ควินิน ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย
ควินิน งานวิจัยและสรรพคุณ 16 ข้อ
ชื่อสมุนไพร ควินิน
ชื่ออื่น/ชื่อท้องถิ่น ซิงโคนา (ทั่วไป), จินจีเล่อ , จินจีน่า , กิมโกยนัม , กิมโกยเล็ก (จีน)
ชื่อวิทยาศาสตร์Cinchona pubescens Vahl.
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์Cinchona Succirubra Par., Cinchona calisaya Wedd., Cinchona ledgeriana (Howa)
ชื่อสามัญQuinin , Chinin
วงศ์ RUBIACEAE
ถิ่นกำเนิด ควินินจัดเป็นพืชในวงศ์เข็ม (RUBIACEAE) ที่มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมในเขตร้อนของทวีปอเมริกากลาง ถึงอเมริกาใต้ บริเวณเทือกเขาแอนดีสที่ทอดตัวเป็นแนวยาวผ่านประเทศคอสตาริกา เวเนซูเอลา โคลัมเบีย เอกวาดอร์ เปรูและโบลิเวีย ต่อมาจึงถูกนำไปปลูก ในบริเวณเขตร้อนต่างๆ ของโลก สำหรับในประเทศไทยพบได้ไม่มาก มีข้อมูลระบุว่าพบมีการทำสวนป่าตันควินินบนดอยสุเทพจังหวัดเชียงใหม่
ประโยชน์/สรรพคุณ ในชุมชนบนพื้นที่สูงภาคเหนือ มีการนำใบอ่อนของควินินมาใช้รับประทานร่วมกับลาบ และน้ำพริกต่างๆ ซึ่งจะให้รสจืดขมนิดๆ ส่วนในต่างประเทศมีการนำเปลือกต้นควินินไปเป็นส่วนประกอบเพื่อแต่งกลิ่นโทนิค และน้ำอัดลม รวมถึงนำมาเป็นส่วนผสมของจินโทนิค นอกจากนี้ยังมีการนำมาใช้ทำไวน์ dubonnet และใช้ทำเหล้า vermouth อีกด้วย สำหรับสรรพคุณทางยาของต้นควินินนั้นตามตำรายาไทย ได้ระบุถึงสรรพคุณเอาไว้ดังนี้ ตำรายาไทยระบุว่า เปลือกต้นมีรสเผ็ดขม ใช้เป็นยาเย็น มีพิษเล็กน้อย ช่วยเจริญอาหาร ใช้แก้ไข้ตัวร้อน แก้ไข้มาลาเรีย แก้อาการเมาค้าง แก้พิษสุราเรื้อรัง แก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย แก้หัวใจเต้นเร็ว แก้เจ็บในช่องปาก
รูปแบบ/ขนาดวิธีใช้
- ใช้เป็นยาขมช่วยเจริญอาหาร แก้ไข้ตัวร้อน ถอนพิษไข้ แก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย แก้หัวใจเต้นเร็ว โดยใช้เปลือกต้น 3-8 กรัม มาต้มกับน้ำดื่ม
- ใช้แก้อาการเมาค้าง โดยไข้ใช้เปลือกต้นแห้งประมาณ 3 กรัม นำมาต้มกับน้ำดื่ม
- ใช้เป็นยาแก้ไข้มาลาเรีย โดยใช้เปลือกแห้งประมาณ 3-6 กรัม นำมาต้มกับน้ำดื่ม หรือบดเป็นผงกินกับน้ำอุ่น หรือใช้เปลือกแห้งประมาณ 3 กรัม ผสมกับเปลือกอบเชย 1.5 กรัม แล้วนำมาต้มกับน้ำดื่ม
- ใช้เป็นยาแก้อาการเจ็บใบช่องปาก โดยใช้เปลือกต้นแห้งประมาณ 3-6 กรัม นำมาต้มกับน้ำแล้วใช้อมบ้วนปากกลั้วคอ 2 เวลา เช้าและเย็น
ลักษณะทั่วไป ควินินจัดเป็นไม้ยืนต้น ลำต้นตั้งตรง มีความสูงของต้น 8-30 เมตร โดยทั่วไปลำต้นจะตั้งตรงถึง 6 เมตร จึงจะมีการแตกกิ่งก้าน เปลือกลำต้นเรียบมีสีน้ำตาล ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงตรงข้ามกัน บริเวณปลายกิ่ง ใบมีลักษณะเป็นรูปรี หรือรีค่อนข้างกลม ใบมีขนาดกว้าง 10-15 เซนติเมตร ยาว 30-40 เซนติเมตร โคนใบมน ปลายใบแหลมสั้น ขอบใบเรียบ แผ่นใบมีสีเขียวเป็นมัน หลังใบเรียบมองเห็นเส้นกลางใบ และเส้นแขนงใบได้ชัดเจน