ขี้เหล็กเลือด ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย
ขี้เหล็กเลือด งานวิจัยและสรรพคุณ 9 ข้อ
ชื่อสมุนไพร ขี้เหล็กเลือด
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น ขี้เหล็กเลือด ,ขี้เหล็กคันชั่ง,ขี้เหล็กพันชั่ง(ภาคเหนือ), ชี้เหล็กดง , ขี้เหล็กป่า (ภาคอีสาน), มะเกลือเลือด (ภาคกลาง),ขี้เหล็กนางชี่,ขี้เหล็กป่า,ช้าขี้เหล็ก,กะแลงแง็น (ภาคใต้)
ชื่อวิทยาศาสตร์Senna timoriensis (DC.) H.S. Irwin&Barneby
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์Cassia timoriensis DC.
ชื่อสามัญLimstone cassia , Golden bird
วงศ์ FABACEAE-CAESALPINIOIDEAE
ถิ่นกำเนิด ขี้เหล็กเลือดจัดเป็นพืชที่อยู่ในวงศ์ย่อยราชพฤกษ์ (CAESALPINIOIDEAE) ที่มีถิ่นกำเนิดเป็นบริเวณกว้างตั้งแต่ภูมิภาคเอเชียใต้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไปจนถึงทางตอนเหนือของออสเตรเลีย สำหรับในประเทศไทยพบได้ในทุกภาคของประเทศ โดยมักพบได้บริเวณป่าเบญจพรรณ ป่าผลัดใบต่างๆ ป่าเต็งรัง ตามภูเขาหินปูน หรืออาจพบได้ตามสองข้างทานทั่วไปที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลไม่เกิน 500 เมตร
ระโยชน์/สรรพคุณ มีการนำขี้เหล็กเลือดมาใช้ประโยชน์ในรูปแบบต่างๆ ดังนี้
มีการนำเอาใบอ่อนและดอกตูม ใช้แปรรูปประทานเป็นอาหาร ได้หลายชนิด เช่นเดียวกันกับขี้เหล็กบ้าน เช่น นำมาทำแกงขี้เหล็ก แกงส้มใบขี้เหล็ก แกงใสปลา หรือนำมาลวกจิ้มน้ำพริกก็ได้ ที่แห้งตายหรือถูกล้มจนลำต้นหรือกิ่งแห้งยังสามารถนำไปใช้ทำฟืนได้อีกด้วย สำหรับสรรพคุณทางยาของขี้เหล็กเลือดนั้น ตามตำรายาไทยและตำรายาพื้นบ้านได้ระบุถึงสรรพคุณเอาไว้ว่า แก่น รสขมจัด ใช้บำรุงโลหิต แก้กระกษัย แก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย แก้ไตพิการ ปวดบั่นเอว แก้เส้นป้องคาดบริเวณท้องน้อย แก้หน้าขาตึง ขับปัสสาวะ ขับเลือดเสีย ขับระดูเสีย เปลือกต้น รสขม ใช้แก้โรคหิด
รูปแบบ/ขนาดวิธีใช้
- ใช้บำรุงโลหิต แก้กษัย แก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย แก้ไตพิการ แก้เส้นป้องคาดบริเวณบั้นเอว แก้ปวดบั้นเอว ปวดหน้าขา หน้าขาตึง ขับปัสสาวะ ขับเลือด ขับระดูเสีย โดยนำแก่นไม้ของขี้เหล็กเลือดมา ตัดเป็นชิ้น ต้มในน้ำจนสีออกแดงเข้ม ใช้ดื่มวันละ 2-3 ครั้ง
- แก้หิดโดยนำใช้เปลือกต้น มาบดหรือตำให้ละเอียด พอกหรือใช้ทาบริเวณที่เป็น
ลักษณะทั่วไป ขี้เหล็กเลือดจัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กหรือไม้พุ่มขนาดใหญ่ ทรงพุ่มทึบแตกกิ่งก้นในระดับต่ำ คล้ายขี้เหล็กบ้าน มีความสูงของลำต้น 5-10 เมตร เปลือกลำต้นมีสีน้ำตาลเข้ม กิ่งอ่อนและยอดอ่อนมขนสีน้ำตาลหรือสีเหลืองทองขึ้นปกคลุมทั่วไป ใบเป็นใบประกอบแบบขนนกปลายคู่ ออกเรียงตรงข้ามกัน ช่อใบมีก้านแกนกลางยาว 20-30 เซนติเมตร