หญ้าแส้ม้า ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย

หญ้าแส้ม้า งานวิจัยและสรรพคุณ 28 ข้อ

ชื่อสมุนไพร หญ้าแส้ม้า
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น หญ้ากาย (ภาคเหนือ), นังดังล้าง (กะเหรี่ยง), มะปิงเซา (ลีซู), สะนำบล้อ (ปะหล่อง), แบเปียงเช่า, หม่าเปียนเล่า), โทเกอไก๊, ถิแบปี (จีน)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Verbena officinalis Linn.
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์

  • Verbena domingensis Urb.
  • Verbena macrostachya F.Muell.

ชื่อสามัญ Holy herb, Joy herb, Simpler’s, Blue vervain, Juno’s tears, Vervain.
วงศ์ VERBENACEAE

ถิ่นกำเนิดหญ้าแส้ม้า

หญ้าแส้ม้า จัดเป็นพืชในวงศ์ผกากรอง (VERBENACEAE) ที่มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิม สำหรับในประเทศไทยมักพบหญ้าแส้ม้าบริเวณที่ชุ่มขึ้นริมสองทาง บริเวณทุ่งหญ้า และริมแหล่งน้ำต่างๆ ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลจนถึง 1,650 เมตร ในดินแดนโลกเก่าได้แก่ ทวีปยูเรเชีย (Eurasia) หากเป็นปัจจุบันจะถือว่าอยู่ในทวีปยุโรปและเอเชียตะวันตก ต่อมาจึงได้มีการแพร่กระจายพันธุ์ของหญ้าแส้ม้า ไปยังพื้นที่อื่นๆ เช่น ในยุโรป (ตอนกลางและตอนใต้) เอเชีย (เอเชียกลาง/ใต้และตะวันออกเฉียงใต้) อีกทั้งในแอฟริกาเหนือและกลางรวมถึงในอเมริกา


ประโยชน์และสรรพคุณหญ้าแส้ม้า

  1. แก้คอเจ็บ คอบวม คออักเสบ คอตีบ
  2. แก้บิด
  3. ช่วยขับปัสสาวะ
  4. แก้ประจำเดือนมาไม่ปกติ
  5. ช่วยฆ่าพยาธิใบไม้ในตับ
  6. แก้ตับอักเสบ
  7. ช่วยกระจายเลือดลม
  8. แก้อาการฟกช้ำดำเขียว
  9. แก้ปวดบวม
  10. แก้โรคผิวหนัง
  11. แก้งผื่นคัน
  12. แก้ฝีหนองอักเสบ
  13. ช่วยกำจัดรังแค เหา โลน และหมัด
  14. ใช้ขับพิษร้อน ถอนพิษไข้
  15. ช่วยแก้ไข้หวัดตัวร้อน ไข้จับสั่น
  16. แก้บวมน้ำ
  17. แก้ไตอักเสบ
  18. แก้แผลเป็น
  19. แก้แผลแมลงสัตว์กัดเท้า
  20. แก้พิษ
  21. แก้ปวดหลัง
  22. แก้ปวดท้อง
  23. แก้อาหารไม่ย่อย
  24. แก้อาหารเป็นพิษ
  25. แก้โรคกระเพาะอาหาร
  26. ใช้รักษาโรคตานขโมย
  27. รักษาอาการติดเชื้อ
  28. ใช้เป็นยานอนหลับ

           หญ้าแส้ม้า ถูกนำมาใช้ประโยชน์หลักๆ ในด้านสมุนไพร โดยในตำรายาไทยและตำรายาจีน สำหรับชาวเขาผ่าอีก้อ แม้ว ก็ใช้เป็นสมุนไพรเช่นเดียวกัน ส่วนปะหล่องจะใช้ใบเข้ายา รากหญ้าคา รากสาบแร้งสาบกา ต้นน้ำนมราชสีห์ รากต่อกะซองหว๋อ และเปลือกไข่ที่เพิ่มฟักเป็นตัว

           นอกจากนี้ในต่างประเทศก็ปรากฏว่ามีการนำหญ้าแส้ม้า มาใช้เป็นยาสมุนไพรเช่นกัน ตัวอย่าง เช่นในออสเตรีย ใช้ใบชงเป็นชาดื่ม เพื่อรักษาอาการติดเชื้อ แก้ไข้ และใช้เป็นยานอนหลับ อีกด้วย

