ฆ้องสามย่าน ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย
ฆ้องสามย่าน งานวิจัยและสรรพคุณ 9 ข้อ
ชื่อสมุนไพร ฆ้องสามย่าน
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น ทองสามย่าน,เขากวางอ่อน,ฆ้องสี่หู,ฆ้องสามย่านบ้าน,ใบทาจีน,มือตะเข้(ภาคกลาง),ฮอมแฮม,เถาไฟ(ภาคเหนือ),คะซีคู่ซั๊วะ(กระเหรื่ยง)
ชื่อวิทยาศาสตร์Kalanchoe lacinata (L.) DC.
วงศ์CRASSULACEAE
ถิ่นกำเนิด ฆ้องสามย่านจัดเป็นพืชในวงศ์กุหลาบหิน (CRASSULACEAE) ที่มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมเป็นบริเวณกว้างในทวีปแอฟริกาบริเวณแอฟริกาตะวันออก ถึงแอฟริกาตอนใต้บางข้อมูลระบุว่าตั้งแต่เอริเทรียจนถึงนามิเบียจากนั้นมีการแพร่กระจายพันธุ์ไปยังคาบสมุทรอารเบียและเอเชียใต้ จนในปัจจุบันจึงสามารถพบได้ตามเขตร้อนต่างๆทั่วโลก สำหรับในประเทศไทยตอนแรกถูกนำเข้ามาปลูกเป็นไม้ประดับ แบบไม้กระถาง จากนั้นจึงมีการปลูกลงดินและได้แพร่กระจายพันธุ์ไปยังภาคต่างๆทั่วประเทศ ปัจจุบันพบได้ทั้งทุกภาคของประเทศในที่ลุ่มชื้นแฉะทั่วไป
ประโยชน์/สรรพคุณ ดังที่กล่าวมาแล้วว่าฆ้องสามย่านถูกนำมาปลูกเป็นไม้ประดับ/ไม้กระถางมาตั้งแต่ในอดีตแล้วจนถึงปัจจุบันก็ยังพบการนำมาใช้ปลูกในลักษณะดังกล่าวอยู่ โดยนอกจากจะใช้เป็นไม้ประดับแล้วยังมีการนำฆ้องสามย่านมาใช้เป็นยาสมุนไพรโดยในตำราไทยและตำราจีน มีการระบุถึงสรรพคุณเอาไว้ว่า ตำรายาไทยใช้ใบเป็นยาเย็นดับพิษร้อน แก้ร้อนใน แก้บิด ท้องร่วง แก้อาการไอ เจ็บหน้าอก แก้นิ่ว ในกรดในกระเพาะปัสสาวะ แก้โรคทางเดินปัสสาวะ ขับปัสสาวะ แก้แผลฟกช้ำ แผลไฟไหม้ แผลหนอง ฆ่าเชื้อในแผล ใช้ห้ามเลือด สมานแผล ส่วนตำรายาจีนใช้ใบแก้อาการอ่อนเพลียช่วยบำรุงร่างกายแก้พิษฝี แก้พิษงู พิษตะขาบแมงป่อง แก้โรคเท้าช้าง
รูปแบบ/วิธีการใช้
- ใช้ดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ แก้บิด แก้ท้องร่วง ขับปัสสาวะ แก้นิ่วในกระเพาะ แก้โรคทางเดินปัสสาวะโดยนำใบสามย่านมาต้มกับน้ำดื่ม ผสมกับดีปลี จันทน์ทั้งสอง ใบน้ำเต้า ดอกบัวหลวงขาว ละลายน้ำดอกพิกุล ดอกมะลิ ดอกบุนนาค ดอกแคแดง น้ำตำลึงดื่ม
- ใช้เป็นยาแก้ละอองซางโดยนำใบนำมาตากแดดให้แห้งแล้วบดให้เป็นผงใช้ทาลิ้นเด็กอ่อน
- ใช้แก้อาการไอและเจ็บหน้าอกโดยนำใบสดตำพอกหน้าอกและคอ
- ใช้รักษาบาดแผล สมานแผล บรรเทาอาการระคายเคืองแผล ฆ่าเชื้อในบาดแผล แก้แผลฟกช้ำ แผลไฟไหม้ แผลหนอง แก้ฝีหนอง แก้พิษตะขาบ แมงป่อง โดยนำใบมาตำพอก
- ใช้รักษาโรคอวัยวะโตที่เรียกว่าเท้าช้าง โดยนำใบมาคั้นเอาน้ำผสมปรุงกับน้ำมันมะพร้าวใช้ยาทาถูนวด
- ใช้แก้งูพิษกัดโดยนำ ต้นสดหนัก 5 กรัมผสมกับต้นสดฟ้าทะลายโจร 15 กรัม แล้วเอาไปดำชงเหล้าที่หมักจากข้าวกินครั้งเดียวหมดหรือใช้หั่นเป็นฝอยแช่เหล้าหมักจากข้าว 1-2 อาทิตย์รินมากินก็ได้
