แสมดำ ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย
แสมดำ งานวิจัยและสรรพคุณ 18 ข้อ
ชื่อสมุนไพร แสมดำ
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น แสมทะเล, แสมทะเลดำ (ทั่วไป), อาปี อาปี (มาลายู)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Avicennia officinalis Linn.
ชื่อสามัญ Grey mangrove, Indian mangrove
วงศ์ AVICENNIACEAE
ถิ่นกำเนิดแสมดำ
แสมดำ จัดเป็นพืชในวงศ์ แสม (AVICENNIACEAE) ที่มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิม อยู่ในเขตร้อนของภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก (Indo-West Pacific region) ซึ่งมีชื่อที่เรียกว่า “Old World mangrove” zone โดยมีอาณาเขตครอบคลุมชายฝั่ง เอเชียใต้ เช่นตามชายฝั่งของ อินเดีย, บังกลาเทศ, ศรีลังกา และ มัลดีฟส์ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตามชายฝั่งของเมียนมา (พม่า), ไทย, กัมพูชา, เวียดนาม, มาเลเซีย, สิงคโปร์, อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ อีกทั้งยังกระจายไปถึงปาปัวนิวกินี และชายฝั่ง ทางตอนเหนือของออสเตรเลีย เช่นใน Northern Territory, Queensland, Western Australia ส่วนในประเทศไทยพบแสมดำ ได้ตามชายฝั่งทั้งอ่าวไทยและทะเลอันดามัน เช่น ในสมุทรสงคราม, ระนอง, พังงา, กระบี่, ปัตตานี, ตราดและจันทบุรีเป็นต้น
ประโยชน์และสรรพคุณแสมดำ
- แก้กษัยเส้น
- แก้ลมในกระดูก
- ช่วยขับโลหิตเสียของสตรี
- ช่วยเจริญอาหาร
- แก้ปัสสาวะพิการ
- แก้หอบหืด
- แก้ไอกรน
- ช่วยขับเสมหะ
- ช่วยรักษาฝีในท้อง
- ช่วยต้านการอักเสบ
- แก้ริดสีดวงทวาร
- แก้อาการท้องมาน
- แก้อาการอาเจียน
- แก้อาการแน่นท้อง จุกเสียดท้อง
- แก้อาการท้องเสีย
- รักษาโรคผิวหนัง ผดผื่นคัน
- รักษาแผลสดและแผลเป็นหนอง
- แก้ปวดข้อ ปวดกระดูก
แสมดำ ถูกนำมาใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ ดังนี้ มีการนำผลอ่อนของแสมดำ มาใช้ทำขนมลูกแสมซึ่งเป็นขนมพื้นบ้านของอำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี โดยนำลูกแสมมาแกะไส้กลางดอกแล้ว นำไปต้มโดยความขมออกหลายน้ำจนมีรสจืด นอกจากนี้ยังมีการนำลูกแสมต้มนี้ไปคลุกเกลือรับประทาน หรือ นำไปผสมกับแป้งมันสำปะหลัง แป้งข้าวเจ้า หัวกะทิ น้ำตาลปิ๊บ แล้วนำไปนึ่งรับประทานก็ได้ ส่วนเปลือกต้นและลำต้นมีสาร tannin มีรสฝาด ใช้ต้นฟอกหนัง ส่วนของลำต้น หรือ เนื้อไม้ ใช้ทำไม้ค้ำยืนในการก่อสร้าง ใช้ทำเสาบ้าน เสาโป๊ะ หรือ ใช้เผาเป็นถ่านและใช้เป็นฟืนก็ได้ นอกจากนี้ในระบบนิเวศวิทยาแสมดำ เมื่ออยู่รวมกันเป็นจำนวนมากยังสามารถเป็นแหล่งพักอาศัย หรือ อนุบาลสัตว์น้ำวัยอ่อนให้เจริญเติบโตให้เป็นแหล่งอาหารของมนุษย์ได้อีกด้วย

รูปแบบและขนาดวิธีใช้
- ใช้ช่วยให้เจริญอาหาร แก้กษัย แก้ปวดข้อ ปวดกระดูก แก้หอบหืด ไอกรน แก้ฝีในท้อง ปัสสาวะพิการ แก้อักเสบ แก้ท้องมาน แน่นท้องจุกเสียดท้อง ท้องเสีย แก้ริดสีดวงทวาร แก้อาเจียน โดยนำทั้งต้นแสมดำ (ราก, แก่น, ใบ, ผล) มาต้มกับน้ำดื่ม
