดงเป็นส่วนประกอบหลักในตำรับยา คือ ยาประสะจันทน์แดง ซึ่งใช้จันทน์แดงหนักเท่าน้ำหนักรวมของตัวยาอื่นในตำรับ

           ส่วนในตำราอายุรเวทของอินเดียระบุว่า แก่นจันทน์แดง รสฝาดสมาน มีสรรพคุณแก้ไข้ แก้ไข้ป่า กระตุ้นกำหนัด ใช้เป็นยาขมเจริญอาหาร ขับเหงื่อ ขับพยาธิ และยังมีการใช้ในรูปแบบของสารสกัดสำหรับฤทธิ์ฝาดสมาน เป็นยาขมเจริญอาหาร ใช้บำบัดโรคบิดเรื้อรัง ในรูปแบบของยาผง ใช้สำหรับรักษาโรคริดสีดวงทวารหนัก โรคเกี่ยวกับน้ำดี โรคผิวหนัง และใช้เป็นยาขับเหงื่อ

           ส่วนในรูปแบบของครีมมีการนำมาสำหรับทาเพื่อรักษาผิวหนังที่โดนไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ใช้สำหรับอาการอักเสบที่ผิวหนังและอาการบวม ใช้เป็นยาป้ายตา ลดอาการเจ็บตา และแก้ปวดหัว รวมถึงใช้เป็นสารแต่งสีในยาเตรียมต่างๆ ส่วนในตำรายาพื้นบ้านของเยอรมนีระบุว่าจันทน์แดงอินเดีย มีสรรพคุณแก้โรคที่เกี่ยวกับทางระบบทางเดินอาหาร ขับปัสสาวะ ท้องว่าง และเคยใช้ในการแต่งสีขนแกะได้อีกด้วย

           จันทน์แดงอินเดีย ถูกนำมาใช้ประโยชน์มาตั้งแต่ในอดีตแล้ว โดยในประเทศจีนได้ถือว่าไม้จันทน์แดงอินเดียเป็นไม้มีค่าและมีการใช้ประโยชน์ตั้งแต่สมัยราชวงศ์ชิง ซึ่งในภาษาจีน เรียกว่า สื่อทีน (zitan) ใช้ก่อสร้างพระราชวัง หรือ ใช้ทำเครื่องมือเครื่องใช้เฉพาะราชวงศ์และขุนนางระดับสูง ต่อมาจึงมีการใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ส่งขายไปทางตะวันตก จึงทำให้ต่อมาไม้จันทน์แดงอินเดียจึงเป็นไม้ชนิดหลักที่มีความต้องการสูง จึงมีการลักลอบตัดจากอินเดียส่งออกไปยังประเทศจีนจนมีสถานะใกล้สูญพันธุ์ในปัจจุบัน


รูปแบบและขนาดวิธีใช้

ในการใช้แก่นจันทน์แดงอินเดียเพื่อบำรุงหัวใจ แก้ไข้ทั้งภายในและภายนอก แก้พิษฝี อักเสบ ปะคบบวมตามตำรายาไทย จะใช้แก่นจันทน์อินเดียที่ตากจนแห้งมาต้มกับน้ำดื่ม ส่วนการใช้ในสรรพคุณอื่นๆ ในตำรายาไทย จะใช้แก่นจันทน์แดงอินเดีย เป็นส่วนประกอบของยาในตำรับต่างๆ เช่น ตำรับ ยาหอมเทพจิตร ยาหอมนวโกศ ยาเขียวหอม ยาจันทน์ลีลา หรือ ตำรับยาประสะจันทน์แดง เช่นใน ตำรับจันทน์ลีลา จะประกอบด้วยเครื่องยาสมุนไพร ได้แก่ แก่นจันทน์แดงอินเดีย โกฐสอ โกฐเขมา โกฐจุฬาล้มพา แก่นจันทน์ขาว หรือ จันทน์ชะมด บอระเพ็ด ลูกกระดอม รากปลาไหลเผือก หนักสิ่งละ 4 ส่วน พิมเสน หนัก 1 ส่วน โดยมีสรรพคุณบรรเทาอาการไข้ตัวร้อนและไข้เปลี่ยนฤดู ส่วนตำรับประสะจันทน์แดง จะประกอบด้วย จันทน์แดง 32 ส่วน เปราะหอม โกศหัวบัว จันทน์เทศ ฝางเสน รากเหมือดคน รากมะปรางหวาน รากมะนาว หนักสิ่งละ 4 ส่วน เกสรบัวหลวง ดอกบุนนาค ดอกสารภี ดอกมะลิ หนักสิ่งละ 1 ส่วน โดยมีสรรพคุณ แก้ไข้ตัวร้อน กระหายน้ำ ละลายน้ำสุก หรือ น้ำดอกมะลิ เป็นต้น


