ฉัตรทอง ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย
ฉัตรทอง งานวิจัยและสรรพคุณ 31 ข้อ
ชื่อสมุนไพร ฉัตรทอง
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น ชบาเมกา, ชบาอเมริกา (ทั่วไป), ตอนอู่, จมาขุ่ยฮวย, ซูขุย (จีน)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Alcea rosea Linn.
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Althaea rosea (L.) Cav.
ชื่อสามัญ Hollyhock
วงศ์ MALVACEAE
ถิ่นกำเนิดฉัตรทอง
ฉัตรทอง จัดเป็นพืชในวงศ์ชบา (MALVACEAE) ที่มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมในเขตอบอุ่นของทวีปเอเชีย บริเวณทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีน เช่นใน มณฑลเสฉวน ยูนนานและกุ้ยโจว จากนั้นจึงได้มีการแพร่กระจายพันธุ์ฉัตรทอง ไปในแถบเมดิเตอร์เรเนียนและยุโรป ในคริสต์ศตวรรษที่ 15 สำหรับในประเทศไทยพบการนำฉัตรทองมาปลูกเป็นไม้ดอกไม้ประดับทั่วไปในภาคเหนือและภาคกลาง
ประโยชน์และสรรพคุณฉัตรทอง
- ช่วยบำรุงธาตุ
- ช่วยบำรุงร่างกาย
- ทำให้เลือดเย็น
- แก้พิษร้อนในร่างกาย
- แก้โลหิตกำเดา
- แก้ไข้ แก้ไข้จับสั่น
- แก้ไอเป็นเลือด
- แก้อาเจียนเป็นเลือด หรือ ตกเลือด
- แก้หลอดลมอักเสบ
- แก้แผลในลำไส้
- แก้ฝีในลำไส้ ฝีในท้อง
- ช่วยขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะขัด
- แก้ ปัสสาวะเป็นเลือด
- แก้ติดเชื้อในปัสสาวะ แก้ทางเดินปัสสาวะอักเสบติดเชื้อ
- แก้ปัสสาวะมากเกินไป
- แก้แผลเรื้อรัง แผลบวมอักเสบ ใช้ดูดหนอง
- ใช้เพิ่มการไหลเวียนโลหิต
- แก้โรคหัด
- แก้ท้องผูก
- แก้อาการตกขาวในสตรี
- แก้แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก
- ใช้แก้แผลที่ปากอักเสบ รักษาเด็กที่ปากเป็นแผลอักเสบ
- แก้บิด
- แก้ถ่ายเป็นเลือด
- แก้หนองใน
- ใช้หล่อลื่นลำไส้
- แก้นิ่วในทางเดินปัสสาวะ
- แก้อุจจาระขัด
- แก้อาการบวมน้ำ
- ใช้จับพิษร้อนในร่างกาย
- รักษาแผลหิด
ฉัตรทองถูกนำมาปลูกเป็นไม้ดอกไม้ประดับกันอย่างแพร่หลาย เนื่องจากฉัตรทอง มีดอกที่มีสีสวยสดใส มีขนาดดอกใหญ่ไม่มีกิ่งก้านรกรุงรัง อีกทั้งยังปลูกและดูแลง่าย
รูปแบบและขนาดวิธีใช้
- ใช้เป็นยาบำรุงธาตุในร่างกาย จับพิษร้อนในร่างกาย ทำให้เลือดเย็น แก้โลหิตกำเดา แก้ไข้ แก้ไอเป็นเลือด แก้หลอดลมอักเสบ โดยนำรากฉัตรทองมาต้มกับน้ำดื่ม
- แก้อาเจียนเป็นเลือด หรือ ตกเลือด โดยนำรากฉัตรทองสด 30 กรัม นำมาต้มกับน้ำดื่ม หรือ ใช้รากฉัตรทองสด 60 กรัม นำมาคั้นเอาแต่น้ำผสมกับเหล้ารับประทานเป็นยาก็ได้
- ใช้รักษาแผลในลำไส้ โดยใช้รากฉัตรทองแห้ง 3 กรัม นำมาต้มคั้นน้ำดื่ม
- ใช้แก้ลำไส้อักเสบ รักษาฝีในลำไส้ ฝีในท้อง โดยใช้รากฉัตรทอง 20 กรัม โกฐน้ำเต้า 6 กรัม นำมาต้มกับน้ำดื่ม หากมีอาการเลือดออกด้วยก็ให้เพิ่ม โกฐสอ 20 กรัม แปะเจียก 20 กรัม และสารส้มสตุ 19 กรัม ต้มกับน้ำดื่ม
- ใช้ขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะขัดและอุจจาระติดขัด โดยใช้รากฉัตรทองสด 30-60 กรัม นำมาต้มกับน้ำครึ่งแก้วแล้วใส่ชะมดเชียง 2 กรัม ใช้ดื่ม