หญ้าแส้ม้า

รูปแบบและขนาดวิธีใช้

  • เป็นยาเย็น ออกฤทธิ์ต่อตับและม้าม ใช้เป็นยาขับพิษร้อนถอนพิษข้า ช่วยแก้ไข้หวัดตัวร้อน แก้ไข้จับสั่น แก้ตับอักเสบ ไตอักเสบ แก้บวมน้ำ โดยนำทั้งต้นหญ้าแส้ม้ามาต้มกับน้ำดื่ม โดยหากเป็นต้นหญ้าแส้ม้าสด ให้ใช้ 30-60 กรัม ต้นแห้ง ใช้ 20-30 กรัม
  • ใช้กระจายเลือดลม แก้คอเจ็บ คออักเสบ คอตีบ แก้บิดปัสสาวะ แก้ตับอักเสบ แก้ประจำเดือนมาไม่ปกติ ขับพยาธิใบไม้ในตับ โดยนำทั้งต้นหญ้าแส้ม้า มาต้มกับน้ำดื่ม
  • ใช้แก้อาการฟกช้ำดำเดียว ปวดบวม แก้โรคผิวหนังผื่นคัน แก้ฝีหนองอักเสบโดยนำทั้งต้นหญ้าแส้ม้ามาตำพอก หรือ ทาบริเวณที่เป็น
  • ใช้แก้แผลเป็น แก้แผลแมลงสัตว์กัดเท้า ทั้งต้นหญ้าแส้ม้ามาต้มเอาน้ำมาล้างเท้า
  • ใช้กำจัดรังแค เหา โลน และหมัด โดยนำใบหญ้าแส้ม้า มาคั้นเอาน้ำมาทา หรือ พอก หรือ นำใบมาต้มกับน้ำอาบและใช้สระผม


ลักษณะทั่วไปของหญ้าแส้ม้า

หญ้าแส้ม้า จัดเป็นไม้ล้มลุก อายุหลายปี ลำต้นเล็กเป็นเหลี่ยมตามยาวตั้งตรง ลำต้นสูง 50-100 เซนติเมตร ผิวลำต้นมีสีเขียวและมีขนแข็งซึ่งรอบต้น

           ใบหญ้าแส้ม้า เป็นใบเดี่ยวออกเรียงตรงข้ามตามข้อลำต้นใบมีลักษณะเป็นรุปกลมรีหยักมีขนาดกว้าง 2-3 เซนติเมตร ยาว 3-5 เซนติเมตร โคนใบมนปลายใบแหลม ขอบใบหยักเป็นฟันเลื่อย ใบมีสีเขียวแต่บริเวณขอบใบจะมีสีม่วง หรือ สีดำ ปนบริเวณหน้าใบและหลังใบมีขนปกคลุมเล็กน้อย เมื่อผลัดใบดูจะเห็นเส้นหลังใบได้ชัด

           ดอกหญ้าแส้ม้า ออกเป็นช่อบริเวณปลายกิ่ง โดยช่อดอกจะยาว 16-30 เซนติเมตร ดอกย่อยมีขนาดเล็ก ซึ่งจะมี 10-20 ดอก ต่อ 1 ช่อ ดอกย่อยเป็นรูปหลอดมีขนาดยาวประมาณ 2 มิลลิเมตร ดอกเป็นสีชมพู สีขาวอมชมพู หรือ สีน้ำเงินอมม่วง โคนดอกเชื่อมติดกันปลายดอกแยกออกเป็นแฉก 5 แฉก โดยจะแบ่งออกเป็นแฉกบน 2 แฉก และแฉกล่าง 3 แฉก บริเวณกลางดอกมีเกสรเพศผู้ 4 อัน และเกสรเพศเมีย 1 อัน รังไข่มี 4 อัน

           ผลหญ้าแส้ม้า ออกเป็นฝักยาว โดยจะออกบริเวณปลายกิ่งตำแหน่งเดียวกับที่ออกดอก ฝักมีลักษณะทรงกระบอกขนาดเล็กคล้ายเมล็ดข้าวสาร ฝักอ่อนมีสีเขียว เมื่อฝักแก่มีสีน้ำตาลและมีการแตกเมล็ดออกภายในฝักมีเมล็ดลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยมแบนยาวอยู่ 4 เมล็ด

หญ้าแส้ม้า
หญ้าแส้ม้า

การขยายพันธุ์หญ้าแส้ม้า

หญ้าแส้ม้า สามารถขยายพันธุ์ได้โดยวิธีการใช้เมล็ด หญ้าแส้ม้าในบางชนิดจะมีดอกสีสันสวยงามจึงมีการนำมาปลูกไว้เป็นไม้ดอกไม้ประดับตามอาคารสถานที่ต่างๆ แต่หญ้าแส้ม้าชนิดนี้ ไม่มีการนิยมนำมาปลูกดังนั้นการขยายพันธุ์ส่วนใหญ่จะเป็นการขยายพันธุ์ในธรรมชาติ โดยอาศัยเมล็ดที่แตกออกจากผล ร่วงสู่ดิน หรือ มีลมพัดพาไปงอกเป็นต้นใหม่ ทั้งนี้หญ้าแส้ม้า เป็นพืชที่มีความทนต่อสภาพดินเป็นกรดและทนแล้งได้ดี อีกทั้งยังเป็นพืชที่ขยายพันธุ์ได้ง่ายชอบแสงแดดจัดตลาดวัน อีกด้วย


