มังตาน ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย

มังตาน งานวิจัยและสรรพคุณ 11 ข้อ

ชื่อสมุนไพร มังตาน
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น ทะโล้, สารภีดอย, สารภีป่า, ไม้กาย (ภาคเหนือ), กาโซ่, คายโซ่, จำปาดง, กันโซก (ภาคเหนือ), พังตาน, พันตัน, กาโซ่, ม๊อแดกาต๊ะ (ภาคใต้), บุนนาค (ภาคตะวันออก), เส่ยือสะ, ถื้อซือสะ (กะเหรี่ยง)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Schima wallichii (DC.) Korth.
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Schima brevipes W.G. Craib., Gordonia wallichii DC.
ชื่อสามัญ Needle wood.
วงศ์ THEACEAE


ถิ่นกำเนิดมังตาน

มังตาน จัดเป็นพันธุ์ไม้หายากในวงศ์ชา (THEACEAE) ที่มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมในภูมิภาคเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่นใน อินเดีย เนปาล ภูฏาน พม่า และลาว เป็นต้น สำหรับในประเทศไทยสามารถพบมังตาน ได้มาก โดยมักจะพบได้ในป่าเบญจพรรณที่มีระดับความสูงประมาณ 600 เมตร หรือ ในป่าดิบชื้น ป่าดิบแล้ง หรือ ป่าดิบเขาที่มีระดับความสูง 2,000 เมตร จากระดับน้ำทะเล


ประโยชน์และสรรพคุณมังตาน

  1. แก้ขัดเบา
  2. แก้ลมชัก
  3. แก้ลมบ้าหมู
  4. ใช้ลดไข้
  5. รักษาโรคนิ่ว
  6. ใช้แก้อาการคลื่นไส้ อาเจียน
  7. แก้ปวดหู
  8. ใช้ถ่ายพยาธิ
  9. รักษาบาดแผล
  10. แก้แผลเน่า
  11. แก้ท้องร่วง

           มีการนำเปลือกต้นมังตานนำมาบดให้เป็นผง ใช้แต่กลิ่นธูปหอม ส่วนขี้เทาจากเปลือกใช้เป็นสีผสมอาหาร โดยจะให้สีเทาและในอดีตยังมีการนำเปลือกต้นมังตาน มาใช้เป็นยาเบื่อปลา ด้วยการนำเปลือกต้นสด ทุบให้พอแตก แล้วนำไปแช่ในน้ำบริเวณห้วย หรือ แม่น้ำเพื่อทำให้ปลาเกิดอาการมึนเมา จับได้ง่ายๆ และในส่วนเนื้อมังตานไม้สีน้ำตาลอมแดง มีเสี้ยนละเอียดสีขาว มีการนำมาแปรรูป ทำโครงสร้างต่างๆ ของบ้าน หรือ นำมาใช้ทำงานหัตถศิลป์ทั่วไป

มังตาน

รูปแบบและขนาดวิธีใช้

  • ใช้แก้ขัดเบา แก้ลมชัก ลมบ้าหมู โดยการนำดอกแห้งมังตานนำมาแช่ หรือ ชง ดื่มต่างน้ำ
  • ใช้ลดไข้ รักษาโรคนิ่ว โดยนำรากมังตานมาต้มกับน้ำดื่ม
  • ใช้แก้อาการคลื่นไส้ รักษาโรคนิ่ว โดยนำมังตาน มาต้มกับน้ำดื่ม
  • ใช้เป็นยาถ่ายพยาธิ โดยนำเปลือกต้นมังตานมาต้มกับน้ำดื่ม
  • ใช้ลดไข้ แก้ท้องร่วง โดยนำใบมังตานสดมาต้มกับน้ำดื่ม
  • ใช้แก้อาการปวดหู โดยนำต้นและกิ่งมังตาน มาต้มกับน้ำรอให้เย็นนำมาหยอดหู
  • ใช้แก้อาการคลื่นไส้ อาเจียน โดยนำลำต้น กิ่งและก้านอ่อนมังตาน มาต้มกับน้ำดื่มขณะอุ่น
  • ใช้รักษาบาดแผล แก้แผลเน่า โดยนำเปลือกต้นมังตานมาต้มกับน้ำ นำน้ำที่ได้มาล้างแผลเป็นประจำ