- ใช้แก้อาการปัสสาวะมากผิดปกติ ด้วยการใช้รากฉัตรทองสดนำมาล้างให้สะอาด แล้วทุบให้แตกใส่น้ำต้มให้เดือดและให้งวดใช้ดื่ม
- ใช้รักษาแผลเรื้อรัง แผลบวมอักเสบ ใช้ดูดหนอง โดยใช้รากฉัตรทองสดนำมาตำพอกบริเวณที่เป็น
- ใช้เพิ่มการไหลเวียนโลหิต ทำให้ชุ่มชื่นแก้ไข้ ไข้จับสั่น โดยใช้ดอกฉัตรทอง สดที่ผึ่งแห้งแล้ว นำมาบดเป็นผงผสมกับน้ำรับประทาน
- ใช้แก้โรคหัด โดยใช้ดอกฉัตรทองที่บานเต็มที่แล้ว นำมาต้มดื่ม หรือ บดเป็นผงกิน
- ใช้แก้อาการท้องผูก โดยใช้ดอกฉัตรทองสด 30 กรัม นำมาผสมกับชะมดเชียง 1.5 กรัม และน้ำอีกครึ่งแก้วนำมาต้มดื่ม
- ใช้แก้อาการตกขาวในสตรี โดยนำดอกฉัตรทองสด 150 กรัม มาผึ่งให้แห้งใบที่ร่ม แล้วนำไปบดเป็นผงผสมกับน้ำผึ้งรับประทาน แต่ก่อนรับประทานจะต้องดื่มเหล้าก่อน 1 ถ้วยชา
- ใช้รักษาแผลไฟไหม้ แผลโดนน้ำร้อนลวก โดยใช้ดอกฉัตรทองสดที่ตำละเอียดแล้วนำมาผมกับน้ำมันพืช ใช้พอกบริเวณที่เป็น
- ใช้แก้บิด ขับถ่ายเป็นเลือด ด้วยการใช้ยอดฉัตรทองอ่อน 6-18 กรัม นำมาปิ้งกับไฟให้พอเหลืองแล้วนำมาต้มกับน้ำดื่ม
- ใช้แก้ปัสสาวะเป็นเลือด โดยนำเถาจากยอดฉัตรทองอ่อน มาผสมกับเหล้าใช้รับประทานวันละ 2 ครั้ง
- ใช้รักษาโรคหนองใน โดยใช้ยอดอ่อน หรือ ใบฉัตรทอง 6-20 กรัม นำมาต้มกับน้ำดื่ม จะใช้ใบสด หรือ ใบแห้งฉัตรทองแทนก็ได้
- ใช้รักษาเด็กที่ปากเป็นแผลอักเสบ ด้วยการใช้ยอดฉัตรทองอ่อน นำไปปิ้งกับไฟให้แห้ง แล้วบดให้เป็นผงผสมกับน้ำผึ้ง นำมาทาเช้าเย็น
- ใช้แก้นิ่วในทางเดินปัสสาวะ แก้อาการบวมน้ำ โดยนำเมล็ดฉัตรทองที่ตากแห้งนำมาบดเป็นผงผสมกับน้ำอุ่นรับประทานครั้งละ 6 กรัม วันละ 2 ครั้ง
- ใช้เป็นยาช่วยหล่อลื่นลำไส้ ด้วยการใช้เมล็ดฉัตรทองตากแห้งมาต้มกับน้ำดื่ม หรือ บดเป็นผงรับประทานก็ได้
- ใช้รักษาแผลหิด โดยใช้เมล็ดฉัตรทองตากแห้งมาต้ม หรือ บดเป็นผงรับประทาน
- ใช้รักษาแผลเรื้อรัง โดยนำเมล็ดฉัตรทองมาตำพอกบริเวณที่เป็นแผล
ลักษณะทั่วไปของฉัตรทอง
ฉัตรทอง จัดเป็นไม้ล้มลุก หรือ ไม้พุ่มขนาดเล็กไม่แตกกิ่งก้าน ลำต้นตั้งตรงความสูงของต้น 1.5-2 เมตร แล้วแต่สายพันธุ์ลำต้นเป็นสีเขียว ตามลำต้นมีขนอ่อนขึ้นปกคลุม
ใบฉัตรทอง เป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับตามลำดับ แผ่นใบมีลักษณะเป็นแฉกคล้ายรูปดาว 3-7 แฉก ใบมีขนาดกว้าง 5-10 เซนติเมตร ยาว 6-18 เซนติเมตร โคนใบจะมีลักษณะเว้าเป็นรูปหัวใจปลายแฉกแหลมมนขอบใบหยัก แผ่นใบค่อนข้างหนามีสีเขียวและค่อนข้างสากมือ ก้านใบมีลักษณะกลมยาวเป็นสีเขียวอ่อน ยาว 4-8 เซนติเมตร
ดอกฉัตรทอง เป็นดอกเดี่ยวดอกบริเวณซอกใบ ดอกฉัตรทอง มีลักษณะเป็นรูปถ้วย ดอกมีกลีบดอก 5 กลีบเรียงซ้อนกัน หรือ อาจเป็นกลีบดอกเดี่ยวแล้วแต่สายพันธุ์ โดยลักษณะของกลีบดอกจะเป็นรูปสามเหลี่ยม มีสีชมพู สีแดง เหลือง ส้ม ม่วง แล้วแต่สายพันธุ์ บริเวณโคนกลีบดอกเชื่อมเข้าหากันเป็นหลอด ส่วนปลายดอกบานออก เมื่อดอกบานเต็มที่จะมีขนาดประมาณ 7 เซนติเมตร และตรงกลางดอกมีเกสรสีเหลืองยาวออกมาแต่ไม้พ้นดอก นอกจากนี้ตรงโคนดอกยังมีกลีบเลี้ยงรูปถ้วยสีเขียว ที่บริเวณโคนกลีบเลี้ยงเชื่อมติดกัน แต่ส่วนปลายจะแยกออกเป็นกลีบ 5 กลีบ และมีก้านดอกยาวประมาณ 2.5 เซนติเมตร