มีขนสั้นนุ่มขึ้นปกคลุม มีใบย่อยประมาณ 10-20 คู่ ใบย่อยมีลักษณะเป็นรูปรีแกมขอบขนาน มีขนาดกว้าง 1-1.5 เซนติเมตร ยาว 2-6 เซนติเมตร ปลายใบแหลมสั้นๆ หรือเป็นติ่ง ขอบใบเรียบ แผ่นใบเกลี้ยงหรืออาจมีขนสั้นนุ่มทั้งสองด้านของแผ่นใบ ท้องใบเป็นสีแดง ก้านใบย่อยยาวประมาณ 1-2 เซนติเมตร มีหูใบเป็นรูปติ่งหู ขนาด 1.5-2 เซนติเมตร ดอกออกเป็นช่อกระจะหรือแบบช่อแยกแขนงแบบหลวมๆ ซึ่งจะออกบริเวณซอกใบ ช่อดอกยาว 10-30 เซนติเมตร มีใบประดับเป็นรูปไข่ ปลายแหลม ยาวประมาณ 2.5 เซนติเมตร หลุดร่วงง่าย ใน 1 ช่อดอกจะมีดอกย่อยจำนวนมาก โดยดอกย่อยนั้น จะเป็นสีเหลืองสด มีกลีบดอก 5 กลีบ กลีบดอกเป็นรูปวงรีหรือรูปไข่กลับ ยาว 1.5-2 เซนติเมตร โคนกลีบดอกแหลม และมีก้านกลีบสั้นๆ ดอกมีเกสรเพศผู้ 10 อัน 2 อันมีขนาดใหญ่ มีอับเรณูยาว 8-10 มิลลิเมตร ช่องเปิดที่ปลาย ส่วนรังไข่และก้านเกสรเพศเมียเกลี้ยง ยอดเกสรมีขนาดเล็ก และมีกลีบเลี้ยงเป็นรูปขอบขนานแกมรูปไข่ ปลายกลม ยาวไม่เท่ากัน โดยจะยาวประมาณ 0.7-1.5 เซนติเมตร ส่วนก้านดอกย่อยยาวปราณ 1-3 เซนติเมตร ผลออกเป็นฝักแบนขนาดเล็ก มีลักษณะแบนเป็นรูปแถบ มีขนาดกว้าง 1-1.5 เซนติเมตร ยาว 8-16 เซนติเมตร ฝักอ่อนมีสีเขียว เมื่อแก่จะเป็นสีเขียวเมื่อแก่จะเป็นสีน้ำตาลเข้ม แตกได้ตามแนวภายในฝักมีเมล็ดสีน้ำตาลรูปรีแบบเป็นมันวาว ขนาดกว้าง 5 มิลลิเมตร ยาว 7 มิลลิเมตร ประมาณ 10-30 เมล็ด
การขยายพันธุ์ ขี้เหล็กเลือดสามารถขยายพันธุ์ได้โดยการใช้เมล็ดและการปักชำ สำหรับวิธีการเพาะเมล็ดและการปลูกขี้เหล็กเลือดนั้นสามารถทำได้เช่นเดียวกันกับการเพาะเมล็ดและการปลูก “ขี้เหล็กบ้าน” หรือ “ขี้เหล็กเทศ” ตามที่ได้กล่าวถึงมาแล้วในบทความก่อนหน้านี้
องค์ประกอบทางเคมี มีรายงานผลการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับองค์ประกอบทางเคมีของสารสกัดจากส่วนใบและดอกของขี้เหล็กเลือด ระบุว่าพบสารออกฤทธิ์ที่สำคัญหลายชนิดอาทิเช่น Barakol, 3-Methoxyquercetin , Benzenepropanoic acid และ α-linolenic acid สารสกัดจากส่วนดอกพบสาร β-Sitosterol, Stigmasterol , 1-Octadecanol , Arachidyl arachidate , Luteolin, Luteolin, Kaempferol, Quercetin, Chrysoeriol, Catechin-3-rhamnoside, Cyanidin 3-(6″-benzoyl)glucoside พบสารกลุ่ม Saccharides เช่น Lactose, D-glucose, D-mannose, 2,3,4,5,6-pentahydroxy-…-heptanoic acid และยังพบสารกลุ่ม แอนทราควิโนน (เช่น rhein, chrysophanol, aloe-emodin) อีกด้วย
ป
การศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยา มีรายงานการศึกษา-วิจัยทางเภสัชวิทยาของสารสกัดจากส่วนใบ และดอกของขี้เหล็กเลือดระบุว่ามีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาดังนี้