- ใช้แก้กษัยเส้น แก้ลมในกระดูก แก้ปวดข้อ ปวดในกระดูก โดยนำเปลือกต้นและแก่นแสมดำ มาต้มกับน้ำดื่ม
- ใช้แก้โรคผิวหนังผดผื่นคัน แก้แผลสด แผลเป็นหนอง โดยนำทุกส่วนแสมดำ (ราก, เปลือกต้น, ใบ, ผล) มาต้มน้ำอาบ หรือ ใช้ตำพอก หรือ ทาบริเวณที่เป็น
ลักษณะทั่วไปของแสมดำ
แสมดำ พบได้ทั้งในแหล่งดินเลนแข็งและแหล่งดินเลนอ่อนที่ใกล้บริเวณ ชายทะเล เป็นพืชป่าชายเลนที่เติบโตเร็ว ลำต้นสูงใหญ่ มีระบบรากที่ทนต่อสภาพน้ำท่วมขัง หรือ แห้งแล้งได้ดี โดยจัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงใหญ่ มีลำต้นสูงประมาณ 8-20 เมตร เรือนยอดเป็นพุ่มทึบหนา ทรงกลม ลำต้นแตกกิ่งเป็นทรงพุ่มหนาและแตกกิ่งไม่สมมาตรตั้งแต่ด้านล่างของลำต้น โคนลำต้นไม่เป็นพูพอน ลำต้นเปลาตรงทรงกรวยคว่ำ เปลือกลำต้นเรียบ หรือ แตกเป็นช่องเล็กน้อย มีสีเทาอมน้ำตาล หรือ น้ำตาลอมเขียว เปลือกลำต้นมีช่องอากาศโดยระบบรากของแสมดำ ประกอบด้วยรากหาอาหารที่อยู่ใต้ดิน ทำหน้าที่ดูดสารอาหารในดินมักจะแตกแขนงเป็นตาข่ายสานกันหนาแน่น หยั่งลึกลงดินประมาณ 20-50 เซนติเมตร และมีรากอากาศรูปดินสอยาวประมาณ 15-25 เซนติเมตร โผล่ขึ้นเหนือดิน ทำหน้าที่แลกเปลี่ยนก๊าซและหายใจ ทั้งนี้ระบบรากทั้ง 2 ชนิด สามารถกรองแยกเกลือกับน้ำ ทำให้เกลือเข้าสู่เซลล์ลำต้นได้น้อยลง
ใบแสมดำ ออกเป็นใบเดี่ยว เรียงตรงข้างสลับตั้งฉากบนกิ่ง แผ่นใบรูปรี หรือ รูปไข่กลับกว้าง 3-5 เซนติเมตร ยาว 6-9 เซนติเมตร โคนใบแหลมรูปลิ่มปลายใบกลม แผ่กว้างขอบใบเรียบเนื้อใบอวบน้ำและเหนียว ผิวใบด้านบนเกลี้ยงมีสีเขียวเข้มเป็นมัน ส่วนใบด้านล่างมีสีจางกว่าและมีขนสั้นๆ สีเหลืองอมน้ำตาลปกคลุมและมีก้านใบยาว 0.7-1.1 เซนติเมตร
ดอกแสมดำ ออกเป็นช่อกระจุกบริเวณปลายกิ่งและตามง่ามใบใกล้ปลายยอด โดยจะมีก้านช่อดอกยาวประมาณ 2-6 เซนติเมตร ในแต่ละช่อมีดอกย่อย 4-10 ดอก ดอกย่อยมีขนาดเล็ก ซึ่งแต่ละดอกจะมีขนาด 1-1.5 เซนติเมตร ประกอบด้วยกลีบเลี้ยงจำนวน 5 กลีบ ที่มีฐานกลีบเชื่อมติดกัน ปลายกลีบแยกเป็นแฉก ส่วนกลีบดอกมีลักษณะเป็นหลอด ประกอบด้วยกลีบดอก จำนวน 4 กลีบ รูปกงล้อ โคนกลีบเชื่อมติดกัน ปลายกลีบแยกพับลง กลีบดอกมีสีเหลือง หรือ เหลืองถึงส้ม แต่ละกลีบยาวประมาณ 0.4-0.8 เซนติเมตร กลางดอกมีเกสรเพศผู้ จำนวน 4 อัน มีก้านเกสรโผล่ยาวเหนือกลีบดอก
ผลแสมดำเป็นผลเดี่ยวรูปหัวใจ มีลักษณะเบี้ยวแบน ปลายผลอ่อนงอเป็นติ่ง หรือ จะงอแหลม มีขนาดกว้าง 2-2.5 เซนติเมตร ยาว 2.5-3 เซนติเมตร เปลือกผลค่อนข้างบางมีรอยย่นและมีขนนุ่มสีเหลืองอมน้ำตาลปกคลุม ส่วนเนื้อผลด้านในอ่อนนุ่ม เมื่อผลอ่อนมีสีเหลืองอมเขียว ผลสุกมีสีเหลืองและปริแตกบริเวณด้านข้างตามแนวยาว ด้านในผลมีเมล็ดลักษณะกลม แบน ขนาดใหญ่ 1 เมล็ด


การขยายพันธุ์แสมดำ
แสมดำ สามารถขยายพันธุ์ได้โดยวิธีการเพาะเมล็ดเป็นต้นกล้าแล้วนำไปปลูก โดยมีวิธีการดังนี้
