หางหมาจอก ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย
หางหมาจอก งานวิจัยและสรรพคุณ 16 ข้อ
ชื่อสมุนไพร หางหมาจอก
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น หญ้าหางเสือ ,หางอ้น (ภาคเหนือ),หางกะรอก , หญ้าตะขาบ,กายสิทธิ์ ,เสลดพังพอนกะเหรี่ยง (ภาคกลาง),ขี้หนอน,หนอนใหญ่,หนอนหน่าย,หนอนหย่าย (ภาคอีสาน),หญ้าหางแมว,หางสิงห์,แร่แง,อิกงเมียงแช(ภาคใต้)
ชื่อวิทยาศาสตร์Uraria crinite (L.) Desv. Ex. DC.
วงศ์LEGUMINOSAE – PAPILIONOIDEAE
ถิ่นกำเนิด หางหมาจอกจัดเป็นพืชในวงศ์ถั่ว (FABACEAE – LEGUMINOSAE) ที่มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่นใน ประเทศพม่า ไทย ลาว เวียดนาม กัมพูชา และมาเลเซีย ต่อมาจึงได้มีการกระจายพันธ์ไปยังภูมิภาคเอเชียตะวันออกเช่นใน จีน ไต้หวัน ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ อินเดีย และศรีลังกา เป็นต้น สำหรับในประเทศไทยสามารถพบได้ทั่วทุกภาคของประเทศบริเวณป่าดิบเขา ป่าดิบแล้ง ป่าเบญจพรรม ที่มีระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลจนถึง 800 เมตร
ลักษณะทั่วไป หางหมาจอกจัดเป็นไม้พุ่มทรงพุ่งโปร่ง แตกกิ่งในระดับต่ำ ลำต้นตั้งตรงมีความสูง 0.5-1.5 เมตร เปลือกลำต้นสีน้ำตาล ผิวขรุขระเล็กน้อย มักแตกกิ่งไม่มาก ใบเป็นใบประกอบแบบขนขก ปลายคี่โดยจะออกเรียงสลับบนกิ่งมีใบย่อย 5-11 ใบ ใบมีลักษณะรูปไข่ รูปวงรีแกมขอบขนาน หรือแกมใบหอก มีขนาดกว้าง 3.5 เซนติเมตร ยาว 8-15 เซนติเมตร โคนใบมนปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ แผ่นใบเหนียว ผิวใบเรียบเป็นมัน มีสีเขียวเข้ม และมีแถบสีเทาบนแผ่นใบ ดอกออกเป็นช่อแบบช่อกระจะ โดยจะออกบริเวณปลายยอด ช่อดอกจะตั้งขึ้น ช่อดอกมีดอกย่อยจำนวนมาก เรียงตัวแน่นเป็นแท่ง ดอกย่อยมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1-2 เซนติเมตร กลีบดอกมี 5 กลีบลักษณะคล้ายกลีบดอกถั่ว เป็นสีชมพู สีชมพูเข้ม หรือสีม่วงจาง มีเกสรตัวผู้ 10 อัน มีรังไข่มี 4-7 ออวุล และมีใบประดับรูปไข่หรือรูปหอก เป็นสีเขียวจาง สีชมพูจาง หรือสีชมพู ก้านดอกมีขน ขนรูปตะขอ และขนต่อมหลายเซลล์ปกคลุม ผลออกเป็นฝักรูปขอบขนาน แบน คอดเป็นข้อๆ 4-7 ข้อ มักจะพับงอไปมา เมื่อยังอ่อนฝักจะมีสีเขียว เมื่อสุกฝักจะเป็นสีดำ ไม่แตก ด้านในฝักมีเมล็ดหลายเมล็ด
ประโยชน์/สรรพคุณ ในอดีตชาวอีสานจะใช้ ทั้งต้นใส่ในภาชนะที่หมักปลาร้า เพื่อกำจัดหนอนในปลาร้า ส่วนในปัจจุบันมีการนำหางหมาจอกมาปลูกเป็นไม้ประดับตามอาคารสถานที่ต่างๆ ตามสวนสาธารณะหรือนำมาปลูกใส่กระถางประดับตามในตัวอาคารหลายแห่ง เนื่องจากหางหมาจอกมีลักษณะช่อดอกที่ตั้งตรง และมีสีสันสวยงามแปลกตา จึงมีความนิยมนำมาปลูกประดับ สำหรับสรรพคุณทางยาของหางหมาจอกนั้นตามตำรายาไทยและตำรายาพื้นบ้านได้ระบุถึงสรรพคุณของหางหมาจอกเอาไว้ดังนี้
- ทั้งต้น ใช้ถอนพิษ แก้โรคภูมิแพ้ แก้ปวดเมื่อย
- ราก มีรสจืด ใช้แก้มะเร็ง แก้พิษงู พิษสัตว์ขบกัด แก้อาการทางประสาท รักษาฝี ฝีหนอง ใช้ถ่ายพยาธิ