ลักษณะทั่วไปของจันทน์แดงอินเดีย

จันทน์แดงอินเดีย จัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ สูงได้ถึง 20 เมตร และสามารถวัดรอบโคนต้นได้ถึง 1-5 เมตร ลำต้นเปลาตรงแตกกิ่งในระดับสูงเปลือกต้นมีสีน้ำตาลดำ แตกสะเก็ดเงินแผ่นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า เมื่อลำต้นมีแผลจะมียางสีแดงเข้มไหลออกมาจึงเป็นที่มาที่เรียกกันว่า dragonblood

           ใบจันทน์แดงอินเดีย เป็นใบประกอบแบบขนนก ใบย่อย 3-7 ใบ สลับ หรือ เกือบตรงข้าม ใบเป็นรูปไข่กว้าง หรือ เกือบกลม กว้างและยาวประมาณ 5-15 เซนติเมตร โคนใบและปลายโค้งกว้างถึงหยักลึกของใบเรียบ เนื้อใบเหนียวคล้ายแผ่นหนึ่ง ใบมีสีเขียวเข้มเป็นมันด้านล่างใบมีขนนุ่มเล็กน้อย ก้านใบมีขนนุ่ม

           ดอกจันทน์แดงอินเดีย ออกเป็นช่อแบบช่อกระจะ โดยจะออกบริเวณปลายกิ่ง หรือ ซอกใบ ก้านช่อดอกและก้านดอกย่อยมีขนนุ่ม ดอกย่อยเป็นแบบสมบูรณ์เพศลมมาตรด้านข้างมีกลีบดอก มีสีเหลือง 2 กลีบ ทุกกลีบเกือบเท่ากัน โคนกลีบเรียว ช้อนเหลื่อมกันกลีบกลางแคบโค้งลง กลีบคู่ข้างแยกกัน กลีบคู่กลางติดกับด้านหน้าและโค้งขึ้น ขอบกลีบเป็นคลื่น ดอกย่อยมีเกสรเพศผู้ 10 อัน โดยก้านเกสรเพศผู้จะเชื่อมติดกันสอบกลุ่ม กลุ่มละ 5 อัน มีอับเรณูขนาดเล็กรังไข่ หรือ วงกลีบ มีก้านและมีขนปกคลุม ภายในมี 1 ช่องมีออวุล 2 เม็ด พลาเซนตาแนวเดียวและมีแบบประดับขนาดเล็กมาก ส่วนกลีบเลี้ยงเป็นรูปหลอดแกมรูประฆังหงาย ปลายจักเป็นฟันทู่เล็ก 5 ชี่ มีขนสั้น

           ผลจันทน์แดงอินเดีย เป็นผลเดี่ยวค่อนข้างกลม แบบมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 5 เซนติเมตร มีปีกตามขอบโดยรอบ ก้านผลมีขนนุ่ม ด้านในผลมีเมล็ด ลักษณะเกลี้ยง สีน้ำตาลแดง มี 2 เมล็ด


การขยายพันธุ์จันทน์แดงอินเดีย

จันทน์แดงอินเดีย สามารถขยายพันธุ์ได้โดยการใช้เมล็ด แต่ในปัจจุบันจันทน์แดงอินเดีย ได้ถูกจัดให้เป็นพีชหวงห้ามเนื่องจากใกล้สูญพันธุ์ตามรายการของ IUCN เพราะมีการตัดโค่นเพื่อนำมาใช้ประโยชน์มากในอินเดีย โดยได้ถูกจัดอยู่ในบัญชีที่ 2 ของอนุสัญญาไซเดส (cites) ส่วนการขยายพันธุ์จันทน์อินเดียนั้น สามารถทำได้เช่นเดียวกันกับการเพาะเมล็ดและปลูกไม้ยืนต้นอื่นๆทั่วไป ตามที่ได้กล่าวมาแล้วในบทความก่อนหน้านี้ ทั้งนี้จันทน์อินเดียจัดเป็นไม้โตช้าและมีเปอร์เซ็นต์การเพาะเมล็ดรอดต่ำ อีกทั้งยังจัดเป็นพืชถิ่นเดียวที่นำไปปลูกบริเวณอื่นไม่ค่อยได้ผล จึงทำให้เป็นไม้ใกล้สูญพันธุ์ที่ควรอนุรักษ์ไว้