เริ่มจากนำเมล็ดที่แก่จัดที่เก็บได้จากเมล็ดหล่นจากดินมาแช่น้ำไว้ประมาณ 2-3 ชั่วโมง เพราะจะทำให้งอกได้ดีขึ้น จากนั้นมาเพาะชำในถุงเพาะที่เตรียมไว้โดยใช้ถุงขนาด 2.5x6 นิ้ว และใช้วัสดุเพาะ คือ หน้าดินเลนผสมแกลบเผา ในอัตราส่วน 1:1 หรือ อาจจะใช้ดินทรายผสมดินเลนก็ได้ จากนั้นนำเมล็ดแสมดำ ที่เตรียมไว้มาวางในถุงเพาะ โดยกดให้ฝังลงในดินเล็กน้อย หรือ จมลงระดับผิวดิน ให้ส่วนที่จะแตกรากและลำต้นสัมผัสดินพอดี แล้วใช้น้ำกร่อยรดให้ชุมอยู่เสมอจนกว่าจะแตกต้นอ่อนออกมาและเมื่อต้นกล้าสูงประมาณ 30 เซนติเมตร ก็สามารถย้ายไปปลูกในพื้นที่ได้
องค์ประกอบทางเคมี
มีรายงานผลการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับองค์ประกอบทางเคมีของสารสกัดจากทุกส่วนของแสมดำ ระบุว่าพบสารออกฤทธิ์ที่สำคัญหลายชนิดอาทิเช่น
- สารกลุ่ม flavonoids เช่น apigenin, chrysin, catechin, epigallocatechin gallate (EGCG), picatechin gallate (ECG), kaempferol, luteolin, naringenin, myricetin, quercetin และ rutin
- สารกลุ่มphenolic acids เช่น caffeic acid, chlorogenic acid, p-coumaric acid, corilagin, ellagic acid, gallic acid และ syringic acid
นอกจากนี้ยังพบสารกลุ่ม fatty acid และสารกลุ่มsterols เช่น palmitic acid, linoleic acid, Phytol, Squalene, lauric acid, stearic acid, trans-cinnamic acid, 2,4-di-tert-butyl phenol, dibutyl phthalate, β-Sitosterol, androst-7-ene-6,17-dione และ 2,3,14-trihydroxy เป็นต้น

การศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของแสมดำ
มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของสารสกัดจากส่วนของเปลือกต้น ใบและผลของแสมดำ ระบุว่า มีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาหลายประการดังนี้
ฤทธิ์ต้านจุลชีพ (antibacterial/antifungal) มีรายงานการศึกษาวิจัยในหลอดทดลองหลายงานทดสอบระบุว่าสารสกัดแสมดำ จากใบ/เปลือก/ผล ของแสมดำ มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย และฤทธิ์ต้านเชื้อราในระดับต่างๆ โดยขึ้นกับตัวทำละลายและความเข้มข้นที่ใช้ อีกทั้งยังสามารถต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) ในการทดสอบแบบ DPPH/ABTS โดยสารสกัดดังกล่าวจะสามารถจับกับอนุมูลอิสระได้ ทำให้มีฤทธิ์ในการยับยั้งอนุมูลอิสระได้ อีกทั้งยังมีรายงานการศึกษาวิจัยทดลองสารสกัดจากส่วนใบของแสมดำ ในหนูถีบจักร พบว่าฤทธิ์ต้านการอักเสบและลดอาการเจ็บปวดและมีฤทธิ์ปกป้องการถูกทำลายของตับ จากแอลกอฮอล์ หรือ สารพิษอื่น โดยพบสัญญาณการปกป้องตับและเพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระในเนื้อเยื่อหนูทดลอง
การศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาของแสมดำ
ไม่มีข้อมูล
ข้อแนะนำและข้อควรระวัง
สำหรับการใช้แสมดำ เป็นสุมนไพรควรระมัดระวังในการใช้เช่นเดียวกันกับการใช้สมุนไพร ชนิดอื่นๆ โดยควรใช้ในขนาดและปริมาณที่เหมาะสมที่ได้ระบุไว้ในตำรับตำรายาต่างๆ ไม่ควรใช้ในปริมาณที่มากจนเกินไป หรือ ใช้ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานานจนเกินไป เพราะอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวได้
เอกสารอ้างอิง แสมดำ
- สนิท อักษรแก้ว, กอร์ดอน เอส แมกซ์เวลล์, สนใจหะวานนท์และสมชาย พานิชสุโข, 2535 พันธุ์ไม้ป่าชายเลน บริษัทฉลองรัฐ กรุงเทพฯ. 120 หน้า