ลักษณะทั่วไปของมังตาน

มังตาน จัดเป็นไม้ยืนต้น ขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ไม่ผลัดใบ เรือนยอดเป็นพุ่มทึบแน่น มีความสูงของต้น 15-25 เมตร ลำต้นมีลักษณะเป็นทรงกระบอกเปล่าตรง เปลือกต้นด้านนอกขรุขระและมักแตกเป็นร่องลึกตามยาว หรือ แตกเป็นชิ้นรูปสามเหลี่ยมมีสีเทาปนน้ำตาลอ่อน หรือ เทาออกดำ เปลือกด้านในเป็นสีน้ำตาลแดง

           ใบหญ้าเกล็ดปลา เป็นใบเดี่ยว ออกแบบเรียงสลับบริเวณปลายกิ่ง ใบมีลักษณะขอบขนานแกมรี มีขนาดกว้าง 2.5-5 เซนติเมตร ยาว 4.5-17 เซนติเมตร โคนใบสอบ ปลายใบสอบแหลม ขอบใบเรียบ หรือ อาจมีหยักทู่ตื้นๆ หลังใบเกลี้ยงเป็นมันสีเขียวเข้ม ส่วนท้องใบและเส้นกลางใบมีขนขึ้นประปราย เมื่อมองด้วยตาเปล่าจะเห็นเส้นใบเป็นรูปร่างแหได้ชัดเจนและมีเส้นแขนงใบมีข้างละประมาณ10-15 เส้น ใบอ่อนเป็นสีแดง

           ดอกหญ้าเกล็ดปลา ออกเป็นดอกเดี่ยว หรือ อาจออกเป็นกลุ่มบริเวณปลายกิ่ง หรือ ซอกใบใกล้ปลายกิ่ง ดอกมีสีขาว หรือ สีขาวนวล มีกลิ่นหอม กลีบดอกมี 5 กลีบ มีลักษณะเป็นรูปร่างค่อนข้างกลม หรือ รูปไข่กลับมีขนาด 1.8-2.5 มิลลิเมตร โดยกลีบดอกล่างมักเล็กกว่ากลีบอื่น ตรงกลางดอกมีเกสรเพศผู้เป็นเส้นสีเหลืองยื่นออกมา จำนวนมาก ส่วนเกสรเพศเมีย 1 อัน และมีกลีบเลี้ยงเป็นสีเขียวอ่อนขนาดเล็ก โดยเมื่อดอกบานเต็มที่จะมีขนาดกว้าง 2.5-3 เซนติเมตร

           ผลหญ้าเกล็ดปลา เป็นผลเดี่ยว เปลือกผลแข็งมีลักษณะค่อนข้างกลมสีเขียวมีขนาด 2.5-3 เซนติเมตร บริเวณผิวผลมีขนสีน้ำตาลเข้มคล้ายเส้นไหมและเมื่อผลแก่จะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้มและแตกออกตามรอย 4-5 เสี่ยง โดยแต่ละส่วนจะเมล็ดรูปไตประมาณ 4-5 เมล็ด

มังตาน
มังตาน
มังตาน

การขยายพันธุ์มังตาน

มังตานสามารถขยายพันธุ์ได้โดยวิธีการใช้เมล็ดและการตอนกิ่ง แต่ด้วยความที่มังตานเป็นพันธุ์ไม้ป่าและส่วนเปลือกและเนื้อไม้ มีความเป็นพิษต่อผิวมนุษย์ ดังนั้น การขยายพันธุ์ของมังตานจึงถูกจำกัดแค่เพียงเป็นการขยายพันธุ์ โดยอาศัยเมล็ดที่ร่วงหล่นในธรรมชาติเท่านั้น ไม่นิยมนำมาปลูกโดยมนุษย์ อีกทั้งในปัจจุบันมังตาน ยังจัดเป็นพันธุ์ไม้ที่หายากเนื่องจากพื้นที่ป่าที่เป็นแหล่งของมังตานถูกรุกราน ทั้งนี้มังตานเป็นไม้ที่เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วน ต้องการความชื้นและแสงแดดปานกลาง


