พะวา ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย
พะวา งานวิจัยและสรรพคุณ 9 ข้อ
ชื่อสมุนไพร พะวา
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น มะป่อง, มะดะขี้นก, ขวาด (ภาคเหนือ), สรภีป่า, มังคุดป่า, ชะม่วง (ภาคกลาง), หมากวัก, กวักไหม (ภาคอีสาน), พะยา, กะวา, ลูกวา, วาน้ำ (ภาคใต้)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Garcinia celebica Linn.
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Garcinia speciosa Wall.
วงศ์ CLUSIACEAE
ถิ่นกำเนิดพะวา
พะวา จัดเป็นพืชในวงศ์ มังคุด (CLUSACEAE) ที่มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมบริเวณป่าดิบชื้นของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ครอบคลุมพื้นที่ประเทศพม่า ไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย จากนั้นจึงได้มีการแพร่กระจายพันธุ์ไปยังอินเดีย บังกลาเทศ และศรีลังกา สำหรับในประเทศไทยสามารถพบพะวา ได้ทั่วทุกภาคของประเทศ แต่จะพบได้มากในป่าดิบชื้นในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออกและภาคใต้ ที่มีระดับความสูงจากระดับน้ำทะเล จนถึง 700 เมตร
ประโยชน์และสรรพคุณพะวา
- ช่วยทำให้เจริญอาหาร
- โรครักษาลม
- แก้โลหิตพิการ
- แก้ไข้ตัวร้อน
- ใช้เป็นยาฝาดสมาน
- แก้แผลในปากและลำคอ
- แก้ท้องร่วง
- ใช้แก้ท้องเสีย
- ใช้เป็นยาระบาย
มีการนำผลสุกของพะวามารับประทานเป็นผลไม้ โดยเนื้อหุ้มเมล็ดมีรสเฝื่อน ออกเปรี้ยว ส่วนเนื้อไม้ของพะวาจะเป็นไม้เนื้อแข็ง สีน้ำตาลแดง มีความแข็งแรงเสียนไม้ละเอียด จึงมีการนิยมนำมาใช้ในการก่อสร้าง นอกจากนี้ส่วนของใบพะวา ยังสามารถนำมาใช้ย้อมผ้า ได้อีกด้วย โดยจะให้สีน้ำตาล
รูปแบบและขนาดวิธีใช้
- ใช้ช่วยให้เจริญอาหาร แก้โรคลมต่างๆ แก้โลหิตพิการ แก้ไข้ตัวร้อนโดยนำดอกแห้งพะวา มาต้มกับน้ำดื่ม
- ใช้ลดไข้ ใช้เป็นยาฝาดสมาน แก้แผลในปากและลำคอ โดยนำเปลือกต้นและใบพะวามาต้มรวมกันใช้ดื่ม หรือ ใช้กลั้วคอ กลั้วปาก
- ใช้แก้ท้องร่วง แก้ท้องเสีย โดยนำเปลือกผลพะวาสดมาต้มกับน้ำดื่ม
- ใช้เป็นยาระบาย โดยนำใบแห้งพะวามาต้มกับน้ำดื่ม หรือ นำผลสุกพะวา มารับประทานสดก็ได้
ลักษณะทั่วไปของพะวา
พะวา จัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง ถึงขนาดใหญ่ทรงพุ่มทึบเป็นรูปโดมมีความสูงได้ 10-20 เมตร ลำต้นตั้งตรง เปลือกต้นค่อนข้างบางเป็นสีเท่าดำ เปลือกในมีสีส้มถึงแดง แตกเป็นแผ่น หรือ เป็นร่องตื้นๆ เปลือกต้นมันมียางสีเหลืองซึมออกมาส่วนใบและผลจะมียางสีขาว นอกจากนี้พะวายังแยกเป็นต้นเพศผู้และเพศเมียอีกด้วย