ลักษณะทั่วไปฆ้องสามย่านจัดเป็นไม้ล้มลุกอายุหลายปีไม่ค่อยแตกกิ่ง ลำต้นเป็นปล้องตั้งตรงสูงได้ประมาณ 20-100 เซนติเมตร ลำต้นอวบน้ำรูปทรงกระบอกผิวเกลี้ยงหรืออาจมีขนเล็กน้อย ปล้องข้างล่างสั้นกว่าปล้องกลางหรือปล้องบน ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงตรงข้าม ใบมีลักษณะหลายรูปร่างในต้นเดียวโดยใบบริเวณโคนต้นจะเป็นใบเดี่ยวรูปไข่ ตรงขอบเป็นจักซี่ฟันหรือเป็นคลื่นไม่มีก้านใบหรืออาจมีก้านใบสั้นใบเป็นสีเขียวอ่อนอาจมีสีม่วงแซมส่วนใบบริเวณกลางลำต้น จะเป็นแบบขนนกชั้นเดียวหรือสองชั้นเว้าเป็นแฉกลึกแต่ละแฉกจะมี ลักษณะเป็นรูปขอบขนาดแคบตรงปลายแหลมขอบใบ จะจักเป็นฟันเลื่อยหยาบๆและมีก้านใบลักษณะแบนยาว2.5-4 เซนติเมตรโดยจะโอบลำต้นไว้ ดอกออกเป็นช่อแบบแยกแขนงชูขึ้นบริเวณส่วนยอดหรือปลายกิ่งดอกช่อมีความยาวประมาณ 10-30 เซ็นติเมตรโดยใน1ดอกช่อจะมีดอกย่อยจำนวนมากดอกย่อยมีใบประดับลักษณะแคบ และเล็กกลีบรองกลีบดอกสีเขียวผิวเกลี้ยงหรืออาจมีขนนุ่มเชื่อมติดกันตรงโคนส่วนปลายแยกออกเป็นกลีบรูปหอกแกมรูปไข่ ปลายแหลมสำหรับกลีบดอกเป็นรูปทรงแจกันสีเขียวส่วนบนมีสีเหลืองส่วนโคนนั้นจะพองออกปลายกลีบแยกเป็นกลีบเป็น 4 กลีบ รูปขอบขนานแกมรูปไข่เกสรเพศผู้8อันโผล่พ้นกลีบดอกออกมาเล็กน้อยส่วนท่อเกสรเพศเมียยาว 2-4 มิลลิเมตรเกลี้ยงและมีรังไข่เป็นรูปหอกสีเขียวผิวเกลี้ยงยาว 5-6มิลลิเมตร ผลเป็นผลแห้งออกเป็นพวงมีลักษณะเป็นรูปไข่แกมขอบขนานหรือรูปกระสวยยาว 0.5-1.2 เซนติเมตรเมื่อผลแก่จะแตกตามตะเข็บเดียวด้านในมีเมล็ดขนาดเล็กจำนวนมาก
การขยายพันธุ์ ฆ้องสามย่าน สามารถขยายพันธุ์ได้โดยวิธีการใช้เมล็ดและการปักชำแต่ในปัจจุบันจะนิยมใช้วิธีปักชำมากกว่าเนื่องจากเป็นวิธีที่ง่าย สะดวกและมีขั้นตอนไม่ยุ่งยาก และกิ่งที่ปักชำจะสามารถเจริญเป็นต้นได้เร็วกว่าการเพาะเมล็ด สำหรับวิธีการเพาะเมล็ดและการปักชำฆ้องสามย่านนั้น สามารถทำได้เช่นเดียวกัน กับการปักชำและการเพาะเมล็ดพืชในวงศ์กุหลาบหิน (CRASSULACEAE) เช่น ต้นตับเต่า (ต้นตายแม่ยายหาย) และ หูเสือ (วงศ์LAMIACEAE)ตามที่ได้กล่าวถึงมาแล้วในบทความก่อนหน้านี้
องค์ประกอบทางเคมี รายงานผลคือการวิจัยเกี่ยวกับองค์ประกอบทางเคมีของสารสกัดจากส่วนใบและลำต้นของฆ้องสามย่าน ระบุว่าพบสารออกฤทธิ์ที่สำคัญหลายชนิดอาทิ เช่น
สารสกัดจากใบและลำต้นสดพบสาร
- Kalambroside A – C
- Patuletin 3-O-α-L-rhamnopyranoside
- Patuletin 3-O-α-L-rhamnopyranosyl-7-O-(3’’-O-acetyl-α-L-rhamnopyranoside)
- Patuletin3-O-(4’’-O-acetyl-α-L-rhamnopyranosyl)-7-O-(3’’-O-acetyl-α-L-rhamnopyranoside)
- Patuletin 3-O-α-L-rhamnopyranosyl-7-O-α-L-rhamnopyranoside
สารสกัดบิวทานอลและเอทิลอะซีเตตจากน้ำคั้นจากใบของฆ้องสามย่านพบสารต่างๆดังนี้
