อรคนธ์ ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย
อรคนธ์ งานวิจัยและสรรพคุณ 12 ข้อ
ชื่อสมุนไพร อรคนธ์
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น รสสุคนธ์แดง, เถาอรคนธ์ (ภาคกลาง), ย่านปด, เครือปด, ข่านเปล้า, ปดลื่น (ภาคใต้)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Tetracera indica (Cristm. & Panz.) Merr.
วงศ์ DILLENIACEAE
ถิ่นกำเนิดอรคนธ์
อรคนธ์ จัดเป็นพืชในวงศ์ส้าน (DILLENIACEAE) ที่มีถิ่นกำเนิดบริเวณเขตร้อนของเอเชีย เช่นในภูมิภาคเอเชียใต้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และทางตอนใต้ของจีน ต่อมาจึงได้มีการแพร่กระจายพันธุ์ไปยังภูมิภาคเขตร้อนอื่นๆ ของโลก สำหรับประเทศไทยพบอรคนธ์ ได้ทางภาคใต้บริเวณป่าละเมาะ ป่าพรุ หรือ ตามป่าชายฝั่งที่มีระดับความสูงจากระดับทะเลจนถึง 600 เมตร
ประโยชน์และสรรพคุณอรคนธ์
- แก้อาการปวดบวม
- แก้ฝี
- ช่วยบำรุงหัวใจ
- แก้ลม (มักใช้คู่กับรสสุคนธ์ขาว)
- แก้แผลในปาก
- แก้ผื่นคัน
- ใช้ขับปัสสาวะ
- ช่วยบำรุงกำลัง
- ใช้รักษางูกัด
- แก้ไข้หวัด
- รักษาเลือดออกในปอด
- รักษาแผลในปาก
อรคนธ์ถูกนำมาใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆดังนี้
- ใช้อรคนธ์ ปลูกเป็นไม้ประดับกลางแจ้ง โดยทำเป็นซุ้มให้เลื้อยไต่ ซึ่งจะออกดอกดกและสวยงาม แต่ต้องหมั่นตัดยอดให้ขึ้นพันซุ้มและตัดแต่งทรงพุ่มให้โปร่ง
- ส่วนในอินเดียมีการนำใบอรคนธ์มาใช้แทนกระดาษทราย ลำต้นใช้ทำเป็นเชือก ทั้งต้นใช้เป็นยาเบื่อปลา
รูปแบบและขนาดวิธีใช้
- ใช้บำรุงกำลัง โดยใช้อรคนธ์ทั้งต้น มาผสมกับต้นเล้ง เปลือกต้นทุเรียน นำมาตำคั้นเอาน้ำผสมกับน้ำร้อนดื่ม หรือ จะตำแล้วนำมาห่อด้วยผ้าขาวบาง แล้วนำมาแช่ในเหล้าขาว ใช้จิบกินทีละน้อยก็ได้
- ใช้แก้อาการตกเลือดภายในปอด โดยนำทั้งต้นอรคนธ์มาต้มกับน้ำดื่ม
- ใช้ขับปัสสาวะ โดยนำรากอรคนธ์ มาต้มกับน้ำดื่ม
- รักษาแผลปาก โดยนำทั้งต้นอรคนธ์มาต้มกับน้ำอมกลั้วปาก
- ใช้แก้ผื่นคัน โดยนำใบและรากอรคนธ์มาตำพอกบริเวณที่เป็น
- ใช้แก้อาการบวม แก้ฝี โดยนำลำต้น หรือ รากอรคนธ์ นำมาผสมกับหญ้างวงช้าง ทั้งต้น งวงตาล รากกะดังใบ ผลมะพร้าว รากลำเจียก รากส้มกุ้ง เหง้าสับปะรด เหง้ายาหัว เปลือกต้นกัดลิ้น เปลือกต้นสะแกงแสง และเปลือกต้นมะม่วง ลำต้นเครือพลูช้าง ลำต้น หรือ รากเถาคันขาว ลำต้นก้อม ลำต้นไผ่ป่า ลำต้นไผ่ดง ลำต้นโพ ลำต้นรักดำ ลำต้นหนามพรม ลำต้นอ้อยแดง มาผสมกับน้ำดื่ม
- นอกจากนี้ในอินเดียยังมีการนำอรคนธ์มาใช้ แก้ไข้หวัด รักษาเลือดออกในปอด ใช้บ้วนปาก รักษาแผลร้อนในปากอีกด้วย
ลักษณะทั่วไปของอรคนธ์
อรคนธ์ จัดเป็นเถาเลื้อยเนื้อแข็ง เถาอ่อนเป็นสีน้ำตาลอมเขียว เถาแก่เป็นสีน้ำตาลแดง สามารถเลื้อยได้ไกล 10 เมตร เปลือกเถาเรียบ เมื่อแก่จะแตกเป็นสะเก็ดบางๆ
ใบอรคนธ์ เป็นใบเดี่ยวออกแบบเรียงสลับตามเถาและกิ่งก้าน ใบมีลักษณะเป็นรูปรีแกมขอบขนาน หรือ รูปไข่กลับมีขนาดกว้าง 3-5 เซนติเมตร ยาว 6-10 เซนติเมตร โคนใบสอบแหลมปลายใบมน หรือ แหลม ขอบใบจักเป็นซี่ห่างๆ แผ่นใบเรียบมีสีเขียว ผิวใบสากคาย มีขนตามเส้นใบด้านล่างและมีก้านใบสีแดงสั้น 0.5-10 เซนติเมตร
ดอกอรคนธ์ ออกเป็นช่อแบบแยกแขนงบริเวณปลายยอดปลายกิ่งโดยใน 1 ช่อดอกของอรคนธ์ จะมีดอกย่อย 3-8 ดอก ดอกมีกลิ่นหอมเย็น มีขนาด 2.5-3 เซนติเมตร มีกลีบเลี้ยงสีเขียวอมแดงหนา จำนวน 4 กลีบ แต่ละกลีบกว้าง 7-9 มิลลิเมตร ยาว 8-10 มิลลิเมตร ส่วนกลีบดอกเป็นรูปไข่กลับ เป็นสีขาว หรือ สีขาวอมชมพู มี 4-5 กลีบ ลักษณะมีขนาดกว้าง 6-8 มิลลิเมตร ยาว 12-15 มิลลิเมตร ตรงกลางดอกมีเกสรเพศผู้จำนวนมาก โผล่พันกลีบดอกออกมา โดยปลายก้านชูอับเรณูเป็นสีแดง ส่วนโคนก้านเป็นสีขาว รังไข่มี 3-4 คาร์เพล ด้านหลังมีขนแข็งประปราย
ผลอรคนธ์ ออกเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 3-4 ผล โดยผลเป็นผลแห้งแบบแคปซูลทรงกลมมีขนาดกว้างประมาณ 1 เซนติเมตร ปลายผลมีจะงอยแหลมยาว 2-6 มิลลิเมตร แตกเป็นแนวตะเข็บด้านเดียว ผลมีสีส้มถึงแดง ด้านในผลมีเมล็ดรูปไข่สีดำ กว้าง 2-3 มิลลิเมตร ยาว 3-4 มิลลิเมตร อยู่ประมาณ 2-4 เมล็ด ซึ่งเมล็ดจะมีเยื่อหุ้มเมล็ดมีสีแดงสด ยาวประมาณ 1 เซนติเมตร ที่ฐานเป็นชายครุย


