ขี้เหล็กเลือด ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย

ขี้เหล็กเลือด งานวิจัยและสรรพคุณ 12 ข้อ

ชื่อสมุนไพร ขี้เหล็กเลือด
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น ขี้เหล็กเลือด, ขี้เหล็กคันชั่ง, ขี้เหล็กพันชั่ง (ภาคเหนือ), ชี้เหล็กดง, ขี้เหล็กป่า (ภาคอีสาน), มะเกลือเลือด (ภาคกลาง), ขี้เหล็กนางชี่, ขี้เหล็กป่า, ช้าขี้เหล็ก, กะแลงแง็น (ภาคใต้)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Senna timoriensis (DC.) H.S. Irwin&Barneby
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Cassia timoriensis DC.
ชื่อสามัญ Limstone cassia, Golden bird
วงศ์ FABACEAE-CAESALPINIOIDEAE


ถิ่นกำเนิดขี้เหล็กเลือด

ขี้เหล็กเลือด จัดเป็นพืชที่อยู่ในวงศ์ย่อยราชพฤกษ์ (CAESALPINIOIDEAE) ที่มีถิ่นกำเนิดเป็นบริเวณกว้างตั้งแต่ภูมิภาคเอเชียใต้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไปจนถึงทางตอนเหนือของออสเตรเลีย สำหรับในประเทศไทยพบขี้เหล็กเลือด ได้ในทุกภาคของประเทศ โดยมักพบได้บริเวณป่าเบญจพรรณ ป่าผลัดใบต่างๆ ป่าเต็งรัง ตามภูเขาหินปูน หรือ อาจพบได้ตามสองข้างทางทั่วไปที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลไม่เกิน 500 เมตร


ประโยชน์และสรรพคุณขี้เหล็กเลือด

  1. ช่วยบำรุงโลหิต
  2. แก้กษัย
  3. แก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย
  4. แก้ไตพิการ
  5. แก้ปวดบั่นเอว
  6. แก้เส้นป้องคาดบริเวณท้องน้อย
  7. แก้หน้าขาตึง
  8. ช่วยขับปัสสาวะ
  9. ช่วยขับเลือดเสีย
  10. ช่วยขับระดูเสีย (ในสตรี)
  11. แก้โรคหิด
  12. แก้ปวดหน้าขา

           มีการนำเอาใบอ่อนและดอกตูมขี้เหล็กเลือด ใช้แปรรูปประทานเป็นอาหาร ได้หลายชนิด เช่นเดียวกันกับขี้เหล็กบ้าน เช่น นำมาทำแกงขี้เหล็ก แกงส้มใบขี้เหล็ก แกงใสปลา หรือ นำมาลวกจิ้มน้ำพริกก็ได้ ที่แห้งตาย หรือ ถูกล้มจนลำต้น หรือ กิ่งแห้งยังสามารถนำไปใช้ทำฟืนได้อีกด้วย

ขี้เหล็กเลือด

รูปแบบและขนาดวิธีใช้

  • ใช้บำรุงโลหิต แก้กษัย แก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย แก้ไตพิการ แก้เส้นป้องคาดบริเวณบั้นเอว แก้ปวดบั้นเอว แก้ปวดหน้าขา หน้าขาตึง ขับปัสสาวะ ขับเลือด ขับระดูเสีย โดยนำแก่นไม้ของขี้เหล็กเลือด มาตัดเป็นชิ้น ต้มในน้ำจนสีออกแดงเข้ม ใช้ดื่มวันละ 2-3 ครั้ง
  • แก้หิด โดยนำใช้เปลือกต้นขี้เหล็กเลือด มาบด หรือ ตำให้ละเอียด พอก หรือ ใช้ทาบริเวณที่เป็น


ลักษณะทั่วไปของขี้เหล็กเลือด

ขี้เหล็กเลือด จัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก หรือ ไม้พุ่มขนาดใหญ่ ทรงพุ่มทึบแตกกิ่งก้นในระดับต่ำ คล้ายขี้เหล็กบ้าน มีความสูงของลำต้น 5-10 เมตร เปลือกลำต้นมีสีน้ำตาลเข้ม กิ่งอ่อนและยอดอ่อน ขนสีน้ำตาล หรือ สีเหลืองทองขึ้นปกคลุมทั่วไป

