กัดลิ้น ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย

กัดลิ้น งานวิจัยและสรรพคุณ 14 ข้อ

ชื่อสมุนไพร กัดลิ้น
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น ขี้อ้าย, ลำไยป่า (ภาคเหนือ), มะค่าลิ้น, แก้วลาว (ภาคตะวันออก), ข่าลิ้น (ภาคอีสาน)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Walsura trichostemon Miq.
วงศ์ MELIACEAE


ถิ่นกำเนิดกัดลิ้น

กัดลิ้น จัดเป็นพืชในวงศ์กระท้อน (MELIACEAE) เช่นเดียวกันกับ สะเดา และมะเกลือ โดยกัดลิ้นมีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่นใน พม่า ไทย ลาว กัมพูชา มาเลเซียและอินโดนีเซีย ต่อมาจึงได้มีการแพร่กระจายพันธุ์ไปยังภูมิภาคเอเชียให้และออสเตรเลีย สำหรับในประเทศไทยสามารถพบกัดลิ้น ได้มากทางภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคตะวันออกบริเวณ ป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง ป่าดิบเขาที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 500 เมตร


ประโยชน์และสรรพคุณกัดลิ้น

  1. รักษาแผลในกระเพาะอาหาร
  2. รักษาลำไส้
  3. รักษาแผลในปาก
  4. รักษาแผลเปื่อย
  5. ช่วยบำรุงเส้นเอ็น
  6. แก้เส้นเอ็นพิการ
  7. แก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย
  8. ช่วยขับลมในลำไส้
  9. ช่วยสมานบาดแผล
  10. ช้วยห้ามเลือด
  11. ใช้ชำระล้างแผล
  12. แก้หิดสุกหิดเปื่อย
  13. รักษาริดสีดวงทวาร
  14. แก้หิดสุด หิดเปื่อย

           กัดลิ้นจัดเป็นพืชพื้นเมืองของไทยดังนั้นจึงมีการนำมาใช้ประโยชน์มาตั้งแต่ในอดีตแล้ว โดยมีการนำเนื้อในของผลสุกกัดลิ้น ที่มีรสหวานมาใช้รับประทานเป็นผลและยังสามารถนำมาใช้แปรรูปทำส้มตำร่วมกับผลตะโกนา กล้วยดิบ ได้อีกด้วย ส่วนเนื้อไม้กัดลิ้นมีการนำมาใช้สำหรับการก่อสร้างต่างๆ รวมถึงยังสามารถนำเนื้อไม้สามารถนำมาใช้ทำเป็นพิษได้อีกด้วย


รูปแบบและขนาดวิธีใช้

  • ใช้รักษาแผลในกระเพาะอาหาร แผลในลำไส้ แผลในปาก แผลเปื่อย โดยนำผลสุกกัดลิ้นมารับประทานสด
  • ใช้บำรุงเส้นเอ็น แก้เส้นเอ็นพิการ แก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย ขับลมในลำไส้ โดยนำรากกัดลิ้น มาต้มกับน้ำดื่ม
  • ใช้ห้ามเลือด สมานบาดแผล แก้หิดสุกหิดเปื่อย โดยนำเปลือกต้นกัดลิ้นมาต้มกับน้ำใช้ชำระล้างบาดแผล แล้วนำเปลือกต้นกัดลิ้นสดมาตำพอกบริเวณที่เป็น


ลักษณะทั่วไปของกัดลิ้น

กัดลิ้น จัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลางมีความสูง 5-15 เมตร เรือนยอดแผ่กว้างค่อนข้างกลมลำต้นคดงอเล็กน้อย ผิวลำต้นกัดลิ้นมีสีน้ำตาลอมเทามักแตกเป็นสะเก็ด เปลือกต้นด้านในมีสีแดงบริเวณกิ่งอ่อนจะมีขนสั้นสีน้ำตาลอ่อนและมีช่องอากาศที่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน

           ใบกัดลิ้น เป็นใบประกอบแบบขนนก ปลายคี่โดยจะมีใบกัดลิ้น ย่อยจำนวน 3 ใบ ใบจอออกบริเวณปลายกิ่งใบย่อยใบกลางจะมีขนาดใหญ่ ส่วนใบย่อยด้านข้างจะอยู่ตรงข้ามกัน ใบย่อยเป็นรูปรีแกมรูปขอบขนาน หรือ รูปขอบขนานแกมรูปใบหอกกว้าง 3-7 เซนติเมตร ยาว 7-15 เซนติเมตร โคนใบสอบมนขอบใบเรียบ ปลายใบเรียวแหลม ผิวใบด้านบนสีเขียว ส่วนท้องใบสีอ่อนกว่า