ส่วนท้องใบเรียบมีสีอ่อนกว่า หรืออาจมีสีเขียวอ่อนปนแดงเล็กน้อย ใบแก่มักมีสีแดงและมีขนสั้นๆ ตามเส้นใบใหญ่ ส่วนก้านใบสั้นเป็นสีแดง มีหูใบอยู่ระหว่างก้านใบ ดอกออกเป็นช่อ บริเวณปลายกิ่ง ใน 1 ช่อดอกจะมีดอกย่อยมีจำนวนมาก ดอกเป็นสีขาวหรือสีชมพลู ลักษณะของดอกย่อยจะมีกลีบเลี้ยงบริเวณโคนดอกติดกันเป็นหลอดสั้น ส่วนปลายแยกเป็น 5 กลีบ ส่วนกลีบดอกเป็นรูปสามเหลี่ยมติดกันเป็นหลอดยาวประมาณ 2.4 - 3.6 เซนติเมตร ปลายแยกเป็น 5 กลีบ ตามกลีบดอกมีขนสีขาวขึ้นปกคลุมและจะมีเกสรเพศผู้ประมาณ 5 อัน จะติดกับหลอดกลีบดอก มีก้านเกสรเพศเมียพันอยู่ตติดกับหลอดดอก ส่วนปลายแยกเป็น 2 แฉก ภายในรังไข่แบ่งออกเป็น 2 ห้อง ผลเป็นผลเดี่ยวรูปทรงสวย หรือรูปไข่ยาว ผิวผลเรียบ โดยมีความยาว 2.5-3.2 เซนติเมตร ผลดิบมีสีเขียวอมเหลือง เมื่อสุกแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีแดงอมน้ำตาล และเมื่อผลแห้งแล้วจะแตกออกเป็น 2 ซีก ด้านในผลมีเมล็ดเป็นแผ่นบางๆ สีน้ำตาลแดงประมาณ 25 เมล็ด
การขยายพันธุ์ ควินินสามารถขยายพันธุ์ได้โดยการใช้เมล็ดและการปักชำ แต่วิธีที่เป็นที่นิยมในการขยายพันธุ์สำหรับการปลูกในเชิงพาณิชย์ในต่างประเทศ คือการใช้เมล็ดเพาะเป็นต้นกล้า แล้วจึงนำมาปลูก สำหรับวิธีการเพาะเมล็ด และวิธีการปลูกควินินนั้นสามารถทำได้เช่นเดียวกันกับการเพาะเมล็ด และการปลูกไม้ยืนต้นในวงศ์เข็ม (RUBIACEAE) ชนิดอื่นๆ ตามที่ได้กล่าวถึงมาแล้วในบทความก่อนหน้านี้
องค์ประกอบทางเคมี มีรายงานผลการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับองค์ประกอบทางเคมีของสารสกัดจากส่วน เปลือกต้น ราก และเมล็ดของควินิน ระบุว่าพบสารออกฤทธิ์ที่สำคัญหลายชนิดอาทิเช่น
- สารกลุ่ม Alkaloids เช่น: • Quinine , Quinidine , Quinorinm , Quinovic acid, Dihydroquinine , Dihydroquinidine , Cinchonine , Cinchophyllamine , Cinchonidine , Cincholicine ,Cinchotannic acid , Hydroquinidine , Hydroquinine , Cuprein , Cusconidine , Cuscohygrine , Quinamine , Cinchonamine และ Tataquin
- สารกลุ่ม Polyphenols เช่น Caffeic acid และ Chlorogenic acid
- สารกลุ่ม Tannins เช่น Cinchotannic acid และ proanthocyanidin
- สารกลุ่ม Flavonoids เช่น Quercetin derivatives และ Kaempferol derivatives
- สารกลุ่ม Terpenoids เช่น quinovic acid เป็นต้น
การศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยา มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของสารสกัดตจากส่วน เปลือกต้น เปลือกราก และเมล็ด ของต้นควินิน ระบุว่ามีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาหลายประการดังนี้
มีรายงานการศึกษาวิจัยฤทธิ์ต้านมาลาเรียในหลอดทดลองระบุว่า มีรายงานว่าสารQuinine แสดงฤทธิ์ยับยั้งเชื้อ Plasmodium falciparum ในหลอดทดลอง โดยมีกลไกการออกฤทธิ์ที่สำคัญของ quinineคือจับกับ heme → ยับยั้งการเกิด hemozoin ใน food vacuole (ถุงที่สร้างขึ้นภายในเซลล์เพื่อกักเก็บและย่อยอาหาร)ของเชื้อ Plasmodium ทำให้เกิด oxidative stress (การเสียสมดุล)และรบกวนการนำแคลเซียม (Ca²⁺) ภายในปรสิตจึงสามารถยับยั้งการสังเคราะห์โปรตีนในปรสิตได้