องค์ประกอบทางเคมี

มีรายงานการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับองค์ประกอบทางเคมีของส่วนแก่นและเปลือกต้นจันทน์แดงอินเดีย ระบุว่าพบสารออกฤทธิ์ที่สำคัญหลายชนิดอาทิเช่น มีรายงานผลการศึกษาระบุว่า จันทน์แดงอินเดีย ที่สกัดด้วยเอทานอลมีองค์ประกอบทางเคมีหลายกลุ่มเช่น กลุ่มฟลาไวนอยด์ ได้แก่ ไอโซฟลาโวน หลายชนิด เช่น 4',5-dihydroxy-7-O-methyl isoflavone 3'-O- B -D-(3" E-cinnamoyl) glucoside, 6-hydroxy, 7, 2', 4', 5'-tetramethoxyisoflavone, 6 hydroxy 5 methyl 3', 4', 5' trimethoxy aurone 4-0-a-L-rhamnopyranoside, 6, 4' dihydroxy aurone 4-0-ruinoside และยังพบสารสีแดง (red pigment) ของจันทน์แดงอินเดีย ที่เกิดจากสารอนุพันธ์ของเบนโซแซนทีโนน (benzoxanthenone) ได้แก่ santalin A, santalin B และมีน้ำมันระเหยง่าย (volatile oil) เช่น cedral, pterocarpol, isoterocarpoloney, isoterocarponen, Splerocarptriol, pterocarpdiolone, reperes, sterots และ pterocarpan

           ส่วนอีกงานวิจัยหนึ่งระบุว่า เปลือกต้นและแก่นจันทน์แดงอินเดียพบสาร resveratrol, epicatechin, lupeol, β-sitosterol, Santalin A, Santalin B, Santalin Y, Pterostilbene, Pterocarpol, pterocarptriol, isopterocarpalone, pterocarpodiolones, β-eudesmol, cryptomeridiol, lupeol, epicatechin, β-sitosterol, tropolones, acorane sesquiterpene และ norlignan เป็นต้น


การศึกษาทางเภสัชิวิทยาของจันทน์แดงอินเดีย

มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยา ของแก่นจันทน์แดงอินเดีย ระบุว่ามีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาหลายประการดังนี้

           มีรายงานการศึกษาวิจัยในหลอดทดลองระบุว่า สารสกัดจากแก่นจันทน์แดงอินเดีย มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ในการทดสอบแบบ DPPH, ABTS, H2O2 assays โดยสารออกฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระจะเป็นสารในกลุ่ม pterostilbene และ polyphenols ที่แสดงฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระในระดับสูง

           นอกจากนี้ยังพบฤทธิ์ต้านการอักเสบ (ยับยั้งไซโตไคน์) โดยสารที่ออกฤทธิ์ คือ สารในกลุ่ม lignans เช่น savinin โดยเข้าไปแสดงผลยับยั้งการสร้าง TNF-α ในเซลล์และสารบางตัวยังยับยั้งเส้นทางการอักเสบใน RAW264.7 cells ได้อีกด้วย

           อีกทั้งยังมีการศึกษาวิจัยฤทธิ์ยับยั้งแบคทีเรีย สารสกัดจากแก่นและใบของจันทน์แดงอินเดีย โดยมีรายงานการทดสอบการต้านเชื้อแบคทีเรียและต้านเชื้อฟันผุ (anti-cariogenic) พบว่าฤทธิ์ดังกล่าวจะขึ้นอยู่กับความเข้มข้นและชนิดของเชื้อ อีกทั้งยังมีรายงานบางชิ้นระบุว่าสารสกัดจันทน์แดงอินเดีย จากแก่น มีฤทธิ์ยับยั้งเซลล์มะเร็ง HepG2, A549 ในหลอดทดลอง โดยสารออกฤทธิ์บางชนิดในสารสกัดมี ค่า IC₅₀ ในระดับไมโครโมลาร์ ส่วนการศึกษาวิจัยในสัตว์ทดลองพบว่ามีรายงานการทดลองในหนูถีบจักรระบุว่า ขี้ผึ้งที่ทำจากสารสกัดจากแก่นของจันทน์แดงอินเดียสามารถช่วยเร่งการสมานแผล ทั้งในแบบ punch และ burn models (รวมทั้งในหนูเบาหวาน) โดยไม่ทำให้เกิดอาการแพ้ ส่วนสารสกัด methanol, ethanol ของเนื้อไม้และเปลือกต้นจันทน์แดงอินเดียก็แสดงฤทธิ์ลดการอักเสบและฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระในสัตว์ทดลอง เมื่อทำการทดลองด้วยวิธีมาตรฐานเช่น carrageenan paw edema

