แทงทวย ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย
แทงทวย งานวิจัยและสรรพคุณ 18 ข้อ
ชื่อสมุนไพร แทงทวย
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น ทองทวย, แสด, คำแสด, มะคาง, สากกะเบือละว้า (ภาคกลาง), มะกายขัด, มะกายคัด, กายขัดหิน, ขี้เนื้อ (ภาคเหนือ), ทองขาว, ซาดป่า, ขาวปอย (ภาคอีสาน), ลายตัวผู้ (ภาคตะวันออก), ชาตรีขาว, พลับพลา, ขี้เต่า, พลับพลาขี้เต่า, พรากวางใบใหญ่ (ภาคใต้), มือราแก้บู, มินยะมายา, เต๊ะ (มลายู), กือบอซามุย (กะเหรี่ยง)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Mallotus philippensis (Larn.) Mull.Arg
ชื่อสามัญ Red berry, Monkey-faced tree.
วงศ์ EUPHORBIACEAE
ถิ่นกำเนิดแทงทวย
แทงทวย จัดเป็นพืชในวงศ์ ยางพารา (EUPHORBIACEAE) ที่มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมเป็นบริเวณกว้าง โดยมีถิ่นกำเนิดครอบคลุมในภูมิภาคเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ศรีลังกา อินเดีย บังกลาเทศ เนปาล พม่า ไทย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ เป็นต้น ต่อมาจึงได้มีการแพร่กระจายพันธุ์ไปยังบริเวณใกล้เคียง สำหรับในประเทศไทยสามารถพบแทงทวย ได้ทั่วทุกภาคของประเทศ แต่จะพบได้มากในภาคเหนือและภาคอีสาน บริเวณป่าดิบเขา ป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณ หรือ ตามชายฝั่งทะเลที่มีระดับความสูงเท่ากับระดับน้ำทะเลจนถึง 1,200 เมตร
ประโยชน์และสรรพคุณแทงทวย
- ใช้บำรุงธาตุ
- แก้โรคพรรดึก
- รักษาโรคกระเพาะอาหาร
- แก้โรคผิวหนัง
- แก้แผลเรื้อรัง
- แก้บาดแผลสด
- ใช้แก้ปัสสาวะขัดปัสสาวะแดง หรือ ปัสสาวะเหลือง
- แก้โรคเส้นต่างๆ
- ใช้แก้แผลอักเสบ
- แก้แมลงสัตว์กัดต่อย
- ใช้แก้ไข้
- แก้วิงเวียน
- ช่วยขับพยาธิ
- แก้โรคเรื้อน
- ใช้รักษาแผล
- ใช้แก้หวัด
- ใช้ขับพยาธิ
- แก้โรคเส้นยึด เส้นตึง
มีการนำผลมาใช้ทำเป็นสีย้อมผ้า โดยจะให้สีแดงที่เรียกว่า Kamela dye เนื้อไม้สามารถใช้ทำเป็นฟืน ส่วนเมล็ดใช้เป็นยาเบื่อปลา นอกจากนี้ยังมีการนำแทงทวย มาใช้เป็นสมุนไพรในการบำบัดรักษาโรค
รูปแบบและขนาดวิธีใช้
- ใช้บำรุงธาตุ แก้พรรดึก แก้โรคกระเพาะอาหาร โดยนำเปลือกต้นแทงทวยมาต้มกับน้ำดื่ม
- ใช้แก้ปัสสาวะขัด ปัสสาวะแดง เหลือง แก้โรคเส้นยึด เส้นตึง โดยนำแก่นแทงทวย มาต้มกับน้ำดื่ม
- ใช้ขับพยาธิ โดยนำเมล็ดแทงทวยทุบให้แตกต้มกับน้ำดื่ม
- ใช้แก้หวัด โดยนำใบและผลแทงทวย มาต้มกับน้ำดื่ม
- ใช้แก้แผลอักเสบ แมลงสัตว์กัดต่อย โดยนำราก ใบ และขนจากผลแทงทวย นำมาตำรวมผสมกับน้ำผึ้งใช้ทา
- ใช้พอกบาดแผล โดยนำใบและดอกแทงทวยมาตำพอกบริเวณที่เป็น
นอกจากนี้ในปัจจุบันยังมีการแทงทวย มาใช้ในการผลิตยาสมุนไพรแผนปัจจุบันตามภูมิปัญญาแพทย์แผนไทย โดยองค์การเภสัช ชื่อว่า จีพีโอ ไฟโทเพล็กซ์ แคปซูล ในยารูปแบบแคปซูล โดยบรรจุแคปซูลละ 350 มิลลิกรัม ซึ่งมีการระบุสรรพคุณเอาไว้ เพื่อแก้น้ำเหลืองเสีย ใช้รับประทานครั้งละ 2 แคปซูล วันละ 2 ครั้ง ก่อนอาหาร สำหรับส่วนประกอบของยา คือ พืชสมุนไพร 8 ชนิด ได้แก่ แทงทวย เหงือกปลาหมอ มะไฟเดือนห้า เสลดพังพอน (พญายอ) ปีกไก่ดำ พุทธรักษา ข้าวเย็นเหนือ ข้าวเย็นใต้
ลักษณะทั่วไปของแทงทวย
แทงทวย จัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กทรงพุ่มทึบต้นสูงได้ 5-15 เมตร มักแตกกิ่งในระดับสูง เปลือกลำต้นเป็นสีน้ำตาลปนเทา มีร่องที่กิ่งอ่อนจะมีขนสีน้ำตาลรูปดาว ปกคลุม และมียางจากต้นสีแดง