           ใบขี้เหล็กเลือด เป็นใบประกอบแบบขนนกปลายคู่ ออกเรียงตรงข้ามกัน ช่อใบขี้เหล็กเลือดมีก้านแกนกลางยาว 20-30 เซนติเมตร มีขนสั้นนุ่มขึ้นปกคลุม มีใบย่อยประมาณ 10-20 คู่ ใบย่อยมีลักษณะเป็นรูปรีแกมขอบขนาน มีขนาดกว้าง 1-1.5 เซนติเมตร ยาว 2-6 เซนติเมตร ปลายใบแหลมสั้นๆ หรือ เป็นติ่ง ขอบใบเรียบ แผ่นใบเกลี้ยง หรือ อาจมีขนสั้นนุ่มทั้งสองด้านของแผ่นใบ ท้องใบเป็นสีแดง ก้านใบย่อยยาวประมาณ 1-2 เซนติเมตร มีหูใบเป็นรูปติ่งหู ขนาด 1.5-2 เซนติเมตร

           ดอกขี้เหล็กเลือด ออกเป็นช่อกระจะ หรือ แบบช่อแยกแขนงแบบหลวมๆ ซึ่งจะออกบริเวณซอกใบ ขี้เหล็กเลือด ช่อดอกยาว 10-30 เซนติเมตร มีใบประดับเป็นรูปไข่ ปลายแหลม ยาวประมาณ 2.5 เซนติเมตร หลุดร่วงง่าย ใน 1 ช่อดอกจะมีดอกย่อยจำนวนมาก โดยดอกย่อยนั้น จะเป็นสีเหลืองสด มีกลีบดอก 5 กลีบ กลีบดอกเป็นรูปวงรี หรือ รูปไข่กลับ ยาว 1.5-2 เซนติเมตร โคนกลีบดอกแหลมและมีก้านกลีบสั้นๆ ดอกมีเกสรเพศผู้ 10 อัน 2 อันมีขนาดใหญ่ มีอับเรณูยาว 8-10 มิลลิเมตร ช่องเปิดที่ปลาย ส่วนรังไข่และก้านเกสรเพศเมียเกลี้ยง ยอดเกสรมีขนาดเล็กและมีกลีบเลี้ยงเป็นรูปขอบขนานแกมรูปไข่ ปลายกลม ยาวไม่เท่ากัน โดยจะยาวประมาณ 0.7-1.5 เซนติเมตร ส่วนก้านดอกย่อยยาวปราณ 1-3 เซนติเมตร

           ผลขี้เหล็กเลือด ออกเป็นฝักแบนขนาดเล็ก ฝักขี้เหล็กเลือด มีลักษณะแบนเป็นรูปแถบ มีขนาดกว้าง 1-1.5 เซนติเมตร ยาว 8-16 เซนติเมตร ฝักอ่อนมีสีเขียว เมื่อแก่จะเป็นสีเขียวเมื่อแก่จะเป็นสีน้ำตาลเข้ม แตกได้ตามแนวภายในฝักมีเมล็ดสีน้ำตาลรูปรีแบบเป็นมันวาว ขนาดกว้าง 5 มิลลิเมตร ยาว 7 มิลลิเมตร ประมาณ 10-30 เมล็ด

ขี้เหล็กเลือด
ขี้เหล็กเลือด

การขยายพันธุ์ขี้เหล็กเลือด

ขี้เหล็กเลือด สามารถขยายพันธุ์ได้โดยการใช้เมล็ดและการปักชำ สำหรับวิธีการเพาะเมล็ดและการปลูกขี้เหล็กเลือด นั้นสามารถทำได้เช่นเดียวกันกับการเพาะเมล็ดและการปลูก “ขี้เหล็กบ้าน” หรือ “ขี้เหล็กเทศ ” ตามที่ได้กล่าวถึงมาแล้วในบทความก่อนหน้านี้


องค์ประกอบทางเคมี

มีรายงานผลการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับองค์ประกอบทางเคมีของสารสกัดจากส่วนใบและดอกของขี้เหล็กเลือด ระบุว่าพบสารออกฤทธิ์ที่สำคัญหลายชนิดอาทิเช่น Barakol, 3-Methoxyquercetin, Benzenepropanoic acid และ α-linolenic acid สารสกัดจากส่วนดอกขี้เหล็กเลือด พบสาร β-Sitosterol, Stigmasterol, 1-Octadecanol, Arachidyl arachidate, Luteolin, Luteolin, Kaempferol, Quercetin, Chrysoeriol, Catechin-3-rhamnoside, Cyanidin 3-(6″-benzoyl) glucoside พบสารกลุ่ม Saccharides เช่น Lactose, D-glucose, D-mannose, 2,3,4,5,6-pentahydroxy-…-heptanoic acid และยังพบสารกลุ่ม แอนทราควิโนน (เช่น rhein, chrysophanol, aloe-emodin) อีกด้วย