ใบพะวา เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงตรงข้ามกันเป็นคู่ๆ บริเวณกิ่งก้านใบมีลักษณะเป็นรูปรี หรือ รูปขอบขนาน กว้าง 4-8 เซนติเมตร และยาว 8-15 เซนติเมตร โคนใบสอบปลายใบมนกว้าง ขอบใบเรียบ แผ่นใบเรียบมีสีเขียวค่อนข้างหน้า ผิวใบเป็นมันทั้งสองด้าน มองเห็นเส้นแขนงใบถี่ ส่วนเส้นกลางใบทางด้านหลังใบเป็นร่องชัดเจน
ดอกพะวา ออกเป็นช่อกระจุก คล้ายกับดอกชะมวงบริเวณปลายกิ่ง โดยเป็นดอกแบบแยกเพศต่างต้น ดอกเพศผู้มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2 เซนติเมตร สีเหลืองอ่อนและมีกลิ่นหอม ลักษณะของดอกเป็นรูปทรงกลมรี มีกลีบเลี้ยง 4 กลีบ กลีบวงนอกเป็นรูปไข่ ส่วนกลีบวงในเป็นรูปไต มีเกสรเพศผู้จำนวนมาก หลังจากดอกบานประมาณ 24-28 ชั่วโมง ดอกเพศผู้จะเหี่ยวและร่วงหล่น สำหรับดอกเพศเมียมีกลีบเลี้ยงคล้ายดอกเพศผู้ แต่กลีบดอกจะยาวกว่าและจะออกดอกเป็นดอกเดี่ยว มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2 เซนติเมตร มีกลีบเลี้ยงสีเหลือง 4 กลีบ และกลีบดอกสีเหลือง 4 กลีบ ตรงกลางเป็นที่ตั้งของรังไข่ ซึ่งจะพัฒนาต่อไปเป็นผลพะวา ปลายรังไข่มียอดเกสรเพศเมียมีลักษณะแฉกประมาณ 6-8 แฉก
ผลพะวา เป็นผลเดี่ยวมีลักษณะเป็นรูปไข่ผิวเรียบมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1-2 เซนติเมตร และยาว 1.5-3 เซนติเมตร ผลอ่อนเป็นสีเขียว เมื่อผลเริ่มแก่จนถึงผลสุกจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีเหลือง สีส้มและสีแดง ตรงขั้วผลจะมีกลีบเลี้ยง 4 กลีบ ปิดขั้วอยู่ด้านในผลมีเมล็ดสีเหลืองอ่อนลักษณะแบนยาวและมีร่องประมาณ 6 เมล็ด ส่วนเนื้อหุ้มเมล็ดในผลจะมีลักษณะเป็นกลีบใสและมีเส้นขาวขุ่น มีรสฝาดอมเปรี้ยว สามารถแยกเมล็ดออกจากเนื้อผลได้ง่าย
การขยายพันธุ์พะวา
พะวา สามารถขยายพันธุ์ได้เช่นเดียวกันกับมังคุด ซึ่งสามารถขยายพันธุ์ได้โดยวิธีการเพาะเมล็ด เสียบยอดและทาบกิ่ง แต่วิธีที่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน คือ การเพาะเมล็ด เนื่องจากจะได้ต้นพันธุ์ที่มีความสมบูรณ์แข็งแรง ส่วนวิธีการขยายพันธุ์พะวา นั้นสามารถทำได้โดยเริ่มจาก เลือกต้นพันธุ์ที่มีความสมบูรณ์ แข็งแรง ที่มีอายุได้ต่ำกว่า 2 ปี หรือ ความสูง 30 เซนติเมตรขึ้นไป ซึ่งได้จากการเพาะเมล็ดเสียบยอด, ทาบกิ่ง จากนั้นจึงทำการเตรียมพื้นที่โดยไถพรวน ปรับพื้นที่ให้เรียบและขุดร่องระบายน้ำ แต่หากเป็นพื้นที่ดอนที่เคยปลูกไม้ยืนต้นมาก่อนไม่ต้องไถพรวน หากเป็นพื้นที่มีน้ำท่วมขังไม่มาก ให้นำดินมาเทกองตามผังปลูกสูงประมาณ 1.0-1.5 เมตร เพื่อจะทำการปลูกบนสันกลางกองดิน จากนั้นกำหนดระยะปลูกโดยควรปลูกระบบแถวกว้างต้นชิด ให้มีระยะปลูกระหว่างแพวและต้น 8x3 เมตร หรือ 10x5 เมตร แล้วจึงขุดหลุม กว้าวxยาวxลึก ประมาณ 50x50x50 เซนติเมตร แล้วจึงผสมดินปลูกด้วยหญ้าแห้ง ปุ๋ยคอกและปุ๋ยเคมี ทำการตากดินไว้ระยะหนึ่งจนดินยุบตัวคงที่ แล้วเติมดินผสมลงไปอีกจนเต็ม แล้วทำการปลูกต้นพันธ์ในหลุม กลบดินรอบต้นพันธุ์ให้แน่น ผูกยึดต้นกล้าติดกับไม้หลัก เพื่อกันการโยกคลอนของต้นแล้วรดน้ำให้ชุ่ม