- วัชระ บัวทอง. (2558). การศึกษาความหลากหลายของไม้ป่าชายเลนในจังหวัดระนอง. มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์. หน้า 45-47.
- จักกริช พวงแก้ว, สรณรัชฎ์ กาญจนะวณิช. วิภาพรรณ นาคแพน (2006.) นักสืบชายหาด, พืชและสัตว์ชายหาด กทม. มูลนิธิโลกสีเขียว.p.155.
- นพรัตน์ บำรุงรักษ์ 2535. การปลูกป่าชายเลน สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์, กรุงเทพฯ 72 หน้า
- ศูนย์ข้อมูลความหลากหลายทางชีวภาพแห่งชาติ. (2560). พรรณไม้ชายเลนของประเทศไทย. กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง. หน้า 72-74.
- แสมดำ ประโยชน์และสรรพคุณแสมดำ .พืชเกษตรดอทคอม.(ออนไลน์) เข้าถึงได้จาก http://www.puechkaset.com
- Tomlinson, P. B. (1986). The botany of mangroves. Cambridge University Press. pp. 120-122.
- Duke, N. C. (1991). A systematic revision of the mangrove genus Avicennia (Avicenniaceae) in Australasia. Australian Systematic Botany, 4(2), 299-324.
- Bandaranayake, W. M. (1998). Traditional and medicinal uses of mangroves. Mangroves and Salt Marshes, 2(3), 133-148.
- Giesen, W., Wulffraat, S., Zieren, M., & Scholten, L. (2007). Mangrove guidebook for Southeast Asia. FAO and Wetlands International. pp. 108-110.
- Mahmud, S., Uddin, M. A. R., Zaman, M., Sujon, K. M., Rahman, M. E., Shehab, M. N., Islam, A., Alom, M. W., Amin, A., & Akash, A. S. (2021). Efficacy of phytochemicals derived from Avicennia officinalis for the management of COVID-19: A combined in silico and biochemical study. Molecules, 26(8), Article 2210.
- Lalitha, P., Parthiban, A., Sachithanandam, V., Purvaja, R., & Ramesh, R. (2021). Antibacterial and antioxidant potential of GC-MS analysis of crude ethyl acetate extract from the tropical mangrove plant Avicennia officinalis L. South African Journal of Botany, 142, 149-155.
- Das, S. K., Samantaray, D., Mahapatra, A., & Thatoi, H. (2018). Pharmacological activities of leaf and bark extracts of a medicinal mangrove plant Avicennia officinalis L. Clinical Phytoscience, 4, 13.
- Yap, C. K., Rauf, A., & Foo, T. C. (2022). The ecological-health risks of potentially toxic metals in mangrove sediments: A case study on Avicennia officinalis L. Biology (or relevant journal).
- Duryat, D. (2025). Acute toxicity study of the leaf and fruit extracts of Avicennia officinalis. Journal of Pandawa Institute,
- Nguyen, C. V., Nguyen, C. T., Duong, N. T., & Le, C.-T. (2024). Optimization of ultrasound-assisted extraction using response surface methodology and quantification of phenolic and flavonoid compounds in Avicennia officinalis L. Farmasiia