โครงสร้างขี้เหล็กเลือด

การศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของขี้เหล็กเลือด

มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของสารสกัดจากส่วนใบและดอกของขี้เหล็กเลือด ระบุว่ามีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาดังนี้

           มีรายงานผลการศึกษาวิจัยในหลอดทดลองของสารสกัดขี้เหล็กเลือด จากส่วนใบของขี้เหล็กเลือดระบุว่า สาร Barakol ซึ่งเป็นสารที่ออกฤทธิ์หลักทางเภสัชวิทยามีฤทธิ์ "ช่วยคลายกังวล, ทำให้นอนหลับ และกดประสาทส่วนกลาง" (central depressant) ส่วนสารสกัดเอทิลอะซิเตตและเมทานอลจากส่วนดอกของขี้เหล็กเลือดมีฤทธิ์ ต้านเอนไซม์อะเซทิลโคลีนเอสเตอรเรส (AChE) ที่เป็นสาเหตุของโรคอัลไซเมอร์ โดยแสดงฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ AChE ที่ค่า IC50 6.9 และ 6.4 µg/mL ตามลำดับ

           นอกจากนี้สารสกัดเอทิลอะซิเตตและเมทานอล จากส่วนดอกของขี้เหล็กเลือด ยังมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระโดยมีค่า IC50 (DPPH) 20.1 และ 34.5 µg/mL ตามลำดับ อีกทั้งยังมีรายงานว่าสารสกัดดังกล่าวยังมีฤทธิ์ต้านการอักเสบแบบป้องกันการทำให้โปรตีนเสียสภาพ (albumin denaturation) โดยมีค่าการยับยั้งได้ = 92% ที่ความเข้มข้นทดสอบอีกด้วย


การศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาของขี้เหล็กเลือด

มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาของสาร barakol ซึ่งเป็นสารออกฤทธิ์หลักในส่วนใบของขี้เหล็กเลือด ระบุว่า เมื่อฉีดสาร barakol เข้าทางเยื่อบุช่องท้องแก่หนูถีบจักร พบว่ามีค่า LD₅₀= 250-400 mg/kg และทำให้หนูทดลองมีอาการ ง่วงซึม, กดการเคลื่อนไหว, สูญเสียการประสานงาน (ataxia), หายใจช้าลงและเมื่อให้ได้รับในขนาดสูงขึ้นทำให้เสียชีวิตจากการกดการหายใจ ส่วนค่า LD₅₀ (เมื่อให้ทางปาก) จะมีค่าสูงกว่า เนื่องจากการดูดซึมจำกัดและมีการเมแทบอลิซึมในตับ ส่วนการศึกษาพิษกึ่งเรื้อรังของสาร barakol พบว่าหนูที่ได้รับ barakol ในขนาด 100 mg/kg/day เป็นเวลา 4 สัปดาห์ จะมีการเปลี่ยนแปลงของตับ (fatty change, hydropic degeneration) ค่าเอนไซม์ตับ (SGPT, SGOT) สูงขึ้น


ข้อแนะนำและข้อควรระวัง

มีรายงานระบุว่า ใบขี้เหล็กที่ผ่านการ “ต้มทิ้งน้ำ 2 ครั้ง” จะมีปริมาณสาร barakol ลดเหลือ ~10% และไม่ก่อพิษต่อตับในการนำมาบริโภคเป็นอาหาร

           มีรายงานว่าสาร Barakol จากส่วนใบของขี้เหล็กเลือด อาจก่อให้เกิดปัญหาเรื่องตับอักเสบจากการใช้ใบบดบรรจุแคปซูลเป็นยานอนหลับ เช่นเดียวกันกับการใช้ใบขี้เหล็กบ้าน

           ผู้ป่วยโรคตับ เอนไซม์ตับสูงและผู้ที่เป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง ควรหลีกเลี่ยงการบริโภคใบขี้เหล็กเลือด รวมถึงการใช้ใบของขี้เหล็กมาเป็นยาสมุนไพรในรูปแบบการรับประทานเนื่องจากสาร barakol อาจทำให้เกิดภาวะตับอักเสบ