องค์ประกอบทางเคมี
มีรายงานผลการศึกษาวิจัยองค์ประกอบทางเคมีของส่วนเปลือกและผลของพะวา ระบุว่าสารออกฤทธิ์ที่สำคัญหลายชนิดดังนี้
- สารกลุ่ม Xanthones ได้แก่ garcinone E สารกลุ่ม Triterpenoids ได้แก่taraxerol, betulinic acid, betulin
- สารกลุ่ม Benzophenones ได้แก่ polyprenylated benzophenones
- สารกลุ่ม Flavonoids ได้แก่ Depsidones, catechin
- สารกลุ่ม Sesquiterpenes เช่น β-caryophyllene, α-copaene, germacrene D เป็นต้น
การศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของพะวา
มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของสารสกัดจากส่วนใบ ราก เปลือกต้น และเปลือกผลของพะวา ระบุว่ามีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาหลายประการดังนี้
ฤทธิ์ต้านมะเร็ง มีรายงานผลการศึกษาวิจัยสารสกัดจากเปลือกต้นและใบของพะวาระบุว่า สามารถแสดงฤทธิ์ต้านเซลล์มะเร็งหลายชนิด เช่น MCF-7 (มะเร็งเต้านม), HeLa (มะเร็งปากมดลูก) และ A549 (มะเร็งปอด) โดยมีค่า IC₅₀ อยู่ในช่วง 10-45 µg/mL
ฤทธิ์ต้านจุลชีพ มีรายงานว่าสารสกัดพะวา จากเปลือกต้นและน้ำมันหอมระเหยจากใบของพะวามีฤทธิ์ต้านแบคทีเรียแกรมบวกและแกรมลบ โดยเฉพาะต่อเชื้อแบคทีเรีย Bacillus subtilis และ Proteus mirabilis อีกทั้งยังมีการศึกษาหนึ่งระบุว่า เมื่อนำสาร biphenyls และ triterpenes บริสุทธิ์ที่ได้จากเปลือกผลพะวามาวิเคราะห์หาโครงสร้างทางเคมีและเมื่อนำไปทดสอบการออกฤทธิ์ทางชีวภาพพบว่า สารดังกล่าวมีฤทธิ์ต้านเชื้อเอดส์ได้ทั้งในระดับเซลล์และในระดับโมเลกุลได้ อีกทั้งยังมีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อมะเร็งและลดอาการบวมของเนื้อเยื่อได้อีกด้วย
ฤทธิ์ต้านมาลาเรีย มีรายงานผลการศึกษาวิจัยพบว่าสาร catechin ที่แยกได้จากใบของพะวาแสดงฤทธิ์ต้านเชื้อ Plasmodium falciparum โดยมีค่า IC₅₀ ประมาณ 2.99 µM โดยเชื่อว่าสารดังกล่าวเข้าไปแสดงฤทธิ์ผ่านการกระตุ้น oxidative stress ในปรสิต
ฤทธิ์ต้านออกซิเดชัน มีรายงานผลการศึกษาวิจัยระบุว่าสารสกัดจากรากและเปลือกต้นของพะวา มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูง โดยเฉพาะสาร polyprenylated benzophenones ที่มีค่า IC₅₀ ต่ำในการทดสอบ DPPH, ABTS และ FRAP
ฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ cholinesterase มีรายงานว่าสารสกัดจากเปลือกต้นของพะวาแสดงฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ acetylcholinesterase (AChE) และ butyrylcholinesterase (BChE) ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับโรคอัลไซเมอร์ โดยสารสกัดดังกล่าวมีค่า IC₅₀ อยู่ในช่วง 13.7-32.2 µg/mL
การศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาของพะวา
ไม่มีข้อมูล
ข้อแนะนำและข้อควรระวัง
ในการใช้พะวาเป็นสมุนไพรในการบำบัดรักษาโรคนั้น ควรระมัดระวังในการใช้เช่นเดียวกันกับการใช้สมุนไพรชนิดอื่นๆ โดยควรใช้ในขนาดและปริมาณที่เหมาะสม ที่ได้ระบุไว้ในตำรับตำรายาต่างๆ ไม่ควรใช้ในขนาดที่มากจนเกินไป หรือ ใช้ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานานจนเกินไป เพราะอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวได้ นอกจากนี้ผลสุกของพะวา มีรสเปรี้ยวหากรับประทานในปริมาณที่มากอาจทำให้เกิดอาการท้องเสียได้
เอกสารอ้างอิง พะวา
- มัณฑนา นวลเจริญ. พรรณไม้ป่าชายหาด. ปทุมธานี. สำนักพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ 2552. หน้า 147
- ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม. พะวา. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. หน้า 553-554.
- ไซมอน การ์ดเนอร์. พินดา สิทธิสุนทร และก่องกานตา ชยามฤต, ไม้ป่าภาคให้เล่ม 1. ครั้งที่ 1 กรุงเทพ : โครงการจัดพิมพ์คบไฟ : 2559 (หน้า 354-355)
- ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย เต็ม สมิตินันทน์ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2557 กรุงเทพฯ : สำนักงานหอพรรณไม้ สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืชกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์บ้าน และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, 2557 (หน้า 261)
- อรทัย เนียมสุวรรณ. นฤมล เล้งนนท์. กรกนก ยิ่งเจริญ. พัชรินทร์ สิงห์ดำ. 2555. พฤกษศาสตร์พื้นบ้านของพืชกินได้จากป่าชายเลนและป่าชายหาดบริเวณเขาสทิงพระ จังหวัดสงขลา. วารสารวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น. 40 (3): 981-991
- คู่มือการปลูกมังคุด. กลุ่มสื่อส่งเสริมการเกษตร ส่วนส่งเสริมและเผยแพร่สำนักพัฒนาการถ่ายทอดเทคโนโลยี. กรมส่งเสริมการเกษตรกระทรวงเกษตรและสหกรณ์. 35 หน้า.
- Sari, M., et al. (2017). “Catechin Isolated from Garcinia celebica Leaves Inhibit Plasmodium falciparum Growth through the Induction of Oxidative Stress.” Tropical Journal of Pharmaceutical Research, 16(7), 1571-1576.
- Tan, W.-N., et al. (2020). “Sesquiterpenes rich essential oil from Garcinia celebica L. and its cytotoxic and antimicrobial activities.” Natural Product Research, 34(23), 3404-3408.
- Yusof, N. A., et al. (2021). “Biological Activity Evaluation and In Silico Studies of Polyprenylated Benzophenones from Garcinia celebica.” Biomedicines, 9(11), 1654.