           ดอกกัดลิ้น ออกเป็นช่อแบบช่อแยกแขนง ยาว 5-10 เซนติเมตร บริเวณปลายกิ่ง ใน 1 ช่อจะมีดอกย่อย ดอกเล็ก สีขาวนวลจำนวนมาก โดยดอกย่อยมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 8-10 มิลลิเมตร มีกลีบดอก 5 กลีบ เป็นรูปขอบขนานปลายมน ด้านนอกมีขนสั้นขึ้นปกคลุมมีเกสรเพศผู้ 10 อัน ส่วนรังไข่มีอยู่เหนือวงกลีบ 2 ช่อง

           ผลกัดลิ้น เป็นผลเดี่ยว แบบมีเนื้อ รูปทรงกลม มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1.5 เซนติเมตร มีขนสั้นๆ สีน้ำตาลอ่อนขึ้นปกคลุม ผลกัดลิ้น อ่อนมีสีเขียวส่วนผลสุกสีเหลืองแกมน้ำตาล ด้านในผลมีเนื้อหุ้มเมล็ดสีขาว รสชาติหวานและมีเมล็ด 1 เมล็ด ลักษณะกลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 7 มิลลิเมตร

กัดลิ้น
กัดลิ้น
แหล่งที่มาภาพ www.samunpri.com
 

การขยายพันธุ์กัดลิ้น

กัดลิ้น สามารถขยายพันธุ์ได้โดยวิธีการเพาะเมล็ดและการตอนกิ่งเช่นเดียวกันกับลำไย แต่วิธีที่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน คือ การตอนกิ่งเพราะเป็นวิธีที่สะดวกรวดเร็วและต้นพันธุ์ยังมีอัตราการเจริญเติบโตให้ผลผลิตที่เร็วกว่าการเพาะเมล็ด โดยกัดลิ้น เป็นพืชที่ชอบแสงแดดจัด ขึ้นได้ดีในดินร่วนที่มีความชื้นปานกลาง แต่ก็สามารถทนแล้งได้ดี สำหรับวิธีการตอนกิ่งการเพาะเมล็ดและการปลูกกัดลิ้นนั้นสามารถทำได้เช่นเดียวกันกับการเพาะเมล็ดการตอนกิ่งและการปลูกไม้ยืนต้นชนิดอื่นๆ ตามที่ได้กว่ามาแล้วในบทความก่อนหน้านี้ เช่น "กระท้อน "


องค์ประกอบทางเคมี

มีรายงานผลการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับองค์ประกอบทางเคมีของสารสกัดจากส่วนต่างๆ ของกัดลิ้น ระบุว่าพบสารออกฤทธิ์ที่สำคัญหลายชนิดดังนี้

  • สารสกัดจากเปลือกต้นกัดลิ้น พบสาร Meliacin, Walsuronoid A-E, Walsurin A-E, Walsurone, trichostomonoate, Mangsternone F, α-mangostin, desmethoxy kaunugin และ kaempferol
  • สารสกัดจากใบกัดลิ้น พบสาร Triterpenoids ได้แก่ β-amyrin, lupeol และพบสาร Quercetin glycosides
  • สารสกัดจากรากกัดลิ้น พบสาร Meliacin derivatives
  • สารสกัดจากเมล็ดกัดลิ้น สารประกอบ limonoid และ tetranortriterpenoid อีกด้วย

โครงสร้างกัดลิ้น

การศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของกัดลิ้น

มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของสารสกัดจากส่วนต่างๆ ของกัดลิ้น ระบุว่ามีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาหลายประการอาทิเช่นมีรายงานผลการศึกษาวิจัยระบุว่า เมื่อนำสารสกัดเอทิลอะซิเตตและอะซิโตน ที่แยกได้จากเปลือกต้นกัดลิ้นมาทำการทดสอบเซลล์มะเร็งชนิด KB, HeLa, COLO 205, HepG2 และ LLC พบว่า สารใหม่ที่แยกได้ มีฤทธิ์ในการยับยั้งเซลล์มะเร็งชนิด HeLa ได้ดี ที่ค่า IC50 3.8 µg/mL และยังมีฤทธิ์ในการยับยั้งเซลล์มะเร็งชนิด KB, COLO 205 และ LLC ได้ปานกลางที่ค่า IC50 4.4, 5.3 and 5.5 µg/mL ตามลำดับ และมีอีกรายงานการศึกษาวิจัยหนึ่งระบุว่าสารสกัดกัดลิ้น จากเปลือก มีฤทธิ์ต้านเชื้อ จุลชีพ โดยสามารถต้านเชื้อ Staphylococcus aureus, E. coli และเชื้อรา Candida albicans ได้อย่างมีนัยสำคัญและยังมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้อีกด้วย 

