แสมสาร ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย

แสมสาร งานวิจัยและสรรพคุณ 12 ข้อ

ชื่อสมุนไพร  แสมสาร

ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น ขี้เหล็กสาร, ขี้เหล็กป่า, กระบัด, กราบัด(ภาคอีสาน), ขี้เหล็กแพะ, ขี้เหล็กป่า, ขี้เหล็กโคก(ภาคเหนือ),ไซงาน(เขมร)

ชื่อวิทยาศาสตร์Senna garre ttiana (Craib) H.S. Irwin & Bameby

ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์Cassia garrettiana Craib.

วงศ์FABACEAE-LEGOMINOSAE

ถิ่นกำเนิด แสมสารจัดเป็นพันธุ์ไม้ในวงศ์ถั่ว (FABACEAE) ที่มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมในภูมิภาคอินโดจีน ได้แก่ ในไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนาม ต่อมาจึงมีการแพร่กระจายพันธุ์ไปยังบริเวณรอบๆ ภูมิภาคนี้ สำหรับในประเทศไทย สามารถพบได้ในป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณ และป่าผลัดใบผสมที่ค่อนข้างแห้งแล้ง ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก ที่มีระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง จนถึงไม่เกิน 500 เมตรจากระดับน้ำทะเล  ทั้งนี้แสมสารถูกค้นพบครั้งแรกในประเทศไทย โดยศาสตราจารย์ William Grant Craib นักพฤกษศาสตร์ชาวสกอต ได้ค้นพบในป่าในท้องที่อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่ 18 กันยายร ปี ค.ศ.1911 และได้บันทึกเป็นพันธุ์ไม้ชนิดใหญ่ของโลก โดยได้ตีพิมพ์ลงในวารสาร Bulletin of Miscellaneous lnformation, Royal Gardens, Kew ในปี ค.ศ.1912

ประโยชน์/สรรพคุณ มีการนำดอกอ่อนและใบอ่อนมาลวกใช้รับประทานเป็นฝักจิ้มน้ำพริก หรือนำมาต้มลดความขมแล้วนำไปแกง เช่นเดียวกันกับแกงขี้เหล็ก ส่วนเนื้อไม้ก็มีการนำมาใช้ประโยชน์เนื่องจากมีแข็งแรงความทนทาน เหนียว เสี้ยนตรง โดยในสมัยก่อนนิยมนำมาใช้ต่อเรือ ทำเครื่องเรือน เครื่องมือ เครื่องใช้ต่างๆ เช่น เขียง ฝักมีด หรือนำมาใช้ทำเป็นถ่านไม้และฟืน เป็นต้น

สำหรับสรรพคุณทางยาของแสมสนารนั้น มีการนำส่วนต่างๆของแสมสารมาใช้เป็นสมุนไพร โดยในตำรายาไทยและตำรายาพื้นบ้าน ได้ระบุถึงสรรพคุณเอาไว้ว่า

  • แก่นมีรสขมเฝื่อน มีสรรพคุณเป็นยาแก้โลหิต แก้ลม ขับเสมหะ ขับระดู ถ่ายกษัย ฟอกโลหิต ฟอกถ่ายประจำเดือน สตรี ทำให้เส้นเอ็นอ่อน  แก้โลหิตกำเดา ใช้เป็นยาระบาย แก้ปัสสาวะพิการ ไตพิการ แก้ลมในกระดูก
  • เปลือกต้น ใช้แก้ริดสีดวงทวาร ขับเสมหะ
  • ดอกใช้แก้นอนไม่หลับ
  • ใบใช้เป็นยาขับพยาธิ แก้งูสวัด รักษาแผลสด และแผลเรื้อรัง
  • ยอดใช้แก้โรคเบาหวาน
  • รากใช้เป็นยาฟอกโลหิต

            นอกจากนี้ในบัญชียาจากสมุนไพร ที่มีการใช้ตามองค์ความรู้ดั้งเดิม ตามประกาศคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ ในบัญชียาหลักแห่งชาติยังมีการใช้แก่นของแสมสาร ในตำรับยาต่างๆ อีกเช่น ตำรับ “ยาบำรุงโลหิต” มีส่วนประกอบของแก่นแสมสารร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่นๆ โดยมีสรรพคุณใช้บำรุงโลหิต และในตำรับ “ยากษัยเส้น” ก็มีส่วนประกอบของแก่นแสมสารร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่น โดยมีสรรพคุณใช้บรรเทาอาการปวดหลัง ปวดเอว ปวดเมื่อยตามร่างกายอีกด้วย