การขยายพันธุ์อรคนธ์
อรคนธ์ สามารถขยายพันธุ์ได้โดยวิธีการใช้เมล็ด การตอนกิ่งและการปักชำ แต่ในปัจจุบันการขยายพันธุ์ของอรคนธ์จะเป็นการขยายพันธุ์โดยการใช้เมล็ดในธรรมชาติมากกว่าถูกนำมาปลูกและขยายพันธุ์โดยมนุษย์ เนื่องจากอรคนธ์ เป็นไม้เถาเนื้อแข็งขนาดใหญ่เถา เลื้อยได้ไกล จึงไม่นิยมนำมาปลูก ทั้งนี้อรคนธ์เป็นพันธุ์ไม้ที่ชอบดินร่วน ชอบความชื้นปานกลาง และชอบแสงแดดจัดตลอดวัน
องค์ประกอบทางเคมี
มีรายงานผลการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับองค์ประกอบทางเคมี ของสารสกัดจากส่วนลำต้นและเปลือกต้น รวมถึงส่วนใบและกิ่ง ของอรคนธ์ระบุว่าพบสารออกฤทธิ์ที่สำคัญหลายชนิดอาทิเช่น สารสกัดจากลำต้นและเปลือกต้นอรคนธ์ พบสาร wogonin, 5,8-Dihydroxy-7-methoxyflavone, norwogonin, Betulonic acid, tectochrysin, β-sitosterol และ quercetin ส่วนสารสกัดจากส่วนกิ่งและใบอรคนธ์ สารพบ catechin, epicatechin gallate และ isorhamnetin เป็นต้น

การศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของอรคนธ์
มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของสารสกัดอรคนธ์ จากลำต้น ใบ และกิ่ง ของอรคนธ์ยังระบุว่ามีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาหลายประการดังนี้
มีรายงานผลการศึกษาวิจัยฤทธิ์ต้านเบาหวานและเพิ่มการเผาผลาญ น้ำตาลในเลือด ระบุว่าสารฟลาโวนอยด์จากลำต้น ของอรคนธ์ (เช่น wogonin, norwogonin, techtochrysin และ quercetin) มีฤทธิ์ช่วยกระตุ้นการสร้าง adipocyte (adipogenesis) และเพิ่มการนำกลูโคสเข้าเซลล์ 3T3-L1 อย่างมีนัยสำคัญ โดยยืนยันด้วยการย้อมไขมัน (Oil Red O) และการวัด glucose uptake
อีกทั้งยังมีรายงานระบุว่าสารสกัดน้ำและเมทานอลจากส่วนใบของอรคนธ์มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดในหนูขาวที่ถูกเหนี่ยวนำให้เป็นเบาหวานด้วย alloxan โดยมีการวัด FBG, OGTT และพยาธิสัณฐานตับอ่อนร่วมด้วย อีกทั้งยังมีรายงานการศึกษาวิจัยฤทธิ์ต้านการอักเสบของสารสกัดเมทานอลจากลำต้น อรคนธ์ พบว่ามีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ xanthine oxidase และ lipoxygenase แบบ dose-dependent โดยสารสำคัญที่ออกฤทธิ์ ได้แก่ 5,7-dihydroxy-8-methoxyflavone และ kaempferol ซึ่งสามารถที่ยับยั้ง lipoxygenase ที่ความเข้มข้น 100 ppm ได้เท่ากับ 100% และ 90% ตามลำดับ ส่วนสาร Betulinic acid, kaempferol และ 5,7-dihydroxy-8-methoxyflavone สามารถยังยับยั้ง xanthine oxidase ที่ 95%, 90% และ 80% ตามลำดับ
นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าสารสกัด ethyl acetate จากกิ่งอรคนธ์พบปริมาณสาร phenolic และ flavonoid สูง อีกทั้งสารสกัดดังกล่าวแสดงฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระเป็นอย่างดี โดยมีค่า IC₅₀ (DPPH) ≈ 99.84 µg/mL และค่า FRAP ≈ 4296.67 mol/g
การศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาของอรคนธ์
มีรายงานผลการศึกษาวิจัยพิษเฉียบพลัน (acute toxicity) ของสารสกัดใบ น้ำ และเมทานอลจากส่วนใบของอรคนธ์ ในหนูทดลองพบว่า ค่า LD₅₀ เมื่อให้ทางปากแก่หนูทดลอง มีค่ามากกว่า 5,000 mg/kg และยังไม่พบการตาย หรือ ตัวชี้วัดความเป็นพิษ ภายในช่วงดังกล่าว
ข้อแนะนำและข้อควรระวัง
ผู้ป่วยเบาหวานที่ใช้ยาลดน้ำตาล ในเลือดควรยกเว้นการใช้อรคนธ์เป็นยาสมุนไพรในรูปแบบการรับประทาน อาจเกิดการเสริมฤทธิ์ลดน้ำตาล โดยควรติดตามระดับน้ำตาลและปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ร่วมกัน ส่วนผู้ป่วยโรคตับ โรคไต ควรหลีกเลี่ยง การใช้ในขนาดสูงและการใช้ต่อเนื่องระยะยาว เนื่องจากอาจทำให้ค่าตับและไต เลวร้ายลงได้ สำหรับบุคคลทั่วไปหากมีอาการไม่พึงประสงค์หลังการใช้อรคนธ์ เป็นสมุนไพร เช่น มีผื่นคัน แน่นหน้าอก เวียนศีรษะ และน้ำตาลตกควรหยุดใช้และพบแพทย์โดยด่วน
เอกสารอ้างอิง อรคนธ์
- มัณฑนา นวลเจริญ. พรรณไม้ป่าชายหาด.ปทุมธานี. สำนักพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ 2552. หน้า 136.
- เถาอรคนธ์. หนังสือสมุนไพรจากพื้นที่พรุในจังหวัดนราธิวาส. ฝ่ายโครงการพิเศษ กองแผนงาน สำนักวิจัยการจัดการป่าไม้และผลิตผลป่าไม้กรมป่าไม้. หน้า 18.
- มูลนิธิมหาวิทยาลัยมหิดล. (2548.) สารานุกรมสมุนไพร เล่ม 5 สมุนไพรพื้นบ้านอีสาน. หน้า 158.
- ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม. เชือกเขาไฟ. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย. ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. หน้า 278.
- ฐานข้อมูลสมุนไพรไทยเขตอีสานใต้. คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. อรคนธ์, [ออนไลน์]. 2025, แหล่งที่มา: https://phar.ubu.ac.th/herb-DetailPhargarden/156.
- Jacobs, M. (1953). The genus Tetracera (Dilleniaceae). Reinwardtia, 2, 206 (distribution note for T. indica).
- Miranda, F., Astuty, S., Sari, D., & Nurlely, N. (2016). Flavon compound from the ethyl acetate extract of the stem of supit (Tetracera indica Merr.). Molekul, 11(2), 103-109.
- Ogunlakin, A. O., et al. (2022). Phytochemistry and biological activities of Tetracera species. Trends in Phytochemical Research, 6(4), 265-284.
- Ahmed, Q. U., Lay, J. O., Taher, M., Susanti, D., Mandal, U. K., & Jaffri, J. (2012). Antidiabetic activity of the leaves of Tetracera indica Merr. (Dilleniaceae) in alloxan-induced diabetic rats. Journal of Medicinal Plants Research, 6(49), 5912-5922.
- Mohd Fauzi, F., Ho, C. L., et al. (2017). Flavonoids from Tetracera indica Merr. induce adipogenesis and exert glucose uptake activities in 3T3-L1 adipocyte cells. BMC Complementary and Alternative Medicine, 17,
 
         
	                         
	                         
                                 
                                 
                                 
                                 
                                 
                                 
                                 
                                 
                                 
                                
 
	                         
	                         
                                                 
                                                             
                                                             
                                                            