- ใบและเปลือก รักษาเลือดเป็นพิษ และอาการคัน
รูปแบบ/ขนาดวิธีใช้
- ใช้ถอนพิษต่างๆ แก้โรคภูมิแพ้โดยนำทั้งต้นมาต้มกับน้ำดื่ม ใช้แก้มะเร็ง ถ่ายพยาธิ โดยนำรากมาต้มกับน้ำดื่ม
- ใช้แก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย โดยใช้ทั้งต้น ผสมหัวยาข้าวเย็น ต้มกับน้ำดื่ม
- ใช้แก้อาการทางประสาท โดยนำรากหางหมาจอกผสมรากแกลหนู รากกาสามปีกใหญ่ รากกาสามปีกเล็ก และรากใบโมกมัน ต้มกับน้ำดื่ม
- แก้พิษงู แก้พิษสัตว์ขบกัดโดยใช้รากฝนกับสุรา หรือน้ำมะนาวรับประทาน และทา
- ใช้แก้เลือดเป็นพิษ แก้คันตามผิวหนัง โดยนำใบและเปลือกต้นมาต้มกับน้ำดื่มและใช้อาบด้วย
- ใช้รักษาฝี ฝีหนอง โดยนำรากมาฝนกับน้ำปูนใสทาบริเวณที่เป็น
นอกจากนี้ชาวเขาเผ่าอาข่า ยังใช้ทั้งต้น ต้มน้ำดื่มแก้อาการช้ำใน และใช้ ลำต้น ตำให้ละเอียดพอกแผลบวมช้ำ อักเสบอีกด้วย
การขยายพันธุ์ หางหมาจอกสามารถขยายพันธ์ได้โดยการใช้เมล็ดและการปักชำ แต่ในปัจจุบันส่วนมากจะนิยมใช้วิธีการเพาะเมล็ดมากกว่า สำหรับวิธีการเพาะเมล็ดและการปลูกหางหมาจอกนั้น สามารถทำได้เช่นเดียวกันกับการเพาะเมล็ดและการปลุกไม้พุ่มในวงศ์ถั่ว (FABACEAE – LEGUMINOSAE) ชนิดอื่นๆ ตามที่ได้กล่าวมาแล้วในบทความก่อนหน้านี้
องค์ประกอบทางเคมี มีรายงานผลการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับองค์ประกอบทางเคมีของสารสกัดจากทั้งต้น และส่วนรากของหางหมาจอก ระบุว่าพบสารออกฤทธิ์ที่สำคัญหลายชนิดอาทิเช่น สารสกัดจากส่วนเหนือดินของหางหมาจอก พบสารหลายกลุ่ม ได้แก่ สารกลุ่ม Flavonoids และ Flavonoid glycosides เช่น Vitexin , Isovitexin , Orientin , Isoorientin , Schaftoside , Isoschaftoside , Mollisin , Quercetin , Rutin , Kaempferol , Kaempferol-3-O-rutinoside , Apigenin และLuteolin สารกลุ่ม Isoflavonoids และ Isoflavanones ได้แก่ Genistein , Daidzein , Formononetin , Biochanin A ,Irilone,และ 7-hydroxyisoflavanone สารกลุ่ม Anthocyanins ได้แก่ Dalbergioidin , Dalbergin derivatives รวมถึง Anthocyanin-O-glycosides อีกหลายชนิด ส่วนสารสกัดจากส่วนรากของหางหมาจอก พบสารกลุ่มTriterpenoids และ Triterpene glycosides (Saponins) ได้แก่ Oleanolic acid , Ursolic acid , Hederagenin , Echinocystic acid , Gypsogenic acid , Abrisaponin So1 , Abrisaponin F , Kaikasaponin III , Phaseoside IV , Sophoradiol 3-O-glucuronide , 24-deoxyoxytrogenin-3-O-glucuronopyranoside , Soyasaponin I , Gypsoside สารกลุ่มPhenolic acids และ Phenylpropanoids ได้แก่ Caffeic acid , Ferulic acid , p-Coumaric acid , Gallic acid , Vanillic acid , Protocatechuic acid และ Syringic acid สารกลุ่มLignans ได้แก่ Pinoresinol , Lariciresinol สารกลุ่ม Sterols ได้แก่ β-Sitosterol , Stigmasterol , Campesterol และ Fucosterol เป็นต้น
การศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยา มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของสารสกัดจากส่วนราก และทั้งต้นของหางหมาจอกระบุว่ามีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาหลายประการ ดังนี้
มีรายงานการศึกษาวิจัยในหลอดทดลองเกี่ยวกับฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) รายงานว่าจากการศึกษาวิจัยสารสกัดเมทานอล และเอทิลอะซิเตทจากรากหางหมาจอก พบว่าแสดงกิจกรรมต้านอนุมูลอิสระ และมีความสามารถในการยับยั้ง nitric oxide ที่มีคุณสมบัติเป็นสารสื่อกลางการอักเสบ ในการทดสอบทางหลอดทดลอง โดยมีการระบุว่าสาร genistein เป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญที่มีบทบาทต้านอนุมูลอิสระ โดยเข้าไปลดการสร้าง nitric oxide ในเซลล์มาโครฟาจ (LPS-stimulated RAW 264.7)และลดการสร้าง nitric oxide ในเซลล์ภูมิคุ้มกัน และยังมีรายงานว่าสารสกัดดังกล่าวบังมีฤทธิ์ต้านเชื้อจุลชีพในหลอดทดลอง โดยมีงานรายงานกิจกรรมต้านเชื้อแบคทีเรียบางชนิดและผล cytoprotective ในการทดสอบเซลล์อีกด้วย
ส่วนการศึกษาวิจัยในสัตว์ทดลองเกี่ยวกับฤทธิ์ป้องกัน และรักษาแก้โรคไตจากพิษ (nephroprotective) ระบุว่ามีรายงานการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับสาร dalbergioidin ที่แยกได้จากสารสกัด(ทั้งต้น)ของหางหมาจอกในแบบจำลองหนูเมาส์ที่ใช้ยา doxorubicin ทำให้หนูทดลองเกิดภาวะโรคไต พบว่าสาร dalbergioidin มีฤทธิ์ช่วยบรรเทาอาการของโรคไตเรื้อรังและลดการเกิดภาวะ fibrosis ผ่านการยับยั้งสัญญาณ TGF-β/Smad ในหนูทดลองได้อย่างมีนัยสำคัญ
สำหรับฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด (hypoglycemic) ก็มีรายงานวิจัยในแบบการทดสอบ STZ-induced diabetic rats ในสารสกัดน้ำจากรากหางหมาจอก พบว่ามีฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือดในหนูทดลอง (STZ model) ได้อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าสารสกัดจากส่วนต่างๆของหางหมาจอกยังมี ฤทธิ์ต้านการอักเสบและฤทธิ์ทางชีวภาพอื่น ๆอีกหลายประการ ในสัตว์ทดลอง
การศึกษาวิจัยทางพิษวิทยา ไม่มีข้อมูล
ข้อแนะนำ/ข้อควรระวัง
- ผู้ป่วยเบาหวานที่ใช้ยาลดน้ำตาลควรระมัดระวังในการใช้หางหมาจอกเป็นยาสมุนไพร เพราะมีรายงานฤทธิ์ hypoglycemic ในสัตว์ทดลอง ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะน้ำตาลต่ำเกินไป
- สารกลุ่ม isoflavonesflavonoids และ anthocyanins ที่พบในส่วนต่างๆของหางหมาจอกอาจมีผลต่อเอนไซม์ตับหรือการดูดซึมยาบางตัว ดังนั้นจึงต้องระมัดระวังการใช้ร่วมกับยาบางชนิดที่ต้องเมตาบอไลซ์โดย CYPs
- ผู้แพ้พืชในวงศ์ถั่ว (Fabaceae)ควรระวังในการใช้หางหมาจอก เนื่องจากเป็นพืชในตระกูลถั่วซึ่งอาจมีอาการแพ้ได้เช่นเดียวกัน
อ้างอิงหางหมาจอก
- วงศ์สถิต ฉั่วสกุล พร้อมจิต ศรลัมพ์ วิชิต เปานิล และรุ่งระวี เต็มศิริฤกษ์กุล. 2539. สมุนไพรพื้นบ้านล้านนา บริษัท อัมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับถิชชิ่ง จำกัด, กรุงเทพ