รูปแบบ/ขนาดวิธีใช้ 

  • ใช้แก้โลหิต แก้ลม ฟอกโลหิต ขับระดู ฟอกถ่ายประจำเดือนสตรี ขับเสมหะ แก้โลหิตกำเดา แก้ปัสสาวะพิการ ไตพิการ ใช้เป็นยาระบาย แก้ลมในกระดูก แก้กษัย ทำให้เส้นเอ็นอ่อน โดยนำแก่นมาต้มกับน้ำดื่ม
  • ใช้แก้ริดสีดวงทวาร โดยนำเปลือกต้นมาต้มกับน้ำดื่ม
  • ใช้แก้นอนไม่หลับ โดยนำดอกมาต้มกับน้ำดื่ม
  • ใช้แก้โรคเบาหวาน โดยนำยอดมาต้มกับน้ำดื่ม
  • ใช้เป็นยาขับพยาธิ ถ่ายพยาธิ โดยนำใบมาต้มกับน้ำดื่ม
  • ใช้แก้โรคงูสวัด รักษาแผลสด แผลเรื้อรังโดยนำใบสดมาตำพอกหรือทาบริเวณที่เป็น
  • ใช้เป็นยาฟอกโลหิต โดยนำรากมาต้มกับน้ำดื่ม

ลักษณะทั่วไป  แสมสารจัดเป็นไม้ยืนต้นผลัดใบ เรือนยอดกลมทึบ ที่มีความสูงของต้น 5-10 เมตร ลำต้นมีลักษณะตั้งตรง แตกกิ่งแขนงมาก เปลือกลำต้นค่อนข้างหนาเป็นสีน้ำตาล ถึงสีน้ำตาลดำ และมักขรุขระและเป็นสะเก็ดเหลี่ยม และเป็นร่องเล็ก กิ่งอ่อนเป็นเหลี่ยมสันมีขนขึ้นปกคลุมประปราย ใบเป็นใบประกอบขนนก ปลายคู่ โดยจะออกเรียงสลับเวียนรอบๆกิ่งใบประกอบจะมีใบย่อย 6-9 คู่ ออกเรียงตรงข้ามกัน ใบย่อยมีลักษณะเป็นรูปไข่กว้างหรือรูปใบหอกมีขนาดกว้าง 2-5 เซนติเมตร ยาว 5-9 เซนติเมตร โคนใบมนหรือกลมปลายใบเรียวแหลม ขอบใบเรียบ หลังใบเรียบบางเป็นมันมีสีเขียวเข้ม ท้องใบเรียบแต่มีสีอ่อนกว่า สามารถมองเห็นเส้นแขนงใบข้างละ 10-15 เส้น ส่วนก้านใบย่อยมีความยาว 4-6 มิลลิเมตร  ดอกออกเป็นช่อกระจะขนาดใหญ่ คล้ายขี้เหล็กบ้าน โดยจะออกบริเวณปลายกิ่งหรือออกตามมุมของก้านใบ โดยช่อดอกมักจะตั้งขึ้น ช่อดอกมีความยาว 9-20 เซนติเมตร และในแต่ละช่อดอกจะมีดอกย่อยเป็นสีเหลือง หรือสีเหลืองเข้ม จำนวนมากเบียดกันแน่นเป็นกระจุก ลักษณะดอกย่อยจะมีกลีบดอก 5 กลีบ เป็นรูปไข่กลับ โคนกลีบดอกเรียวปลายกลีบดอกมน ส่วนกลีบเลี้ยงดอกมีลักษณะเป็นรูปกลมมีขนสั้นนุ่มปกคลุม เป็นสีเขียวออกเหลือง เมื่อดอกบานเต็มที่จะมีขนาดกว้าง 1-3 เซนติเมตร และจะมีก้านดอกยาว 1-3 เซนติเมตร เช่นกัน ตรงกลางดอกมีเกสรเพศผู้ 10 อัน ก้านเกสรเป็นสีน้ำตาลมีขนาดยาวไม่เท่ากัน (ขนาดใหญ่ 2 อัน ขนาดเล็ก 5 อัน และอีก 3 อันเป็นแบบลดรูป) ส่วนรังไข่และหลอดเกสรเพศเมียเกลี้ยงหรืออาจมีขนประปราย ผลออกเป็นฝักแบนรูปขอบขนาน มีขนาดกว้าง 2-4 เซนติเมตร และยาว 15-22 เซนติเมตร ผิวฝักอ่อนมีสีเขียวอ่อนเรียบเกลี้ยงไม่มีขน เมื่อแก่ฝักจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล หรือสีดำและฝักมักจะบิดและแตกออก เปลือกฝักค่อนข้างบาง ภายในฝักมีเมล็ดรูปไข่ ขนาดกว้าง 5 มิลลิเมตร ยาว 9 มิลลิเมตร ประมาณ 10-20 เมล็ด