           สำหรับบุคคลทั่วไป ไม่ควรใช้ส่วนใบของขี้เหล็กเลือดเป็นยาสมุนไพรในขนาดที่สูง หรือ ใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน เพราะอาจทำให้เกิดภาวะตับอักเสบ หรือ มีอาการง่วงมากเกินไป เวียนศีรษะ คลื่นไส้ ค่าเอนไซม์ตับสูง และดีซ่าน


เอกสารอ้างอิง ขี้เหล็กเลือด
  1. ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม, ขี้เหล็กเลือด, หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. หน้า 145-146.
  2. วงศ์สถิตย ฉั่วกุล. (ประมาณ พ.ศ. 2561). ขี้เหล็กที่ใช้ในยาสามัญประจำบ้านแผนโบราณ (เอกสารให้ความรู้). คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. หน้า 1-2
  3. ดร.นิจศิริ เรืองรังสี, ธวัชชัย มัคละคุปต์. ขี้เหล็กเลือด (Kii Lek Lueat) หนังสือสมุนไพรไทย.เล่ม 1. หน้า 66.
  4. สำนักงานข้อมูลข่าวสารสมุนไพร มหาวิทยาลัยมหิดล. (2560). ข่าวความเคลื่อนไหวสมุนไพร: ยาขี้เหล็กกับการถอนทะเบียน. หน้า 1-2.
  5. การ์ดเนอร์,ไซมอน พินดา สิทธิสุนทร ก่องกานดา ชยาฤต ไม้ป่าภาคใต้-พิมพ์ครั้งที่ 1-กรุงเทพฯ โครงการจัดพิมพ์คบไฟ. 2559. 792 หน้า
  6. Wongsurawat, N., & Kanchanapee, P. (1995). Clinical trial of barakol in insomnia patients. Thai Journal of Pharmacology, 17(2), 77-85.
  7. World Flora Online. (n.d.). Senna timoriensis (DC.) H.S.Irwin & Barneby.
  8. Gritsanapan, W., Saralamp, P., Wongwiwat, W., & Kanjanasopa, R. (1984). Barakol from Cassia timorensis. Journal of the Science Society of Thailand, 10, 189-190
  9. Larsen, K., S.S. Larsen and J.E. Vidal. (1984). Leguminosae-Caesalpiniodeae. In Flora of Thailand Vol.123.
  10. Alhawarri, M. B., Dianita, R., Rawa, M. S. A., Nogawa, T., & Wahab, H. A. (2023). Potential anti-cholinesterase activity of bioactive compounds extracted from Cassia grandis L.f. and Cassia timoriensis DC. Plants, 12(2), Article 344.
  11. Tuntiwachwuttikul, P., Pootaeng-on, Y., & Taylor, W. C. (1987). Barakol: A constituent of Cassia siamea and Cassia timorensis. Phytochemistry, 26(11), 3019-3020.
  12. Alhawarri, M. B., Dianita, R., Abd Razak, K. N., Mohamad, S., Nogawa, T., & Wahab, H. A. (2021). Antioxidant, anti-inflammatory, and inhibition of acetylcholinesterase potentials of Cassia timoriensis DC. flowers. Molecules, 26(9).
  13. Nazman, N. A. N. A., Al-Hawarri, M. B. A., Razak, M. S. A., Dianita, R., Nogawa, T., Mohamad, S., & Wahab, H. A. (2020). Potential anti-acetylcholinesterase activity of Cassia timorensis DC. Molecules, 25(19), 4531.
  14. Prapalert, W., & Gritsanapan, W. (1993). Toxicity studies of barakol in experimental animals. Mahidol University Journal of Pharmaceutical Sciences, 20(3), 1-9.
  15. Gritsanapan, W., Tantisewie, B., & Jirawongse, V. (1984). Chemical constituents of Cassia timorensis and Cassia grandis. Journal of the Science Society of Thailand, 10(3), 189-190. 
  16. Chen, D., D. Zhang and K. Larsen. (2010) Fabaceae (Cassieae) In Flora of China Vol. 10:28-31.
  17. Alhawarri, M. B., Dianita, R., Razak, K. N. A., Mohamad, S., Nogawa, T., & Wahab, H. A. (2023). Potential anti-cholinesterase activity of bioactive compounds extracted from Cassia grandis L.f. and Cassia timoriensis DC. Plants, 12(2), 368