- จิรายุพิน จันทรประสงค์ พร้อมจิต ศรลัมพ์ วงศ์สถิต ฉั่วสกุล สมภพ ประธานธุรารักษ์ นพมาศ สุนทรเจริญนนท์ อนุชา บุญจรัส รุ่งระวี เต็มศิริฤกษ์กุล วิชิต เปานิล และอาทร ริ้วไพบูรณ์. 2543. ถกยาอีสาน. บริษัท อัมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด, กรุงเทพฯ
- ส่วนพฤกษศาสตร์ป่าไม้ สำนักวิชาการป่าไม้ กรมป่าไม้. 2544. รายชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย เต็ม สมิตินันทน์, พิมพ์ครั้งที่ 2 (ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม), บริษัทประชาชน จำกัด, กรุงเทพฯ.
- ประนอม จันทรโณทัย,วรชาติ โตแก้ว.อนุกรมวิธานและการใช้ประโยชน์ของพืชสกุลหางกระรอก (วงศ์ถั่ว) ในประเทศไทย.รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์,พฤษภาคม 2552.34หน้า
- เพ็ญนภา เจริญทรัพย์ ธวัชชัย มังคละคุปต์ วัชรีพร คงวิลาด สุจิรัตน์ มาทองแดง และรัตติการ วิเคียน. 2549.สมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคอีสาน. บริษัท สามเจริญ (กรุงเทพฯ) จำกัด, กรุงเทพฯ.
- นันทวัน บุณยะประภัศร และอรนุช โชคชัยเจริญพร. 2543. สมุนไพร ไม้พื้นบ้าน. บริษัท ประชาชน จำกัด,กรุงเทพฯ.
- ฐานข้อมูลสมุนไพรไทยเขตอีสานใต้ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. หางหมาจอก, [ออนไลน์). 2025,แหล่งที่มา: https://phar.ubu.ac.th/herb-DetailPhargarden/141.
- Yen, G.-C., Lai, H.-H., & Chou, H.-Y. (2001). Nitric oxide-scavenging and antioxidant effects of Uraria crinita root. Food Chemistry, 74, 471–478.
- Chao, J., Dai, Y., Cheng, H.-Y., Lam, W., Cheng, Y.-C., Li, K., … Lee, M.-S. (2017). Improving the concentrations of the active components in the herbal tea ingredient, Uraria crinita: The effect of post-harvest oven-drying processing. Scientific Reports.
- Larsen, K., Larsen, S.S. and Vidal, J.E. 1984. Leguminosae-Caesalpinioidea. In: Flora of Thailand. T.Smitinand and K. Larsen (Eds.), vol. 4, part 1, pp. 1-130. The Tistr Press, Bangkok.
- Okawa, M., Akahoshi, R., Kawasaki, K., Nakano, D., Tsuchihashi, R., Kinjo, J., & Nohara, T. (2019). Two new triterpene glycosides in the roots of Uraria crinita. Chemical & Pharmaceutical Bulletin, 67(2), 159–162.
- Studies on chemical constituents in roots of Uraria crinita. (2009). Chinese Pharmaceutical Journal, 44(16), 1217–1220.
- van Thuân, N., Dy Phon, P. and Niyomdham, C. 1987. Leguminosae-Papillonoidea. In: Flore duCambodge du Laos et du Viêtnam. Ph. Morat (Eds.), vol. 30, pp. 95-116. Muséum National D'Histoire Naturelle, Paris.
- Ren, X., Bo, Y., Fan, J., Chen, M., Xu, D., Dong, Y., … Xu, C. (2016). Dalbergioidin ameliorates doxorubicin-induced renal fibrosis by suppressing the TGF-β signal pathway. Mediators of Inflammation, 2016.