การขยายพันธุ์  แสมสารสามารถขยายพันธุ์ได้หลายวิธีทั้งการใช้เมล็ด การตอนกิ่งและการปักชำ แต่วิธีที่เป็นที่นิยมและได้ผลดีที่สุด คือการใช้เมล็ด โดยมีวิธีการดังนี้ เนื่องจากเปลือกเมล็กแสมสารค่อนข้างหนาและแข็ง ดังนั้นก่อนการเพาะเมล็กแสมสารต้องนำเมล็ดแช่น้ำร้อน 80-90 องศาเซลเซียส แล้วทิ้งไว้ให้เย็นแล้วจึงนำไปเพาะ จะได้อัตราการงอกประมาณร้อยละ 75 จากนั้นเมล็ดจะใช้เวลางอก 4-30 วัน แล้วจึงสามารถนำไปปลูกได้ ทั้งนี้แสมสารเป็นไม้โตเร็ว ชอบแสงแดดจัด ทนทานต่อความแห้งแล้งได้ดี สามารถอยู่ได้ทั้งดินปนทราย ดินหินปูน หรือดินลูกรังที่ตื้น

องค์ประกอบทางเคมี มีรายงานผลการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับองค์ประกอบทางเคมีของสารสกัดจากแก่น เปลือกต้น และใบของแสมสาร ระบุว่าพบสารออกฤทธิ์ที่สำคัญหลายชนิดอาทิเช่น            พบสารกลุ่ม anthraquinone อยู่หลายชนิด ได้แก่ Chrysophanol aloe emodin, aloin, benz-(D-E)-anthracen-7-(H):6,8-dthydroxy-4 methyl ,สารกลุ่ม stilbenes / polyphenols เช่น Piceatannol  สารกลุ่ม botulin/triterpene เช่น Betulinic acid  สารกลุ่ม flavonoids เช่น Quercetin, rhamnetin, rhamnocitrin, protocatechuic aldehyde  สารกลุ่ม polyphenols /bibenzyls/ stilbenes  เช่น Cassigarol A, Cassigarol B, Cassigarol E   สารกลุ่ม phenolics เช่น Caffeic acid, methyl caffeate, (S)-6-hydroxymellein นอกจากนี้ยังพบสารอื่นๆ อีกเช่น Cassialoin,chrysophanic acid , dianthrone และ scirpusin B เป็นต้น

การศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยา มีรายงานการศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของสารสกัดแก่นต้นของแสมสารระบุว่ามีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาหลายประการดังนี้

            ฤทธิ์ต้านการอักเสบ มทีรายงานการศึกษาวิจัยสาร piceatannol ที่สกัดได้จากแก่นของแสมสาร ในแบบทดสอบในหนูทดลอง (mouse ear edema, carrageenan paw edema, cotton pellet granuloma, CFA-induced polyarthritis) พบว่า เมื่อป้อนสารสกัดทางปากในขนาด 10-40 mg/kg มีผลแสดงการยับยั้งการอักเสบเฉียบพลันและเรื้อรับงได้อย่างมีนัยสำคัญ (เช่น% inhibition, ลด PGE2, TNF-α, IL-1βฯลฯ)

            ฤทธิ์ต้านมะเร็ง มีรายงานการศึกษาวิจัย สารสกัดจาก ethanol จากแก่นของแสมสาร โดยได้ทำการทดสอบบนเซลล์มะเร็ง (HT-29, HeLa, MCF-7 KB) พบว่าสาร 5 ตัว ได้แก่ chrysophanol, piceatannol, aloe-emodin, emodin และ tassigarol E ให้ค่าการยับยั้งเซลล์มะเร็ง (IC50) ได้อย่างมีนัยสำคัญ