ส่วนฤทธิ์ต้านปรสิตชนิดอื่น ก็มีรายงานพบว่าสาร quinoline alkaloids มีฤทธิ์ยับยั้งปรสิตที่นำโรค Trypanosoma cruzi (โรคชากาส )และLeishmania donovani (โรคลีชมาเนีย) ได้เช่นกัน
ฤทธิ์ต้านไวรัส มีรายงานการศึกษาวิจัยรายงานว่าสาร Quinine และ quinidine แสดงฤทธิ์ยับยั้งไวรัสบางชนิด เช่น ไวรัสไข้เลือดออก (DENV) ไวรัส Chikungunya และ ไวรัส HIV (ในระดับอ่อน) โดยมีกลไกคือการเข้าไปรบกวน endosomal pH และการปลดปล่อย viral genome
ฤทธิ์ต้านจุลชีพ มีรายงานการศึกษาวิจัยรายงานว่าสารสกัดจากเปลือกควินินมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียหลายชนิด เช่น Staphylococcus aureus , Escherichia coli , Pseudomonas aeruginosa และ Bacillus subtilis โดยฤทธิ์ดังกล่าวอาจเกี่ยวข้องกับสาร tannins และ quinoline alkaloids ที่พบในสารสกัด นอกจากนี้สารสกัดยังมีฤทธิ์ต้านเชื้อรา เช่น Candida albicans และ Cryptococcus neoformans ได้อีกด้วย
ฤทธิ์ต้านการอักเสบ มีรางานว่าสาร quinovic acid glycosides (triterpene) มีฤทธิ์ต้านการอักเสบในเซลล์โดยจะช่วย ยับยั้ง NF-κB ลด cytokines (เช่น IL-6, IL-1β) และ ลด Nitric Oxide จากเซลล์ macrophage
สำหรับการศึกษาวิจัยฤทธิ์ต้านมาลาเรีย ในสัตว์ทดลองมีรายงานการศึกษาวิจัยระบุว่า ค่า IC50 ของสาร quinine (ที่แยกได้จากต้นควินิน )ต่อเชื้อมาลาเรีย P. falciparum อยู่ที่ ~50–500 nM (ขึ้นกับสายพันธุ์) ส่วนอีกรายงานหนึ่งระบุว่าเมื่อป้อนสาร quinine ในหนูทดลองติดเชื้อมาลาเรีย P. berghei ขนาดdose 20 mg/kg.พบว่าสามารถลด parasitemia ได้อย่างมีนัยสำคัญ
ส่วนในทางคลินิก Quinine เคยถูกใช้เป็นยารักษาไข้มาลาเรีย โดยเฉพาะ P. falciparum แต่พบว่ามีอัตราอาการข้างเคียงสูง เช่น หูอื้อ เห็นพร่า QT prolongation และพบการเกิด cinchonism (อาการคลื่นไส้ อาเจียน หูอื้อ/คันหู tinnitus/การได้ยินลดลง ปวดศีรษะ การเห็นพร่ามัว/การรบกวนสี) ในปัจจุบันจึงถูกแทนที่ด้วย Artemisinin-based Combination Therapies (ACTs)
การศึกษาวิจัยทางพิษวิทยา มีรายงานการศึกษาทางพิษวิทยาในสัตว์ทดลองเพื่อประเมินการสะสม การกระจาย และระดับที่ทำให้เกิดอาการ เช่น ผลต่อการมองเห็น/retina และระบบประสาท อาการ Cinchonism (อาการเฉพาะกลุ่มจาก quinoline derivatives) เช่น หูอื้อ, คลื่นไส้ อาเจียน, เหงื่อออก, เวียนหัว, สายตาพร่ามัว,การมองเห็นผิดปกติ และอาจพบ ECG ผิดปกติ เช่น prolonged QT, QRS, torsades de pointes, ventricular arrhythmia. พบว่า ในระดับพลาสมาควินีน > ~15 mg/L จะเชื่อมโยงกับความเสี่ยงสูงต่อการเกิดพิษดังกล่าว