ผลฉัตรทองเป็นรูปทรงกลมค่อนข้างแบนมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 3 เซนติเมตร ผลอ่อนมีสีเขียว มีขนขึ้นปกคลุม ผลแก่มีสีน้ำตาลแห้งไม่แตก ภายในผลมีเมล็ดรูปไตกลมแบนขอบข้างมีสันจำนวนมาก


การขยายพันธุ์ฉัตรทอง
ฉัตรทอง สามารถขยายพันธุ์ได้โดยการเพาะเมล็ด โดยมีวิธีเพาะเมล็ดและการปลูกเช่นเดียวกันกับ การเพาะเมล็ดและการปลูกไม้พุ่มชนิดอื่นๆ เช่น "ชุมเห็ดเทศ " ตามที่ได้กล่าวถึงมาแล้วในบทความก่อนหน้านี้ ทั้งนี้ หากนับเวลาตั้งแต่การเพาะเมล็ดจนออกดอกจะใช้เวลา 4-6 เดือน ฉัตรทอง เป็นพืชที่ดูแลง่ายชอบดินร่วนซุย ชอบแสงแดดจัดตลอดทั้งวัน
องค์ประกอบทางเคมี
มีรายงานผลการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับองค์ประกอบทางเคมีของสารสกัดจากส่วนต่างๆ ของฉัตรทองพบว่ามีสารออกฤทธิ์ที่สำคัญหลายชนิดอาทิเช่น
- สารสกัดจากส่วนรากของฉัตรทองพบสารเมือก เช่น Uronic acid, Mucus, Pentose, Pentosans และ Methylpentosans
- สารสกัดจากส่วนดอกพบสาร Dibenzoyl carbinol และ Dihy drokaempferol
- ส่วนทั้งต้นฉัตรทอง พบสารกลุ่ม mucilages และ polysaccharides เช่น glucuronic acid, galacturonic acid, rhamnose, galactose สารกลุ่ม Flavonoids เช่น quercetin, kaempferol, luteolin สารกลุ่ม phenolic acids เช่น caffeic acid, ferulic acid ส่วนในเมล็ดพบสารกลุ่ม Anthocyanins และ Fatty acids เช่น Myrtillin, linoleic acid, palmitic acid, oleic acid, eicosadienoic acid

การศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของฉัตรทอง
มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของสารสกัดจากส่วนดอก ราก และใบของฉัตรทอง ระบุว่ามีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาหลายประการดังนี้
ฤทธิ์ต้านการอักเสบ (anti-inflammatry) จากการศึกษาวิจัยพบว่าสารสกัดฉัตรทอง จากส่วนต่างๆของ (ดอก/ราก/ใบ) มีฤทธิ์ยับยั้งการอักเสบในเซลล์ โดยเข้าไปลดการสร้าง cytokines หรือ lipoxygenase/COX pathways ในหลอดทดลอง
ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) มีรายงานผลการศึกษาวิจัยในหลอดทดลองระบุว่า สารสกัดจากดอก/ราก/ใบ แสดงฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระในหลายการทดสอบ เช่นวิธี DPPH และ ABTS โดยฤทธิ์ดังกล่าวสัมพันธ์กับปริมาณฟลาโวยนอยด์และฟีนอลิกในสารสกัด
นอกจากนี้ยังมีการรายงานการศึกษาวิจัยในสารสกัดจากส่วนใบ ราก และเมล็ด ของฉัตรทอง พบว่ามีฤทธิ์ปกป้องตับ ขับปัสสาวะ ป้องกันการเกิดนิ่วในทางเดินปัสสาวะ โดยมีการสัมพันธ์กับฤทธิ์ต้านการอักเสบและสารเมือกในการสกัดที่เพิ่มการขับ
การศึกษาวิจัยพิษวิทยาของฉัตรทอง
มีรายงานการศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาระบุว่า สารสกัดจากส่วนเหนือดินของฉัตรทอง มีผลลดการทำงานของเอนไซม์ aromatase จึงเป็นเอนไซม์ที่สำคัญในการสังเคราะห์ฮอร์โมน estrogen ในเพศหญิงและลดการหลั่งฮอร์โมน estradiol ในเซลล์อัณฑะของหนูทดลอง ซึ่งอาจต้องระวัง ในการใช้ในผู้ที่มีปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับฮอร์โมนดังกล่าวและหญิงตั้งครรภ์ หรือ กำลังให้นมบุตร