            และยังมีรายงานการศึกษาวิจัยอีกหลายฉบับระบุถึงฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของแก่นแสมสารดังนี้ มีรายงานว่าสารสกัดแก่นแสมสารมีฤทธิ์เป็นยาระบายและมีองค์ประกอบทางเคมีที่มีฤทธิ์ต้านอีสตามีน และมีฤทธิ์ต้านเชื้อรายับยั้งเอนไซม์ proton pecmp  และยังช่วยยับยั้งเอนไซม์ H+ , K+-ATPase เป็นผลให้การหลั่งกรดในกระเพาะอาหารลดลง ส่วนสารสกัดเมทานอลของแก่นแสมสารมีฤทธิ์ยับยั้งเนื้องอก และการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งในสัตว์ทดลอง นอกจากนี้สารสกัดน้ำจากแก่นแสมสารยังมีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์เอชไอวี-1โพรที่เอส (HIV-1 protease) ซึ่งมีผลยับยั้งการแบ่งตัวของไวรัสเอชไอวีได้อีกด้วย

การศึกษาวิจัยทางพิษวิทยา มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาของสารสกัดจากแก่นแสมสารระบุว่ามีการทดสอบความเป็นพิษของสารสกัดแอลกอฮอล์ และน้ำในอัตรา 1:1 โดยเมื่อทำการป้อนทางปาก หรือฉีดเข้าทางใต้ผิวหนังของหนูถีบจักรมในขนาด 10 กรัมต่อกิโลกรัมผลปรากฏว่าไม่พบความเป็นพาแต่อย่างใด

ข้อแนะนำ/ข้อควรระวัง

  1. โดยทั่วไปปพืชตระกูล Senna หรือ Cassia จะมีฤทธิ์เป็นยาระบายอยู่แล้วหากใช้ในปริมาณมากเกินไป หรือใช้ต่อเนื่องเป็นเวลานานอาจทำให้เกิดอาการท้องร่วงรุนแรง สูญเสียน้ำเกลือแร่ หรืออาจมีภาวะตับเป็นพิษได้ ดั้งนั้นจึงไม่ควรใช้ในระยะยาวหรือใช้ในที่ขนาดสูง
  2. ผู้มีภาวะป่วยเป็นโรคตับหรือไต ก่อนจะใช้แสมสารเป็นยาสมุนไพรควรปรึกษาแพทย์ก่อน เพราะยังขาดข้อมูลการเผาผลาญและข้อมูลการปลอดภัยระยะยาวในมนุษย์
  3. สาร Phenolic และสาร polyphenols ที่พบในขี้เหล็กสารอายมีฤทธิ์ปฏิสัมพันธ์กับยา interaction หลายชนิด เช่น ยาต้านการอักเสบ (NSAIDs) ยาต้านการแข็งตัวของเลือด หรือยาที่มีการเมแทบอลิซึม โดย CYR450 ดังนั้นผู้ที่ใช้ยาดังกล่าวจึงควรระมัดระวังและปรึกษาแพทย์เภสัชกร ก่อนใช้แสมสารเป็นสมุนไพร

เอกสารอ้างอิง

  1. พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ , ดร.นิจศิริ เรืองรังสี,กัญจนา ดีวิเศษ,แสมสาร,หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคกลาง,หน้า145.
  2. สำนักงานหอพรรณไม้,คู่มือเลือกชนิดพรรณไม้เพื่อปลูกป่าป้องกันอุทกภัย.กรุงเทพฯ: กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม.2555.หน้า65.
  3. ดร.นิจศิริ เรืองรังสี, ธวัชชัย มังคละคุปต์ ,แสมสาร (Samae San) หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม1. หน้า309.
  4. แสมสาร, หนังสือสมุนไพรสวนสิริรุกขชาติ,คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล,หน้า78.
  5. Surapanthanakorn, S., Wattanapiromsakul, C., & Reanmongkol, W. (2018). Assessment of the Anti-inflammatory Activity of Piceatannol-rich Extract from Senna garrettiana Heartwood. Chiang Mai Journal of Science, 45(7), 2691–2702.
  6. Baba, K., Maeda, K., Tabata, Y., et al. (1988). Chemical Studies on the Heartwood of Cassia (Cassia/Cassia garrettiana) Garrettiana Craib. III. Structures of Two New Polyphenolic Compounds. Chemical & Pharmaceutical Bulletin, 36, 2977. 
  7. Krumsri, R., et al. (2022). Phytotoxic effects of Senna garrettiana and identification of phytotoxic substances for the development of bioherbicides. Agriculture, 12(9), 1338.
  8. Madaka, F., et al. (2018). Potential markers for standardized herb: bioassay-guided isolation from S. garrettiana for ACE inhibitory activity. Phcog Mag.
  9. Yuenyongsawad, S., Bunluepuech, K., Wattanapiromsakul, C., & Tewtrakul, S. (2014). Anti-cancer activity of compounds from Cassia (Senna) garrettiana heartwood. Songklanakarin Journal of Science and Technology, 36(2), 189–194.