มีรายงกานผลการศึกษาวิจัยในหลอดทดลองของสารสกัดจากส่วนใบของขี้เหล็กเลือดระบุว่า สาร Barakol ซึ่งเป็นสารที่ออกฤทธิ์หลักทางเภสัชวิทยามีฤทธิ์ ช่วย “คลายกังวล, ทำให้นอนหลับ, และกดประสาทส่วนกลาง” (central depressant) ส่วนสารสกัดเอทิลอะซิเตตและเมทานอลจากส่วนดอกของขี้เหล็กเลือดมีฤทธิ์ ต้านเอนไซม์อะเซทิลโคลีนเอสเตอรเรส (AChE) ที่เป็นสาเหตุของโรคอัลไซเมอร์ โดยแสดงฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ AChE ที่ค่า IC50 6.9 และ 6.4 µg/mL ตามลำดับ
นอกจากนี้สารสกัดเอทิลอะซิเตตและเมทานอล จากส่วนดอกของขี้เหล็กเลือดยังมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระโดยมีค่า IC50 (DPPH) 20.1 และ 34.5 µg/mL ตามลำดับ อีกทั้งยังมีรายงานว่าสารสกัดดังกล่าวยังมีฤทธิ์ต้านการอักเสบแบบป้องกันการทำให้โปรตีนเสียสภาพ (albumin denaturation) โดยมีค่าการยับยั้งได้ =92% ที่ความเข้มข้นทดสอบอีกด้วย
การศึกษาวิจัยทางพิษวิทยา มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาของสาร barakol ซึ่งเป็นสารออกฤทธิ์หลักในส่วนใบของขี้เหล็กเลือดระบุว่า เมื่อฉีดสารbarakolเข้าทางเยื่อบุช่องท้องแก่หนูถีบจักร พบว่ามีค่า LD₅₀= 250–400 mg/kg และทำให้หนูทดลองมีอาการ ง่วงซึม, กดการเคลื่อนไหว, สูญเสียการประสานงาน (ataxia), หายใจช้าลงและเมื่อให้ได้รับในขนาดสูงขึ้นทำให้เสียชีวิตจากการกดการหายใจ ส่วนค่าLD₅₀ (เมื่อให้ทางปาก) จะมีค่าสูงกว่า เนื่องจากการดูดซึมจำกัดและมีการเมแทบอลิซึมในตับ ส่วนการศึกษพิษกึ่งเรื้อรังของสาร barakol พบว่าหนูที่ได้รับ barakol ในขนาด100 mg/kg/day เป็นเวลา 4 สัปดาห์ จะมีการเปลี่ยนแปลงของตับ (fatty change, hydropic degeneration) ค่าเอนไซม์ตับ (SGPT, SGOT) สูงขึ้น
ข้อแนะนำ/ข้อควรระวัง
มีรายงานระบุว่า ใบขี้เหล็กที่ผ่านการ “ต้มทิ้งน้ำ 2 ครั้ง” จะมีปริมาณสาร barakol ลดเหลือ ~10% และไม่ก่อพิษต่อตับในการนำมาบริโภคเป็นอาหาร
มีรายงานว่าสาร Barakol จากส่วนใบของขี้เหล็กเลือด อาจก่อให้เกิดปัญหาเรื่องตับอักเสบจากการใช้ใบบดบรรจุแคปซูลเป็นยานอนหลับ เช่นเดียวกันกับการใช้ใบขี้เหล็กบ้าน
ผู้ป่วยโรคตับ เอนไซม์ตับสูง และผู้ที่เป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง ควรหลีกเลี่ยงการบริโภคใบขี้เหล็กเลือดรวมถึงการใช้ใบของขี้เหล็กมาเป็นยาสมุนไพรในรูปแบบการรับประทานเนื่องจากสาร barakol อาจทำให้เกิดภาวะตับอักเสบ
สำหรับบุคคลทั่วไป ไม่ควรใช่ส่วนใบของขี้เหล็กเลือดเป็นยาสมุนไพรในขนาดที่สูง หรือใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน เพราะอาจทำให้เกิดภาวะตับอักเสบ หรือมีอาการง่วงมากเกินไป เวียนศีรษะ คลื่นไส้ ค่าเอนไซม์ตับสูง และดีซ่าน
อ้างอิงขี้เหล็กเลือด
- ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม, ขี้เหล็กเลือด,หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย,ฉบับพิมพ์ครั้งที่5.หน้า145-146.
