หญ้าไทร ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย
หญ้าไทร งานวิจัยและสรรพคุณ 12 ข้อ
ชื่อสมุนไพร หญ้าไทร
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น หญ้าไซ,หญ้าทราย(ภาคเหนือ,ภาคกลาง),หญ้าคมบาง (ภาคใต้)
ชื่อวิทยาศาสตร์Leersiae hexandra .Sw.
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์Leesia abyssinica A Rich., Leesia capensis C. Mueller.
ชื่อสามัญBareet grass. Swamp rice grass, Southern cut grass.
วงศ์ POACEAE GRAMINEAE
ถิ่นกำเนิด หญ้าไทรจัดเป็นพืชในวงศ์หญ้า (POACEAE) ที่มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมในบริเวณเขตร้อนของทวีปเอเชีย อาทิเช่น ในบริเวณเอเชียใต้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่นในอินเดีย ไทย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย กัมพูชา เวียดนาม และทางภาคใต้ของจีน ต่อมาจึงมีการกระจายแบบ pantropical ไปในแอฟริกา รวมถึงบางพื้นที่ในออสเตรเลียและอเมริกา โดยในบางพื้นที่จัดเป็นวัชพืชในระบบนิเวศน้ำจืด และทุ่งนาราบลุ่มน้ำ แต่ก็มีในบางพื้นที่ก็มีการใช้เป็นสมุนไพรพื้นบ้าน สำหรับในประเทศไทยสามารถพบได้ทั่วทุกภาคของประเทศบริเวณตามคูคลองและที่ชื้นแฉะน้ำขึ้นถึง โดยมากพบขึ้นตามชนบท ตามที่รกร้างว่างเปล่าหรือริมคลองหนองบึงทั่วไป
ประโยชน์/สรรพคุณ ในทางปศุสัตว์หญ้าไทรถูกนำมาใช้เป็นอาหารเลี้ยงสัตว์ โดยถือเป็นแหล่งอาหารสัตว์ ในธรรมชาติสำหรับแทะเล็ม เช่น โค กระบือ แพะ แกะ และม้า เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการนำหญ้าไทรมาใช้เป็นสมุนไพรอีกด้วย โดยมีการระบุถึงสรรพคุณเอาไว้ว่า ทั้งต้นมีรสจืดขื่น ใช้ขับฟอกพิษในตับ ใช้เป็นยาบำรุงโลหิต ขับและฟอกโลหิต ใช้ปัสสาวะ แก้ปัสสาวะขัด แก้บวมน้ำ แก้โลหิตระดูเป็นลิ่ม ขับระดูเป็นก้อนดำเน่าเหม็น แก้เจ็บปวดตามท้องน้อย และแก้พิษโลหิตเป็นเม็ดผื่นคัน
รูปแบบ/ขนาดวิธีใช้ ใช้เป็นยาบำรุงโลหิต ขับฟอกโลหิต ฟอกโลหิตในตับ ขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะขัด แก้บวมน้ำ ขับฟอกโลหิต ประจำเดือนสตรี แก้โลหิตระดูเป็นลิ่มเป็นก้อนดำเนาเหม็น แก้ปวดท้องน้อย บั้นเอว แก้พิษโลหิตเป็นเม็ดผื่นคัน
ลักษณะทั่วไป หญ้าไทรจัดเป็นพืชล้มลุกจำพวกหญ้าอายุหลายปี (perennial) ชอบขึ้นลอยอยู่ริมน้ำหรือทอดยาวบนพื้นดินที่ชุ่มชื้น มีเหง้าที่แข็งแรงอยู่ใต้ดิน (rhizome) และมีรากยาวออกบริเวณข้อของลำต้น ส่วนลำต้นมีลักษณะกลมสูง 15-70 เซนติเมตร มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 1-2 มิลลิเมตร ลำต้นสีเขียวอมน้ำตาลผิวเรียบ บริเวณข้อมีขนสีขาวคลุมรอบๆ ใบเป็นใบเดี่ยว ออกสลับข้างกับแผ่นใบรูปขอบขนานยาวเรียว กว้าง 8-10 มิลลิเมตร ยาว 7-12 เซนติเมตร โคนใบค่อนข้างหนาและอวบแผ่เป็นสายหุ้มลำต้น ยาว 6-12 เซนติเมตร และมีเยื่อบางๆ ยาว 4-9 มิลลิเมตร ค่อนข้างแห้งและแข็งติดอยู่ ส่วนปลายใบเรียวแหลมขอบใบอาจมีหยักเล็กน้อย ผิวใบมีสีเขียวหลายสากมือทั้งสองด้าน แผ่นใบมักจะม้วนในเวลากลางคืนหรือเมื่อแห้งแล้ง ดอกออกเป็นช่อดอกแบบแยกแขนงแคบ โดยจะออกบริเวณปลายยอด ช่อดอกยาว 13-20 เซนติเมตร และจะมีดอกย่อยรูปรีหรือรูปหอกแบนทางด้านข้าง ยาว 3-4 มิลลิเมตร มีกาบช่อย่อยลดรูป เหลือเพียงกาบคลุมล่าง และกาบคลุมบน ผิวของดอกย่อยมีเนื้อหยาบ ที่เส้นสันมีขนเข็งมีอับเรณูสีขาวหรือเหลืองอ่อน 3 อัน ยอดเกสรเพศเมียมีขนาดเล็กสีขาว ผลมีรูปยาว (caryopsis) ขนาดเล็ก มักจะติดเมล็ดน้อยมาก เพราะมักจะร่วงไปพร้อมกับดอก