ข้อแนะนำและข้อควรระวัง
สตรีมีครรภ์และสตรีให้นมบุตรไม่ควรใช้ฉัตรทองเป็นสมุนไพร เนื่องจากมีรายงานการศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาระบุว่ามีผลต่อฮอร์โมนบางชนิดและ aromatase ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับฮอร์โมน หรือ ภาวะที่ต้องควบคุมฮอร์โมนไม่ควรใช้ฉัตรทอง เป็นสมุนไพรสารฟลาโนวอยด์อาจมีผลเป็น phytoestrogen หรือ anti-estrogenic ในสภาวะต่างๆ
เอกสารอ้างอิง ฉัตรทอง
- วิทยา บุญวรพัฒน์,ฉัตรทอง, หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย, หน้า 190.
- ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม, ฉัตรทอง, หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย. ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. หน้า 233-236.
- Castillo-Carrión, M., Martínez-Espinosa, R., Pérez-Álvarez, J. Á., Fernández-López, J., Viuda-Martos, M., & Lucas-González, R. (2024). Nutritional, fatty acids, (poly)phenols and technological properties of flower powders from Fuchsia hybrida and Alcea rosea. Foods, 13(2), 237.
- Parry, R. A., et al. (2025). Anti-inflammatory and anticancer properties of Alcea rosea extracts. [Journal], 2025, Article e.g.
- Azadeh, Z., Asgharian, S., Habtemariam, S., & Lorigooini, Z. (2023). Botanical, phytochemical, and pharmacological properties of Alcea rosea L. Future Natural Products, 9(2), 88-99.
- Hussain, L., Akash, M. S. H., Tahir, M., Rehman, K., & Ahmed, K. Z. (2014). Hepatoprotective effects of methanolic extract of Alcea rosea against acetaminophen-induced hepatotoxicity in mice. Bangladesh Journal of Pharmacology, 9, 322-327.
- Tafreshi, Y. M., Eghlima, G., & Ebrahimi, P. (2025). Phenotypic yield-attributed traits and phytochemical composition of the flowers from Alcea species in Iran. Scientific Reports / PMC (open access).
- Papież, M., Gancarczyk, M., & Bilińska, B. (2002). The compounds from the hollyhock extract (Althaea/Alcea rosea Cav. var. nigra) affect the aromatization in rat testicular cells in vivo and in vitro. Folia Histochemica et Cytobiologica, 40(4), 353-359.
- Gil, S., & Lim, K.-M. (2025). Assessment of systemic safety of Althaea/Alcea rosea flower extract for use in cosmetics: threshold of toxicological concern and history of safe consumption approaches. Cosmetics, 12(4), Article 133.
- Kaya, I., & Gülser, F. (2018). Determining heavy metal contents of hollyhock (Alcea rosea L.) in roadside soils of a Turkish lake basin. Polish Journal of Environmental Studies, 27(5), 2081-2087.