องค์ประกอบทางเคมี

มีรายงานผลการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับองค์ประกอบทางเคมีของสารสกัดเมทานอลจากทั้งต้น (ราก ลำต้น ใบ ดอก ผล) ของหญ้าแส้ม้า ระบุว่าพบสารออกฤทธิ์ที่สำคัญหลายชนิดดังนี้

  • สารกลุ่ม Iridoids ได้แก่ verbenalin (verbenalina), hastatoside (hastatoside / hastatosid), geniposidic acid และ iridotrial
  • สารกลุ่ม Phenylpropanoid glycosides ได้แก่ verbascoside, verbascoside, isoverbascoside
  • สารกลุ่ม Flavonoids และ Phenolics ได้แก่ luteolin, luteolin diglucuronide, luteolin 7,3’-diglucuronide apigenin, apigenin diglucuronide, Scutellaria และ rosmarinic acid
  • สารกลุ่ม Terpenoids และน้ำมัน Essential oil ได้แก่ ursolic acid, verbenol, α-humulene, β-elemene, β-cedrene, α-copaene, β-sitosterol, oleanolic acid, isocaryophyllene และ cis-muurola-4(14),5-diene


การศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของหญ้าแส้ม้า

มีรายงานผลการศึกษาวิจัยเภสัชวิทยาของสารสกัดจากทั้งต้นของหญ้าแส้ม้า ระบุว่ามีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาต่างๆ ดังนี้

           มีรายงานผลการศึกษาพรีคลินิกระบุว่ามีการทดลองใช้สารที่สกัดจากหญ้าแส้ม้า ทำเป็นยาฉีดให้กับผู้ป่วยที่เป็นไข้จับสั่น พบว่าสามารถรักษาโรคใช้จับเส้นได้อย่างมีนัยสำคัญ แต่ต้องฉีดเข้าก่อนที่อาการจะกำเริบประมาณ 2-3 ชั่วโมง

           มีรายงานผลการศึกษาวิจัยการออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทของสารสกัดทั้งต้นของหญ้าแส้ม้าในหนูทดลองในรูปแบบ PTZ, MES, elevated plus maze และ thiopental-induced sleep พบว่าสารสกัดมีฤทธิ์ชะลอการเกิดอาการชัก ลดระยะเวลา seizure และเพิ่มระยะเวลานอนจาก thiopental ได้ นอกจากนี้ยังมีการศึกษาวิจัยฤทธิ์ต้านการอักเสบและฤทธิ์ระงับความเจ็บปวด (anti-inflammatory&analgesic) ของสารสกัดส่วนเหนือดินของหญ้าแส้ม้า ในหนูทดลองระบุว่าสามารถลดอาการบวมจากการทดลองแบบ carrageenan-induced paw edema และแสดงฤทธิ์ระงับปวดในแบบทดสอบ formalin ในหนูทดลองได้

           ส่วนอีกการศึกษาหนึ่งระบุว่าเมื่อนำสารสกัดทั้งต้นด้วยแอลกอฮอล์ มาฉีดเข้ากล้ามเนื้อของกระต่ายที่กำลังมีอาการอักเสบของตับ พบว่าสามารถบรรเทาอาการอักเสบและความเจ็บปวดได้ ส่วนสารสกัดจากส่วนเหนือดินพบว่ามีฤทธิ์ลดการอักเสบในคนและมีฤทธิ์กระตุ้นการบีบตัวของมดลูกรวมถึงมีฤทธิ์ขับปัสสาวะในสัตว์ทดลอง ส่วนสารสกัดแอลกอฮอล์จากใบ มีฤทธิ์ต้านแบคทีเรียและเชื้อราหลายชนิดและยังมีฤทธิ์ต้านเชื้อไวรัส (HSV1,HSV-2) ที่ทำให้เกิดเริมได้อีกด้วย


การศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาของหญ้าแส้ม้า

มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาของสารสกัดจากทั้งต้นของหญ้าแส้ม้า ในหนูทดลองเพศเมียที่ตั้งครรภ์ระบุสารสกัดดังกล่าว มีผลยับยั้งการพัฒนาของตัวอ่อนและเป็นพิษต่อการตั้งครรภ์ (prenatal developmental toxicity) เมื่อให้สารสกัดโดยการฉีดแก่หนูตั้งครรภ์ในขนาดสูง (2,000-3,000 mg/kg) โดยจะทำให้เกิดความผิดปกติของโครงกระดูกตัวอ่อน (incomplete ossification) และผลเชิงลบต่อการตั้งครรภ์