การขยายพันธุ์ หญ้าไทรสามารถขยายพันธุ์ได้โดยการใช้เมล็ดหรือใช้เหง้าปลูก แต่ส่วนมากจะไม่นิยมนำมาปลูกเนื่องจากถูกจัดให้เป็นวัชพืชชนิหนึ่งที่สามารถขยายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว ส่วนในธรรมชาติจะเป็นการใช้เมล็ดที่ปลิวตามลมหรือร่วงสู่พื้นงอกเป็นต้นใหม่ หรืออาจใช้รากทอดลำต้นรไปด้านข้างเจริญเป็นต้นใหม่ก็ได้เช่นกัน
องค์ประกอบทางเคมี มีรายงานผลการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับองค์ประกอบทางเคมีของสารสกัดจากทั้งต้นของหญ้าไทรระบุว่าพบสารออกฤทธิ์ที่สำคัญดังนี้ พบกรดไขมันและอนุพันธ์ (Fatty acids & esters) โดยพบสาร เช่น n-Hexadecanoic acid (palmitic acid) , Hexadecanoic acid, 9,12-Octadecadienoic acid , (linoleic acid) และ 2-Hexadecen-1-ol พบสารกลุ่มสเตอรอล เทอร์พีน (Sterols, triterpenes, lupane compounds) เช่น β-Sitosterol, Stigmasterol, campesterol, γ-sitosterol ,Lupeol และ β-amyrinพบกลุ่มกรดฟีนอลิก เช่น syringicacid และ vanillic acid
การศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยา มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของสารสกัดจากส่วนรากใบเมล็ดและลำต้น ของหญ้าไทรระบุว่าว่า มีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาดังนี้
ฤทธิ์ลดความดันโลหิต มีรายงานการศึกษาวิจัยฤทธิ์ลดความดันโลหิตของหญ้าไทรโดยการแบ่งหนูทดลองเป็น3กลุ่มจากนั้น ได้ป้อนเอธานอลทางปากแก่หนูทดลองทุกกลุ่มในขนาด 5 g/kg/day เป็นเวลา 35 วัน เพื่อเหนี่ยวนำให้หนูทดลองมีความดันสูง (hypertensive rats, HTR) จากนั้นในหนูกลุ่มแรก ได้ทำการป้อนสารสกัดน้ำจากส่วนใบ+ลำต้นของหญ้าไทร (aqueous extract)แก่หนูทดลอง(ทางปาก)ในขนาด100 mg/kg และ 200 mg/kg ส่วนกลุ่มควบคุมทำการป้อนน้ำกลั่นในขนาด10 mg/kg และอีกกลุ่มหนึ่งป้อนยา nifedipine ในขนาด 200 mg/kg. เป็นเวลา35 วัน จากนั้นจึงบันทึกความดันโลหิต (SBP/DBP/MBP), heart rate, lipid profile (TC/TG/HDL/LDL) ค่าการทำงานของตับ-ไต (ALT/AST/creatinine), oxidative stress markers (SOD, CAT, GSH, MDA) และ histology ของ aorta. จากผลการศึกษาทดลองพบว่าหนูกลุ่มที่ให้สารสกัดที่ 100 และ 200 mg/kg สามารถลดค่า SBP/DBP/MBP ที่เพิ่มขึ้นจากสารเหนี่ยวนำ(เอธานอล) อย่างมีนัยสำคัญ (p<0.001) โดยมีค่า ค่า SBP/DBP ใกล้เคียงกับหนูทดลองกลุ่มที่ให้ยา nifedipine ในขนาด 200 mg/kg. และยังช่วยปรับปรุง lipid profile ลด TC, TG, LDL และเพิ่ม HDL อีกทั้งในหนูกลุ่มที่ให้สารสกัด ยังสามารถป้องกันและลดการเพิ่มขึ้นของ ALT, AST, creatinine จากเอธานอล ( ปกป้องตับ-ไตต่อสารพิษ) และยังช่วยปรับปรุงตัวชี้วัด oxidative stress (เพิ่ม SOD, CAT, GSH; ลด MDA) ในเนื้อเยื่อ (aorta, liver, heart, kidney) ซึ่งเป็นกระบวนการต่อต้านอนุมูลอิสระantioxidant (ลด oxidative stress) อีกทั้งยังลดความหนาของ tunica media ใน aorta ที่เพิ่มจากการเหนี่ยวนำโดยจะมีผลปกป้อง remodeling ของหลอดเลือด
ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า สารสกัดน้ำจากส่วนใบและลำต้นของหญ้าไทร มีฤทธิ์ต้านและป้องกันภาวะความดันสูงในหนูทดลอง โดยมีผลลดความดัน, ปรับ lipid profile, ลด oxidative stress และปกป้องการเปลี่ยนแปลงของตับ-ไตและ aorta
ฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย มีรายงานว่าสารสกัดอะซีโตนจากเมล็ดของหญ้าไทร มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย Bacillus cereus และ Salmonella enterica โดยมีค่าinhibition zone ~8.4–8.6 mm; MIC/MBC ~625 µg/mL
การศึกษาวิจัยทางพิษวิทยา ไม่มีข้อมูล
ข้อแนะนำ/ข้อควรระวัง สำหรับการใช้หญ้าไทรเป็นยาสมุนไพรนั้น ควรระมัดระวังในการใช้เช่นเดียวกันกับการใช้สมุนไพรชนิดอื่นๆ โดยควรใช้ในขนาด/ปริมาณที่เหมาะสม ที่ได้ระบุไว้ในตำรับตำรายาต่างๆ ไม่ควรใช้ในขนาน/ปริมาณที่มากจนเกินไป หรือใช้ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานานจนเกินไป เพราะอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวได้
อ้างอิง หญ้าไทร
- คุณวุฒิ วุฒิธรรมเวช. สารานุกรมสมุนไพร รวมหลักเภสัชกรรมไทย . กรุงเทพฯ:โอ.เอ . พริ้นติ้งเฮ้าส์, 2540.
- คุณหญิงหลง อรรถกระวีสุนทร สารานุกรมไทยรวมสมุนไพร รวมหลักเภสัชกรรมไทย รวมเวชกรรมไทย.พิมพ์ครั้งที่1 กรุงเทพฯ:โอ.เอ . โอเดี้ยนสโต, 2540.
- สมาคมโรงเรียนแพทย์แผนโบราณในประเทศไทย สำนักวัดพระเชตุพนฯ. ประมวลสรรพคุณยาไทย (ภาคสอง) ว่าด้วยพฤกษชาติ วัตถุธาตุ และ สัตว์วัตถุนานาชนิด. กรุงเทพฯ : นำอักษรการพิมพ์.2521. หน้า 36.
- หญ้าไซ.สมุนไพรในตำรับยาแผนไทยที่ประกาศกำหนดให้เป็นตำรับยาเสพติดในโทษประเภท5 ที่มีกัญชาปรุงผสมอยู่ ที่อนุญาตให้เสพเพื่อรักษาโรค หรือการศึกษาวิจัยได้ ตามแนบท้ายประกาษกระทรวงสาธารณสุข เรื่องกำหนดตำรับยาเสพติดให้โทษในประเภท5 ที่มีลักษณะปรุงผสมอยู่ที่ให้เสพเพื่อการรักษาโรคหรือการศึกษาวิจัยได้ พ.ศ.2562. สำนักงานจัดการกัญชาและกระท่อมทางการแพทย์แผนไทย.กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข.
- Chen, M., et al. (2022). Advances in heavy metals detoxification, tolerance and related mechanisms in Leersia hexandra
- Zhang, X.-H., Liu, J., Huang, H.-T., Chen, J., Zhu, Y.-N., & Wang, D.-Q. (2007). Chromium accumulation by the hyperaccumulator plant Leersia hexandra Swartz. Chemosphere, 67(6), 1138–1143.
- . Prom-in. (2025). Evaluation of the Phytochemical, Total Phenolic Content and Antioxidant Activity of Banto Grass (Leersia hexandra).
- Bilanda, D.C., Tcheutchoua, Y.C., Djomeni Dzeufiet, P.D., Fokou, D.L.D., Fouda, Y.B.,Dimo, T. and Kamtchouing, P., 2019. Antihypertensive activity of leersia hexandraSw.(poaceae) Aqueous extract on Ethanol-Induced hypertension in wistar rat. Evidence-Based Complementary and Alternative Medicine, 2019.
- Juwitaningsih, T., Sri Sari, I. S. Jahro, et al. (2021). Study of Phytochemical, Antibacterial Activity and Toxicity on Acetone Extract Seed Leersia hexandra Sw. Journal of Physics: Conference Series 1811.
- Bilanda, D. C., Ngnokam, D., Biyiti, L., et al. (2019). Antihypertensive activity of Leersia hexandra Sw. [Article].
- Liu, Z., et al. (2018). Function of Leersia hexandra Swartz in constructed wetlands for Cr (VI) decontamination: a comparative study.
- Sombutphoothorn S, Konsue A. Phytochemical Screening, Antioxidant, and α-Glucosidase Inhibitory Activities of Different Solvent Extracts from Leersia hexandra andElephantopus scaber
- Ma, S., et al. (2023). Mowing improves chromium phytoremediation in Leersia hexandra. Sustainability