           นอกจากนี้ยังมีรายงานผลการศึกษาวิจัยสารสกัดจากส่วนเปลือกต้นของกัดลิ้นในสัตว์ทดลอง (In vivo) ระบุว่า มีฤทธิ์ต้านการอักเสบโดยสารกลุ่ม triterpenoid ที่สกัดได้จากส่วนเปลือกต้นจากเปลือกกัดลิ้น เมื่อนำมาทดสอบในหนู ทดลองที่ถูกชักนำให้เกิดการอักเสบ (บวมน้ำ) โดยคาราจีแนน พบว่าสามารถลดอาการอักเสบได้ นอกจากนี้สารสกัดดังกล่าวยังมีฤทธิ์ลดไข้ บรรเทาปวด อีกด้วย โดยมีรายงานในสัตว์ทดลองว่าการสกัดเปลือกด้วยเอทานอลมีฤทธิ์ลดไข้ในหนูขาวได้ดี


การศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาของกัดลิ้น

มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาของสารสกัดเอทานอลจากส่วนเปลือกของกัดลิ้น ระบุว่าจาก การทดสอบว่า LD50 ในหนู ทดลองพบว่าสารสกัดเอทานอลเปลือกกัดลิ้น มีความเป็นพิษต่ำโดยมีค่า (LD50 มากกว่า 2,000 mg/kg) อีกทั้งยังไม่พบพิษก่อกลายพันธุ์ หรือ พิษต่อ DNA ในการทดสอบแบบ Ames test อีกด้วย


ข้อแนะนำและข้อควรระวัง

ผลสุกของกัดลิ้นมีรสชาติหวานสามารถรับประทานได้ แต่หากรับประทานมากอาจทำให้เกิดอาการระคายลิ้น ส่วนในการใช้ส่วนต่างๆ ของกัดลิ้น ในรูปแบบสมุนไพร ก็ควรระมัดระวังเช่นเดียวกันกับการใช้สมุนไพรชนิดอื่นๆ โดยควรใช้ในขนาดและปริมาณที่เหมาะสมที่ได้ระบุไว้ในตำรับตำราต่างๆ ไม่ควรใช้ในขนาดที่มากจนเกินไป หรือ ใช้ต่อเนื่องกันเป็นเวลานานจนเกินไปเพราะอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวได้


เอกสารอ้างอิง กัดลิ้น
  1. Ito, C., Itoigawa, M., & Furukawa, H. (2000). Limonoids from Walsura trichostemon. Phytochemistry, 54(6), 597-602.
  2. ราชบัณฑิตยสถาน 2538. อนุกรมวิธานพืช อักษร ก.กรุงเทพมหานคร.เพื่อนพิมพ์.
  3. กัดลิ้น. พืชกินได้ในป่าสะแกราช. สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.). หน้า 39-40
  4. เกียรติภูมิ พลตรี. องค์ประกอบทางเคมีและความเป็นพิษต่อเซลล์มะเร็งจากรากนมสวรรค์ เปลือกลำไยป่าและเถากวาวเครือแดง. วิทยานิพนธ์หลักสูตรปริญญาวิทยาศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาเทคโนโลยีชีวภาพ.จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ปีการศึกษา 2557.
  5. Kanchanapoom, T., et al. (2001). New triterpenoids from Walsura trichostemon. Journal of Natural Products, 64(2), 163-166.
  6. Pornpakakul, S., Mahidol, C., Ruchirawat, S., & Kittakoop, P. (2004). Antimicrobial Limonoids from Walsura trichostemon. Planta Medica, 70(3), 277-279.
  7. สมุนไพร ไม้พื้นบ้าน เล่ม 4.มูลนิธิโครงการตำรายาไทย. (2542). กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์อมรินทร์.
  8. Sichaem, J., et al. (2002). Anti-inflammatory constituents from Walsura trichostemon. Chemical & Pharmaceutical Bulletin, 50(7), 963-966.