องค์ประกอบทางเคมี

มีรายงานผลการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับองค์ประกอบทางเคมีของสารสกัดจากส่วนต่างๆ ของมังตาน ระบุว่าพบสารออกฤทธิ์ที่สำคัญหลายชนิดอาทิเช่น

  • สารกลุ่มฟีนอลิก เช่น Gallic acid, Ellagic acid, Catechin, Epicatechin, hydrolysable tannins
  • สารกลุ่มฟลาโวนอยด์ เช่น Quercetin, Kaempferol, Myricetin, Rutin
  • สารกลุ่มไตรเทอร์พีนอยด์ เช่น Lupeol, Betulinic acid, Ursolic acid, Oleanolic acid
  • สารกลุ่มซาโปนิน เช่น Schimic acid, Schimidic acid, Schima saponin A, B
  • สารอื่นๆ ได้แก่ β-sitosterol, Linoleic acid

นอกจากนั้นน้ำมันหอมระเหยจากส่วนใบและดอกมังตานยังพบสาร α-Pinene, β-Pinene, Limonene


การศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของมังตาน

มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของสารสกัดจากส่วนต่างๆ ของมังตานระบุว่ามีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาหลายประการดังนี้

           ฤทธิ์ต้านจุลชีพ (Antimicrobial Activity) มีรายงานผลการศึกษาวิจัยสารสกัดเอทานอลจากเปลือกและใบของมังตานระบุว่ามีฤทธิ์ยับยั้ง เชื้อแบคทีเรียแกรมบวกและแกรมลบ เช่น Staphylococcus aureus, Escherichia coli, Pseudomonas aeruginosa และมีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อรา Candida albicans อีกด้วย

           ฤทธิ์ต้านอักเสบ (Anti-inflammatory Activity) มีรายงานผลการศึกษาวิจัยในหนูทดลอง โดยการทำให้อุ้งเท้าบวมด้วยคาราจีแนน จากนั้นจึงฉีดสารสกัดจากเปลือกต้นและใบของมังตานพบว่าสารสกัดเปลือกและใบช่วยลดการบวมได้อย่างมีนัยสำคัญ ส่วนอีกการศึกษาหนึ่งระบุว่าเมื่อแยกสาร triterpenoids ที่ได้จากสารสกัดมังตาน (ไม่ระบุส่วน) มาทดสอบฤทธิ์ต้านการอักเสบในเซลล์ macrophage RAW 264.7 โดยพบว่าสามารถยับยั้งการสร้าง Nitric Oxide (NO) ได้

           ฤทธิ์ต้านออกซิเดชัน (Antioxidant Activity) มีรายงานผลการวิจัยฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดใบและเปลือกมังตาน โดยใช้วิธี DPPH, ABTS, FRAP assay พบว่ามีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูง โดยมีฤทธิ์ใกล้เคียงกับสารมาตรฐาน (Ascorbic acid)

           ฤทธิ์ต้านมะเร็ง (Anticancer Activity) มีรายงานผลการศึกษาวิจัยระบุว่าสารสกัดจากใบของมังตานมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็งบางชนิด เช่น เซลล์มะเร็งตับ (HepG2) และมะเร็งเต้านม (MCF-7) โดยมีกลไกเกี่ยวข้องกับการเหนี่ยวนำให้เซลล์ตายแบบ apoptosis

           ฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือด (Antidiabetic Activity) มีรายงานการทดลองในหนูที่เป็นเบาหวานโดยการเหนี่ยวนำด้วย alloxan พบว่าสารสกัดเปลือกต้นมังตาน มีฤทธิ์ช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้เล็กน้อย

           ฤทธิ์ต้านพยาธิ (Anthelmintic Activity) จากการศึกษาวิจัยพบว่าสารสกัดเปลือกมีฤทธิ์ต้านพยาธิตัวกลม Pheretima posthuma ในหลอดทดลอง


การศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาของมังตาน

ไม่มีข้อมูล


ข้อแนะนำและข้อควรระวัง

เปลือกและเนื้อไม้ของมังตาน มีฤทธิ์ระคายเคืองกับผิว หากสัมผัสผิวหนังจะทำให้เกิดอาการคันได้และสำหรับการใช้มังตาน เป็นสมุนไพรในการบำบัดรักษาโรคนั้น ควรระมัดระวังในการใช้เช่นเดียวกันกับการใช้สมุนไพรชนิดอื่นๆ โดยควรใช้ในขนาดและปริมาณที่เหมาะสมที่ได้ระบุไว้ในตำรายาต่างๆ ไม่ควรใช้ในปริมาณที่มากจนเกินไป หรือ ใช้ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานานจนเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพในระยะยาวได้


เอกสารอ้างอิง มังตาน
  1. พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ, ดร.นิจศิริ เรืองรังสี, กัญจนา ดีวิเศษ, มังตาน, หนังสือสมุนไพร ในอุทยานแห่งชาติภาคกลาง, หน้า 126.
  2. หาญวิทย์ บุญเกียรติ. (2543). พรรณไม้ป่าไม้สักและป่าดิบเขา. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. 125 หน้า.
  3. ขวัญฤทัย คำฝาเชื้อ 2551 พฤกษศาสตร์พื้นบ้านของชาวกะเหรี่ยง ที่ตำบลบ้านจันทร์และแจ่มหลวง อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ วิทยานิพนธ์ (วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. 271 หน้า
  4. ศรีไพร ศรีนาม. (2553). การใช้ประโยชน์พรรณไม้ของชุมชนบ้านแม่กำปอง จังหวัดเชียงใหม่. วารสารวิจัยมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่, 1(2), หน้า 55-64.
  5. การ์ดเนอร์ ไซมอน. ไม้ป่าภาคใต้ เล่ม 3 (Mo-Z). กรุงเทพฯ: อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน),2561. 880 หน้า.
  6. Wang, J., et al. (2014). “Triterpenoids from Schima wallichii and their anti-inflammatory activity.” Phytochemistry Letters, 7, 84-88.
  7. Devi, R., et al. (2013). “Acute toxicity study of Schima wallichii bark extract in Swiss albino mice.” International Journal of Pharmacy and Pharmaceutical Sciences, 5(2), 452-455.
  8. Jahan, N. et al. (2013). Evaluation of antidiabetic activity of Schima wallichii bark extract in alloxan induced diabetic rats. International Journal of Pharmaceutical Sciences and Research, 4(8): 3024-3027.  
  9. Devi, R., et al. (2012). “Anti-inflammatory activity of Schima wallichii stem bark extracts in rats.” Journal of Natural Remedies, 12(1), 58-63.
  10. Uprety, Y. et al. (2010). “Use of medicinal plants in the Rasuwa district, Central Nepal.” Journal of Ethnobiology and Ethnomedicine 6(3): 1-12.
  11. Choudhury, M. D., & Andola, H. C. (2012). Phytochemical and antimicrobial screening of Schima wallichii. International Journal of Pharmaceutical Sciences and Research, 3(12): 4942-4945.
  12. Baruah, R. et al. (2011). In vitro anthelmintic activity of Schima wallichii bark extract. Journal of Chemical and Pharmaceutical Research, 3(2): 312-315.
  13. Choudhury, M. D., & Andola, H. C. (2012). “Phytochemical and antimicrobial screening of Schima wallichii.” International Journal of Pharmaceutical Sciences and Research, 3(12), 4942-4945.
  14. Ghosh, L. & Roy, A. (2010). Phytochemical screening and antioxidant activity of Schima wallichii leaf extract. Journal of Medicinal Plants Research, 4(22): 2358-2362
  15. Momin, M., et al. (2017). “In vitro antioxidant and anticancer activities of Schima wallichii leaf extract.” Journal of Applied Pharmaceutical Science, 7(4), 161–165.