ใบแทงทวย เป็นใบเดี่ยว ออกแบบเรียงสลับ ใบมีลักษณะรูปไข่ หรือ รูปรี หรือ รูปไข่แกมขอบขนาน มีขนาดกว้าง 3-8 เซนติเมตร ยาว 6-20 เซนติเมตร โคนใบมน หรือ กลมปลายใบแหลม หรือ เป็นติ่งแหลม ขอบใบเรียบ ใบแก่มีสีเขียวเข้ม เนื้อใบค่อนข้างหนา หลังใบเรียบเกลี้ยงใบมีเส้นแขนงใบ 3 เส้น ท้องใบมีขนอยู่หนาแน่นและมีต่อมแบบเกล็ดเป็นจำนวนมาก ส่วนก้านใบยาว 1.5-5 เซนติเมตร และที่หูใบมีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยมแคบ ยาว 0.5-1.3 เซนติเมตร
ดอกแทงทวย ออกเป็นช่อแบบช่อเชิงลด ซอกใบและปลายกิ่ง ดอกเป็นแบบแยกเพศและอยู่บนต้นเดียวกัน โดยช่อดอกเพศผู้จะออกเป็นกระจุก 3-4 ดอก บนแกนช่อดอกมีความยาวได้ถึง 18 เซนติเมตร ดอกมีสีเขียว ซึ่งจะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.2-0.3 เซนติเมตร ไม่มีกลีบดอก มีเฉพาะกลีบเลี้ยงดอก 3-4 กลีบ มีเกสรเพศผู้ 15-20 อัน ส่วนดอกเพศเมียจะออกเป็นดอกเดียวบนแกนช่อดอก โดยมีความยาวประมาณ 20 เซนติเมตร และจะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.3 เซนติเมตร มีสีเหลือง หรือ สีแดง และมีกลีบเลี้ยงดอก 3-6 กลีบ มีรังไข่ 2-3 ช่อง ส่วนก้านเกสรเพศเมียจะยาวประมาณ 0.1 เซนติเมตร ทุกส่วนของดอกแทงทวย จะมีขนปกคลุม
ผลแทงทวย เป็นผลเดี่ยวแต่ออกรวมกันเป็นกลุ่มผลมีลักษณะกลมแป้น มีขนาด 0.7-0.9 เซนติเมตร ผลมีสีส้มแดงหรือสีแดง ผิวผลมีขนสั้นและต่อมผงเล็กๆ สีแดงหรือสีน้ำตาลเข้ม แบ่งออกเป็นพู 3 พู เมื่อผลแห้งจะแตกออกตามพู ภายในผลมีเมล็ดสีดำ อยู่ 3 เมล็ดตามพูต่างๆ โดยลักษณะของเมล็ดเป็นรูปทรงรี ยาวประมาณ 0.4 เซนติเมตร
การขยายพันธุ์แทงทวย
แทงทวยสามารถขยายพันธุ์ได้โดยการใช้เมล็ด แต่ในปัจจุบันไม่นิยมนำแทงทวยมาเพาะเมล็ด หรือ ปลูกไว้ใช้ประโยชน์ ดังนั้นการขยายพันธุ์แทงทวย จึงเป็นการขยายพันธุ์ในธรรมชาติทั้งหมด โดยอาศัยผลแก่ที่แตกออกทำให้เมล็ดร่วงลงสู่พื้นดินเกิดเป็นต้นใหม่
องค์ประกอบทางเคมี
มีรายงานผลการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับองค์ประกอบทางเคมีของส่วนต่างๆ ของแทงทวยระบุว่าพบสารออกฤทธิ์ที่สำคัญหลายชนิดดังนี้
ใบและลำต้น พบสารกลุ่ม flavonoids, alkaloids, saponin, glycosides, phenol และ tannin ผลพบแทงทวย สาร rottlerin, isorottlerin, isoallorottlerin, mallotophilippens C, D, E และ kamalins ส่วนเมล็ด พบ kaolinic acid เป็นต้น
การศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของแทงทวย
มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของแทงทวยระบุว่ามีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาต่างๆ ดังนี้
ฤทธิ์ต้านจุลชีพ มีรายงานการศึกษาวิจัยระบุว่า สารสกัดแทงทวย จากผลและใบของแทงทวย มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา เช่น Salmonella typhi, Pseudomonas aeruginosa และ Candida albicans
ฤทธิ์ต้านมะเร็ง มีรายงานว่าสารสกัดจากผลแทงทวยมีฤทธิ์ในการต้านเซลล์มะเร็งในหลอดทดลอง โดยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งบางชนิดและยังมีฤทธิ์ถ่ายพยาธิในสัตว์ทดลอง โดยเฉพาะต่อพยาธิตัวกลมได้ อีกทั้งยังมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันความเสียหายของเซลล์ได้อีกด้วย
ฤทธิ์ต้านการอักเสบ มีรายงานผลการศึกษาวิจัยระบุว่า สารสกัดจากใบและลำต้นแทงทวย มีฤทธิ์ลดการอักเสบในสัตว์ทดลองได้เป็นอย่างดี
การศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาของแทงทวย
มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาของสารสกัดจากผลของแทงทวยระบุว่า มีการศึกษาความเป็นพิษเฉียบพลันของสารสกัดจากผลแทงทวย พบว่ามีค่าความเป็นพิษเฉียบพลัน (LD50) มากกว่า 2,000 มก./กก. ในหนูทดลอง ซึ่งแสดงถึงความเป็นพิษต่ำและการให้สารจากผลแทงทวยแก่หนูทดลองในปริมาณสูง ทำให้หนูทดลองมีน้ำหนักลดลง แต่ไม่พบการตาย หรือ อาการผิดปกติอื่นๆ
ข้อแนะนำและข้อควรระวัง
ในการใช้แทงทวยเป็นสมุนไพรในการบำบัดรักษาโรคนั้นควรระมัดระวังในการใช้เช่นเดียวกับกิจการใช้สมุนไพรชนิดอื่นๆ โดยควรใช้ในขนาดและปริมาณ ที่เหมาะสมที่ได้ระบุไว้ในตำรับตำรายาต่างๆ ไม่ควรใช้ในปริมาณที่มากจนเกินไป หรือ ใช้ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานานจนเกินไป เพราะอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวได้
เอกสารอ้างอิง แทงทวย
- ปิยชาติ ไตรสารศรี. พรรณไม้สวนรุกขชาติมวกเหล็กจังหวัดสระบุรี-กรุงเทพฯ: สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช. 2551. 202 หน้า
- พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ. คำแสด. หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคเหนือ. หน้า 102.
- กรมป่าไม้ 2544. ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย เต็ม สมิตินันทน์ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2544. บริษัท ประชาชน จำกัด.กรุงเทพฯ.
- ดร.นิจศิริ เรืองรังสี, ธวัชชัย มังคละคุปต์. คำแสด (Kam Saed) หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. หน้า 82.
- ปิยรัษฎ์ เจริญทรัพย์. สมุนไพรกับยาแผนไทยประจำบ้าน. คอลัมน์ฐานทรัพยากรท้องถิ่น. จุลสารสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียนปีที่ 19 ฉบับที่ 4. กรกฎาคม-สิงหาคม 2557. หน้า 5
- De Padua, L. S., Bunyapraphatsara, N., & Lemmens, R. H. M. J. (1999). Plant Resources of South-East Asia: Medicinal and poisonous plants 1. PROSEA Foundation.
- Ahmad, F., Jahan, N., & Ahmad, S. (2014). Antimicrobial and toxicological studies on Mallotus philippensis Kamala powder. International Journal of Pharmacy Scholars, 3(1), 1-5.
- Tangjitman, K., et al. (2015). Medicinal plants used for treating gynecological disorders by folk healers in Thai traditional medicine. Journal of Ethnopharmacology, 175, 1-7.
- Tiwaweach D, Siripong P, Kupradinun P, Thamavit W, Shirai T, Hagiwara A. Inhibition of diethylnitrosamine (DEN)-induces hepatic foci by pre and post treatment with Acanthus ebracteatus Vahl. in rats. Thai Cancer J 1993;19:7-13.
- Welzen, P. C. van. (2005). A taxonomic revision of Mallotus section Philippinenses (former section Rottlera, Euphorbiaceae) in Malesia and Thailand. Blumea - Biodiversity, Evolution and Biogeography of Plants, 50(1), 147-204.
- Lin, Y. Y., et al. (2023). Phytochemical and pharmacological review of Mallotus philippensis: An emerging herbal medicine. Herbal Medicine and Pharmacology, 12(1), 25-36.
- Arora, R., & Rani, A. (2015). Study on the chemical constituents of Mallotus philippensis. Research Journal of Pharmaceutical, Biological and Chemical Sciences, 6(2), 165-170.
- Pornpakakul, S., & Sukrong, S. (2009). Ethnobotanical and phytochemical survey of medicinal plants in Thailand: Focus on Mallotus philippensis. Thai Journal of Pharmaceutical Sciences, 33(4), 195-201.