           อีกทั้งยังมีรายงานการศึกษาทดลองฤทธิ์ต้านเบาหวานในหนูทดลอง (STZ-induced diabetic rats) พบว่าสารสกัดน้ำของจากแก่นของจันทน์แดงอินเดีย สามารถลดระดับน้ำตาลในเลือด ปรับปรุงฮอร์โมนอินซูลินและปรับสัญญาณการอักเสบรวมถึงโปรตีนที่เกี่ยวข้อง เช่น IRS-1, SIRT-1, JNK นอกจากนี้ยังมีรายงานการศึกษาวิจัย ฤทธิ์ปกป้องตับของสารสกัดจากเปลือกต้นจันทน์แดงอินเดีย ในหนูทดลองที่ถูกกระตุ้นด้วย CCl₄ พบว่าช่วยลดการบาดเจ็บของตับได้อย่างมีนัยสำคัญ (ชี้วัดจากชีวเคมีและชิ้นเนื้อ)

            ส่วนอีกการศึกษาวิจัยหนึ่ง ซึ่งเป็นข้อมูลการศึกษาวิจัยพรีคลินิกพบว่าสารสกัดจันทน์แดงอินเดียด้วยเอทานอลร้อยละ 90 แสดงฤทธิ์กดระบบประสาทส่วนกลาง กล่อมประสาท กันชัก และสารแซวินิน (savinin) ที่พบในแก่นจันทน์แดงอินเดียมีฤทธิ์ยับยั้งเซลล์มะเร็งและมีฤทธิ์สมานแผลในสัตว์ทดลองอินเดีย


การศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาของจันทน์แดงอินเดีย

มีรายงานการศึกษาพิษเฉียบพลันและกึ่งเฉียบพลัน (acute & sub-acute) ในหนูทดลอง ระบุว่าจากการทดลองในหนูทดลองโดยใช้สารสกัดจากเนื้อไม้และเปลือกต้นของจันทน์แดงอินเดีย พบว่าไม่แสดงพิษเฉียบพลันรุนแรง แต่มีรายงานตรวจพบการเปลี่ยนแปลงค่าชีวเคมีในเลือดและอวัยวะบางอย่าง รวมถึงตับและไตในสัตว์ทดลองเมื่อให้ในขนาดที่สูงต่อเนื่องกัน


ข้อแนะนำและข้อควรระวัง

เนื่องจากจันทน์แดงอินเดียเป็นสมุนไพรที่หายากและมีราคาแพง อีกทั้งต้องนำเข้าจากประเทศอินเดีย แพทย์แผนไทยจึงได้นำจันทน์ผา หรือ ลักจั่น [ Dracaena cochinchinensis (Lour.) S.C.] มาใช้แทนจันทน์แดง ( Ptercarpussantalinus L.f.) ตั้งแต่สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นจนถึงปัจจุบัน จนเป็นที่เข้าใจโดยทั่วไปว่าจันทน์ผา หรือ ลักจั่น คือ จันทน์แดงในตำราแพทย์และเภสัชกรรมแผนไทย ดังนั้นในการหาซื้อแก่นจันทน์แดงอินเดีย หรือ นำมาใช้เป็นยาสมุนไพรควรตรวจสอบให้ดีว่าเป็นชนิดที่ต้องการ หรือ ไม่ เพราะอาจทำให้เสียเงินแพงมากกว่าเครื่องยาที่ได้ ผู้ป่วย หรือ ผู้ที่มีภาวะมีโรคตับ หรือ ไตควรระมัดระวังในการใช้จันทน์แดงอินเดีย ในขนาดที่สูงต่อเนื่องกันเนื่องจากมีรายงานเพราะเกิดผลข้างเคียงต่อตับและไตในสัตว์ทดลอง รวมถึงการใช้จันทน์แดงอินเดียเป็นสมุนไพรอาจทำให้เกิดปฏิกิริยากับยา หรือ ผลต่อเอนไซม์บางชนิดในร่างกาย เช่นสารกลุ่ม polyphenols และs tilbenes อาจมีผลต่อระบบเอนไซม์ (เช่น CYP) และ lipid metabolism หากใช้ร่วมกับยาที่เมตาบอไลซ์ผ่าน CYP