- 3,7-Di-O-α-L-rhamnopyranosyl-quercetin
- 3,7-Di-O-α-L-rhamnopyranosyl-kaempferol
- 3-O-α-L-rhamnopyranosyl-3,3,5,7-pentahydroxyflavone
ส่วนอีกรายงานหนึ่งระบุว่าสารสกัดจากทั้งต้นของฆ้องสามย่านพบสารไกลโคไซด์ เช่น uerctrin, runtin, isoquercitrin, miquelianin ,quercetin-3-O-sophoroside,afzelin,α-rhamnoisorobinและkaempferitrinเป็นต้น
การศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยา มีการรายงานผลการศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของสารสกัดจากส่วนใบและลำต้นของฆ้องสามย่านระบุว่ามีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาดังนี้
มีรายงานการศึกษาวิจัยระบุว่าน้ำมันหอมระเหยจากส่วนใบและลำต้น ฆ้องสามย่านมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียโดยสามารถยั้งเชื้อ Staohylococcusaureus ที่ดื้อต่อยาเมทิซิลลิน(MRSA)เมื่อทำการทดสอบด้วยวิธี diffusion/MIC ส่วนสารสกัดน้ำจากใบของฆ้องสามย่าน แสดงฤทธิ์ต้านเชื้อ HBV type 1 ในเซลล์เพาะเลี้ยงในหลอดทดลอง และมีรายงานการศึกษาวิจัยฤทธิ์ต้านฮีสตามีน/ผ่อนคลายกล้ามเนื้อลำไส้จากสารสกัดน้ำคั้นจากใบฆ้องสามย่านระบุว่ามีฤทธิ์ทำให้กล้ามเนื้อลำไส้ต้านอีสตามีน ส่วนอีกรายงานหนึ่งพบว่าน้ำคั้นทั้งต้นมีฤทธิ์กระตุ้น-และคลายกล้ามเนื้อลำไส้เล็กกระต่ายื (spasmogenic+spasmolytic) โดยมีค่า EC50=0.3-0.6 mg/mL
ส่วนอีกรายงานการศึกษาวิจัยหนึ่งระบุว่า สารสกัดน้ำจากใบฆ้องสามย่าน มีฤทธิ์ต้านการอักเสบที่อุ้งเท้าของหนูทดลองโดยสามารถลดอาการบวมของเท้าหนูที่ถูกเหนี่ยวนำ ด้วยคาราจีนแนนออกฤทธิ์ที่ขนาด i.p. = 240 mg/kg
มีรายงานมีการศึกษาวิจัยระบุว่าสารสกัดเมทานอลจากทั้งต้นของฆ้องสามย่านมีฤทธิ์ต้านไขมัน และต้านออกซิเดชั่นลดไตรกีเซอร์ไรด์ลดLDLและเพิ่มHDLในหนูทดลองและยังสามรถเพิ่มเอนไซม์ SOD/CATและลด MDA หลังให้ต่อเนื่อง 6 สัปดาห์
นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าน้ำคั้นจากใบฆ้องสามย่านยังมีฤทธิ์ปรับภูมิคุ้มกันโดยมีผลต่อการสร้างเซลล์ B-cell และลด IL-7 ในหนูทดลองได้อีกด้วย
การศึกษาวิจัยทางพิษวิทยา มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาของ สารสกัดใบไฮโดรเอทานอล 90% ในหนูทดทอง พบว่ามีค่า LD₅₀ ~1,925 mg/kg และเมื่อให้ในขนาดที่สูง หนูทดลองจะมีอาการระบบประสาท: สั่น หัวใจเต้นเร็ว ชัก ก้าวร้าว
ส่วนอีกงานวิจัยหนึ่งระบุว่า เมื่อป้อนสารสกัดเมทานอลจากทั้งต้นของฆ้องสามย่านในขนาด 4.4 g/kg ในหนูทดลองปรากฏว่าทำให้หนูทดลองตาย 100% ภายใน 30 นาที และก่อนการตายจะเกิดอาการไวต่อเสียง/สัมผัสลดลง ง่วง ซึมและตายในที่สุด ส่วนขนาดการฉีดเข้าช่องท้องที่ทำให้สัตว์ทดลองตาย 100% คือ 10 g/Kg.