- วงศ์สถิตย ฉั่วกุล. (ประมาณ พ.ศ. 2561). ขี้เหล็กที่ใช้ในยาสามัญประจำบ้านแผนโบราณ (เอกสารให้ความรู้). คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. หน้า 1–2
- ดร.นิจศิริ เรืองรังสี ธวัชชัย มัคละคุปต์ ขี้เหล็กเลือด (Kii Lek Lueat) หนังสือสมุนไพรไทย.เล่ม1. หน้า66.
- สำนักงานข้อมูลข่าวสารสมุนไพร มหาวิทยาลัยมหิดล. (2560). ข่าวความเคลื่อนไหวสมุนไพร: ยาขี้เหล็กกับการถอนทะเบียน. หน้า 1–2.
- การ์ดเนอร์,ไซมอน พินดา สิทธิสุนทร ก่องกานดา ชยาฤต ไม้ป่าภาคใต้-พิมพ์ครั้งงที่1-กรุงเทพฯ โครงการจัดพิมพ์คบไฟ.2559.792 หน้า
- Wongsurawat, N., & Kanchanapee, P. (1995). Clinical trial of barakol in insomnia patients. Thai Journal of Pharmacology, 17(2), 77–85.
- World Flora Online. (n.d.). Senna timoriensis (DC.) H.S.Irwin & Barneby.
- Gritsanapan, W., Saralamp, P., Wongwiwat, W., & Kanjanasopa, R. (1984). Barakol from Cassia timorensis. Journal of the Science Society of Thailand, 10, 189–190
- Larsen, K., S.S. Larsen and J.E. Vidal. (1984). Leguminosae-Caesalpiniodeae. In Flora of Thailand Vol.123.
- Alhawarri, M. B., Dianita, R., Rawa, M. S. A., Nogawa, T., & Wahab, H. A. (2023). Potential anti-cholinesterase activity of bioactive compounds extracted from Cassia grandis L.f. and Cassia timoriensis DC. Plants, 12(2), Article 344.
- Tuntiwachwuttikul, P., Pootaeng-on, Y., & Taylor, W. C. (1987). Barakol: A constituent of Cassia siamea and Cassia timorensis. Phytochemistry, 26(11), 3019–3020.
- Alhawarri, M. B., Dianita, R., Abd Razak, K. N., Mohamad, S., Nogawa, T., & Wahab, H. A. (2021). Antioxidant, anti-inflammatory, and inhibition of acetylcholinesterase potentials of Cassia timoriensis DC. flowers. Molecules, 26(9).
- Nazman, N. A. N. A., Al-Hawarri, M. B. A., Razak, M. S. A., Dianita, R., Nogawa, T., Mohamad, S., & Wahab, H. A. (2020). Potential anti-acetylcholinesterase activity of Cassia timorensis DC. Molecules, 25(19), 4531.
- Prapalert, W., & Gritsanapan, W. (1993). Toxicity studies of barakol in experimental animals. Mahidol University Journal of Pharmaceutical Sciences, 20(3), 1–9.
- Gritsanapan, W., Tantisewie, B., & Jirawongse, V. (1984). Chemical constituents of Cassia timorensis and Cassia grandis. Journal of the Science Society of Thailand, 10(3), 189–190.
- Chen, D., D. Zhang and K. Larsen. (2010) Fabaceae (Cassieae) In Flora of China Vol. 10:28-31.
- Alhawarri, M. B., Dianita, R., Razak, K. N. A., Mohamad, S., Nogawa, T., & Wahab, H. A. (2023). Potential anti-cholinesterase activity of bioactive compounds extracted from Cassia grandis L.f. and Cassia timoriensis DC. Plants, 12(2), 368