เอกสารอ้างอิง จันทน์แดงอินเดีย
  1. ชยันต์ พิเชียรสุนทร, ณัฐพงษ์ วิชัย. แหล่งทางพฤกษศาสตร์ของจันทน์แดง. วารสารราชบัณฑิตยสถาน ๒๕๙ ๒๕-๓๕
  2. คณะกรรมการแห่งชาติด้านยา, บัญชียาจากสมุนไพร พ.ศ.๕๔๙ กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด 2549.
  3. จันทน์แดง. สมุนไพรในตำรับตำรายาแผนไทยที่ประกาศกำหนดให้เป็นตำรับยาเสพติดให้โทษประเภท 5 ที่มีกัญชาผสมอยู่ ที่อนุญาตให้เสพเพื่อรักษาโรค หรือ การวิจัยได้ ตามแนบท้ายประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่องกำหนดตำรับยาเสพติดให้โทษประเภท 5 ที่มีกัญชาปรุงผสมอยู่ที่ให้เสพเพื่อรักษาโรค หรือ การศึกษาวิจัยได้ พ.ศ.2562. สำนักงานจัดการกัญชาและกระท่อมทางการแพทย์แผนไทย กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข. หน้า 124-126.
  4. ชยันต์ พิเชียรสุนทร, ณัฐพงษ์ วิชัย. แหล่งทางพฤกษศาสตร์ของจันทน์แดง. วารสารราชบัณฑิตยสถาน ๒๕๙ ๒๕-๓๕
  5. คณะกรรมการคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย. ตำราอ้างอิงสมุนไพร เล่ม 1 เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในมหามงคลสมัยที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ: บริษัทอัมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) 2551.
  6. ชยันต์ พิเชียรสุนทร, แม้นมาส ชวลิต, วิเชียร จีรวงศ์. คำอธิบายตำราพระโอสถพระนารายณ์ ฉบับเฉลิมพระเกียรติ ๘๒ พรรษา มหาราชา ๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๒. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพฯ :สำนักพิมพ์อมรินทร์และมูลนิธิภูมิปัญญา: ๒๕๔๘
  7. Biswas, T. K., Maity, L. N., & Mukherjee, B. (2004). Wound healing potential of Pterocarpus santalinus Linn: a pharmacological evaluation. International Journal of Lower Extremity Wounds, 3(3), 143-150.
  8. Government of India Ministry of Health and Family Welfare Department of Indian Systems of Medicine & Homeopathy.The AyurvedicPharmacopoeia of India. Part | Volume III. New Delhi: The Controller of Publications Civil Lines; 2001
  9. Manjunatha, B. K. (2006). Hepatoprotective activity of Pterocarpus santalinus L.f., an endangered medicinal plant. Indian Journal of Pharmacology, 38(1), 25-28.
  10. "Pterocarpus santalinus Linn. f. (Rath handun): A review of its botany, uses, phytochemistry and pharmacology". Journal of the Korean Society for Applied Biological Chemistry. 54(4): 495-500.
  11. Bulle, S., Reddyvari, H., Nallanchakravarthula, V., & Vaddi, D. R. (2016). Therapeutic potential of Pterocarpus santalinus L.: An update. Pharmacognosy Reviews, 10(19), 43-49.
  12. Farnsworth NR. Biological and phytochemical screening of plant. JPharm Sci 1966:57:225-276.
  13. El-Badawy, R. E., (2019). Pterocarpus santalinus ameliorates streptozotocin-induced diabetes mellitus via anti-inflammatory pathways and enhancement of insulin function. International Journal of Basic Medical Sciences & Pharmacy (UBMSP?), (article)
  14. Han, J.S., et al. (2022). Chemical constituents from Pterocarpus santalinus and related isolation.