ข้อแนะนำ/ข้อควรระวัง สำหรับการใช้ ฆ้องสามย่านเป็นสมุนไพรในการบำบัดรักษาโรคต่างๆนั้นควรระมัดระวังในการใช้เช่นเดียวกันกับการใช้สมุนไพรชนิดอื่นๆ โดยควรใชเขนาด/ปริมาณที่เหมาะสม ที่ได้ระบุไว้ในตำรับตำรายาต่างๆ ไม่ควรใช้ในปริมาณที่มากจนเกินไปหรือใช้ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานานเกินไปเพราะอาจทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพในระยะยาวได้
เอกสารอ้างอิง
- ฆ้องสามย่าน,หนังสือสมุนไพรพื้นบ้านล้านนา,ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล,หน้า135.
- ชัยโย ชัยชาญทิพยุทธ.ฟ้าทะลายโจร.คอลัมน์สมุนไพรน่ารู้.นิตยสารหมอชาวบ้านเล่มที่9.กุมภาพันธ์2523
- ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม,คะซีคู่ซัวะ,หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย,ฉบับพิมพ์ครั้งที่5.หน้า175-176.
- United States Department of Agriculture (USDA). (2023). Kalanchoe laciniata (L.) DC. Germplasm Resources Information Network (GRIN).
- World Flora Online. (2023). Kalanchoe laciniata (L.) DC. In World Flora Online Plant List.
- Guha, S., Ghosal, S., & Chattopadhyay, S. (2006). Kalanchosine dimalate, a novel natural product from Kalanchoe brasiliensis. Phytochemistry, 67(2), 123–128.
- Souza, M. L., & Costa, S. S. (2002). Flavonoid glycosides from Kalanchoe brasiliensis. Phytochemistry, 59(3), 311–315.
- Costa, S. S., Jossang, A., Bodo, B., & Souza, M. L. (1994). Flavonoids from Kalanchoe brasiliensis. Journal of Natural Products, 57(11), 1509–1512.
- van der Watt, E., & Pretorius, J. C. (2001). Purification and identification of active antibacterial components in Kalanchoe laciniata. Journal of Ethnopharmacology, 76(1), 87–91.
- Shiekh, Z. A., Abid, M., & Khan, R. A. (2018). Pharmacological basis for the medicinal use of Kalanchoe laciniata in gastrointestinal, cardiovascular, and oxidative stress disorders. BMC Complementary and Alternative Medicine, 18, 243.
- Fernandes, J. M., Farias, L. A., Machado, A. R. T., & Costa, S. S. (2019). Pharmacological potential, chemical composition, toxicology and other applications of Kalanchoe laciniata (L.) DC. and Bryophyllum pinnatum (Lam.) Oken: A review. Revista Brasileira de Farmacognosia, 29(6), 802–818.
- Ibrahim, T. A., & Oyebanji, A. O. (2017). Toxicological evaluation of methanol extract of Kalanchoe laciniata in albino rats. Journal of Ethnopharmacology, 198, 295–302.