ข้อแนะนำและข้อควรระวัง

สตรีมีครรภ์ห้ามใช้หญ้าแส้ม้าเป็นยาสมุนไพร โดยเฉพาะรูปแบบการรับประทานเนื่องจากมีรายงานการศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาในหนูทดลองระบุว่าเป็นพิษต่อการพัฒนากระดูกของตัวอ่อนและเป็นพิษต่อการตั้งครรภ์ ส่วนในตำรายาจีนก็ได้ระบุว่า ผู้ที่ทมีพลังหย่อน ม้าม หรือ กระเพาะพร่องและสตรีมีครรภ์ห้ามรับประทานสมุนไพรชนิดนี้ เนื่องจากหญ้าแส้ม้า เป็นยาเย็นออกฤทธิ์ต่อตับและม้าม

           นอกจากนี้การใช้หญ้าแส้ม้าเป็นสมุนไพรควรระมัดระวังในการใช้ร่วมกับยากดประสาท เช่น CNS depressants และ benzodiazepines เพราะมีรายงานการศึกษาวิจัยระบุว่าหญ้าแส้ม้า มีฤทธิ์กดระบบประสาท (sedative,anxiolytic, potentiation) จึงอาจเสริมฤทธิ์ยากลุ่มนี้และควรหลีกเลี่ยงการขับรถ หรือ ทำงานกับเครื่องจักร รวมถึงอาจมีปฏิกิริยาร่วมกับยาอื่นๆ โดยเฉพาะเมื่อใช้ร่วมยาที่มี metabolism ผ่านตับ (CYPs) หรือ ยาที่มีศักยภาพเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือดอีกด้วย


เอกสารอ้างอิง หญ้าแส้ม้า
  1. “นังด้งล้าง”. หนังสือสมุนไพร พื้นบ้านล้านนา. ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. หน้า 222.
  2. วิทยา บุญวรพัฒน์. “หญ้าแส้ม้า”. หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. หน้า 584.
  3. Calvo, M. I. (2006). Anti-inflammatory and analgesic activity of the topical preparation of Verbena officinalis L. Journal of Ethnopharmacology, 107(3), 380-382.
  4. Vogl, S; Picker, P; Mihaly-Bison, J; Fakhrudin, N; Atanasov, AG; Heiss, EH; Wawrosch, C; Reznicek, G; Dirsch, VM; Saukel, J; Kopp, B (2013). "Ethnopharmacological in vitro studies on Austria's folk medicine - An unexplored lore in vitro anti-inflammatory activities of 71 Austrian traditional herbal drugs". J Ethnopharmacol. 149 (3): 750-71.
  5. Kubica, P., et al. (2020). Verbena officinalis (Common Vervain) - chemical composition and biological activities. Phytotherapy Reviews / Thieme (pdf). pmE0338, pp. 1241-1257.
  6. Makino, Y.; Kondo, S.; Nishimura, Y.; Tsukamoto, Y.; Huang, Z. L.; Urade, Y. (2009). "Hastatoside and verbenalin are sleep-promoting components in Verbena officinalis". Sleep and Biological Rhythms. 7 (3): 211-217.
  7. Fateh, A. H., Mohamed, Z., Chik, Z., Alsalahi, A., Md Zin, S. R., & Alshawsh, M. A. (2019). Prenatal developmental toxicity evaluation of Verbena officinalis during gestation period in female Sprague-Dawley rats. Chemico-Biological Interactions, 304, 28-42.
  8. Tian, J; Zhao, Y. M.; Luan, X. H. (2005). "Studies on the chemical constitutents in herb of Verbena officinalis". Zhongguo Zhong Yao Za Zhi = Zhongguo Zhongyao Zazhi = China Journal of Chinese Materia Medica. 30 (4): 268-9.
  9. Fateh, A. H., Mohamed, Z., Chik, Z., Alsalahi, A., Md Zin, S. R., & Alshawsh, M. A. (2019). Mutagenicity and genotoxicity effects of Verbena officinalis leaves extract in Sprague-Dawley rats. Journal of Ethnopharmacology, 235, 88-99.
  10. Mundkinajeddu Deepak & Sukhdev Swami Handa (September 2000). "Antiinflammatory activity and chemical composition of extracts of Verbena officinalis". Phytotherapy Research. 14 (6): 463-465.
  11. Rashidian, A., Kazemi, F., Mehrzadi, S., et al. (2016). Anticonvulsant effects of aerial parts of Verbena officinalis extract in mice: involvement of benzodiazepine and opioid receptors. Frontiers in Pharmacology, 7, Article 499.
  12.  Cao, G.; Cong, X. D.; Zhang, Y.; Cai, B. C.; Liu, Z.; Xu, Z.; Zhou, H. (2012).
  13. Rehecho, S., et al. (2011). Chemical composition, mineral content and antioxidant activity of Verbena officinalis L.