ข้อแนะนำ/ข้อควรระวัง ในตำรายาไทยระบุว่า ห้ามใช้ส่วนต่างๆ ของต้นควินินเป็นสมุนไพรในคนที่เป็นไข้มาลาเรียที่มีอาการปัสสาวะเป็นเลือด หรือปัสสาวะเป็นสีดำ สตรีมีครรภ์ และคนที่เป็นโรคหัวใจขึ้นรุนแรง นอกจากนี้ยังมีข้อควรระวังในการใช้ส่วนต่างๆ ของต้นควินินอีกเช่นควรระมัดระวังในการใช้ส่วนต่างๆ ของต้นควินิน ในคนที่มีประวัติแพ้ พืชในวงศ์เข็ม (RUTACEAE) ผู้ทีมีภาวะโรคหัวใจที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดปกติ รวมถึงผู้ป่วยที่รับยากลุ่ม Drug-induced QT prolongation (ภาวะที่ช่วง QT บนคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG) ยาวนานผิดปกติ เนื่องจากผลข้างเคียงของยาบางชนิด) เช่น macrolides, quinolones นอกจากนี้ไม่ควรใช้ควินินเป็นยารักษาโรคต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานจนเกินไป เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการแพ้และเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ(arrhythmia) และยังมีรายงานว่าสาร Quinidine และสาร quinine มีผลกับระบบเอนไซม์ตับ (CYP) และการจับโปรตีนพลาสมา จึงอาจมีปฏิกิริยากับยาต่าง ๆ ที่เปลี่ยนการขับหรือการกระจายผ่านเอนไซม์ดังกล่าว เช่น ยาที่มีผลต่อการนำไฟฟ้าหัวใจหรือยาที่ทำให้ระดับพลาสมาสูงขึ้น หรือลดลงได้
อ้างอิงควินิน
- ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม. “ควินิน”. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. หน้า 189-191.
- วิทยา บุญวรพัฒน์. “ควินิน”. หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. หน้า 158.
- ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์. “ควินิน (Khwi Nin)”. หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. หน้า 76.
- Murauer, A., & Ganzera, M. (2018). Quantitative determination of major alkaloids in Cinchona bark by Supercritical Fluid Chromatography. Journal of Chromatography A, 1554, 117–122.
- Charming C (2006). Miss Charming's Guide for Hip Bartenders and Wayout Wannabes. USA: Sourcebooks, Inc. p. 189.
- Bateman, D. N. (1986). Quinine toxicity. British Journal of Clinical Pharmacology.
- Flückiger FA, Hanbury D (1874). "Cortex Cinchonæ". Pharmacographia: A History of the Principal Drugs of Vegetable Origin, Met with in Great Britain and British India. London: Macmillan and Co. pp. 302–331.
- Bykowski, A., Hashmi, M. F., & Logan, T. D. (2023). Cinchonism. In StatPearls. Treasure Island (FL): StatPearls Publishing. Last Update: September 4, 2023.
- Staines HM, Krishna S (2011). Treatment and Prevention of Malaria: Antimalarial Drug Chemistry, Action and Use.: Springer Verlag. p. 45. ISBN 978-3-0346-0479-6.
- Kew Gardens (Plants of the World Online). (n.d.). Cinchona pubescens Vahl. Retrieved from Plants of the World Online (Kew).
