มะละกอ ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆและข้อมูลงานวิจัย

มะละกอ งานวิจัยและสรรพคุณ 26 ข้อ

ชื่อสมุนไพร มะละกอ
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น มะก๊วยเต๊ด (ภาคเหนือ), บักหุ่ง (ภาคอีสาน), ลอกอ (ภาคใต้), กล้วยลา (ยะลา), มะเต๊ะ (ปัตตานี), แตงต้น (สตูล), หมากซางพ่อ (ไทยใหญ่), สะกุยเส่ (กะเหรี่ยง)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Carica papaya L
ชื่อสามัญ Papaya
วงศ์ CARICACEAE

ถิ่นกำเนิดมะละกอ

มะละกอเป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนของอเมริกากลาง โดยมีการสันนิษฐานกันว่าได้กระจายพันธุ์เข้ามาในหมู่เกาะฟิลิปปินส์ และทวีปเอเชียราวปลายศตวรรษที่ 10 ประเทศ ที่ฟิลิปปินส์เป็นที่แรก สำหรับประเทศไทยนั้น สันนิษฐานว่ามะละกอ ถูกนำเข้ามาปลูกครั้งแรก ตั้งแต่เริ่มติดต่อค้าขายกับชาวยุโรปในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี จากนั้นจึงกระจายพันธุ์โดยการถูกนำไปปลูกในทุกภาคของประเทศไทย และในปัจจุบันก็สามารถพบเห็นได้ทั่วไปทุกหมู่บ้านทุกภาคของประเทศไทยจนกลายเป็น “ผักผลไม้” ยอดนิยมชนิดหนึ่งของไทยไปแล้ว
 

ประโยชน์และสรรพคุณมะละกอ

  • บำรุงหัวใจ
  • รักษาผดผื่นคัน
  • รักษาแผลพุพอง
  • รักษาแผลอักเสบ
  • แก้ขัดเบา
  • ช่วยขับปัสสาวะ
  • ช่วยป้องกันนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะ
  • แก้ปวดกล้ามเนื้อ
  • รักษากล้ามเนื้ออ่อนแรง
  • ช่วยขับถ่ายพยาธิ
  • แก้กระหายน้ำ
  • ใช่เป็นยาระบายอ่อนๆ
  • รักษาแผลไฟไหม้
  • รักษาแผลน้ำร้อนลวก
  • ใช่บำรุงธาตุ
  • ช่วยบำรุงประสาท และสมอง
  • แก้ธาตุไม่ปกติ
  • ช่วยย่อยอาหาร
  • แก้กระเพาะอาหารอักเสบ
  • แก้ลักปิดลักเปิด
  • แก้เลือดออกตามไรฟัน
  • แก้ปวดฟัน
  • ถ่ายพยาธิไส้เดือน
  • รักษาโรคกัดหูด
  • ใช้ลบรอยฝ้าบนใบหน้า
  • รักษากลากเกลื้อน

           มะละกอถูกนำมาใช้บริโภคเป็นผักได้หลายส่วนด้วยกัน เช่น ผล(ดิบ) ยอด และใบ แต่ส่วนที่ใช้มากที่สุด คือ ผล ซึ่งอาจนำผลดิบมาใช้บริโภคดิบ นำมาปรุงอาหาร นอกจากนี้ยังมีการนำเนื้อมะละกอดิบ มาดองเป็นผักดอง หรือ นำมาดองเกลือ ตากแห้ง เป็นตังฉ่าย ใช้ปรุงอาหารจีนก็ได้ ส่วนยอดอ่อนก็สามารถนำมาดองรับประทานได้เช่นกัน อีกทั้งผลสุกก็นิยมนำมาใช้รับประทานเป็นผลไม้ซึ่งมีรสหวานหอมอร่อย และมีคุณค่าคุณประโยชน์มากอีกด้วย 

         นอกจากนี้ในอุตสาหกรรมอาหารยังมีการนำเอนไซม์ปาเปน (papain) ที่พบในยางมะละกอ มาใช้ในกระบวนการหมัก เบียร์ไวน์ และน้ำผลไม้ หรือ เครื่องดื่ม เพื่อทำให้ใส เนื่องจากเอนไซม์ปาเปนจะทำหน้าที่ย่อยโปรตีนโมเลกุลใหญ่ที่แขวนลอยในสารละลาย ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดตะกอนขุ่น ให้มีโมเลกุลเล็กลงส่งผลให้ได้สารละลายที่ใสไม่ขุ่นเมื่อเก็บรักษาไว้นาน หรือ ในอุณหภูมิต่ำ และนำมาผลิตผงหมักเนื้อสำเร็จรูปที่ทำให้เนื้อนุ่ม (meat tenderizer) โดยใช้เอนไซม์ปาเปนนำมาคลุกเคล้ากับเนื้อสัตว์เพื่อย่อยเนื้อสัตว์ที่เหนียวให้นุ่ม และเปื่อยมากขึ้น ในอุตสาหกรรมฟอกหนัง จะผสมเอนไซม์ปาเปนในน้ำยาแช่หนังเอนไซม์ปาเปนจะทำให้หนังเรียบ และนุ่มส่วนอุตสาหกรรมทอผ้ามีการใช้เอนไซม์ปาเปนในการฟอกไหมโดยมีผลทำให้ไหมหมดเมือก และในผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และเครื่องสำอางก็มีการใช้เอนไซม์ปาเปนเป็นส่วนผสมเช่นกันเนื่องจากเอนไซม์ปาเปน มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ ลดรอยแผลได้
 

รูปแบบและขนาดวิธีใช้มะละกอ

ใช้เป็นยาบำรุงธาตุ, แก้ธาตุไม่ปกติ, เป็นยาระบาย ช่วยย่อยอาหาร แก้กระเพาะอักเสบ แก้เลือดออกตามไรฟัน แก้ลักปิดลักเปิด โดยใช้ผลสุก รับประทานเป็นผลไม้ ใช้เป็นยาช่วยย่อยอาหาร ยาระบายอ่อนๆ ขับปัสสาวะ โดยใช้เนื้อมะละกอดิบ ประกอบอาหาร (ทั้งแบบปรุงสุก หรือ ปรุงแบบดิบ) แก้ขัดเบา ขับปัสสาวะ ป้องกันนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะ ด้วยการใช้รากสดประมาณ 1 กำมือ รากแห้งอีกครึ่งกำมือ หั่นแล้วนำมาต้มกับน้ำ แล้วนำน้ำมาดื่มวันละ 3 ครั้งก่อนมื้ออาหาร 

  • ใช้รักษาเท้าบวม โดยนำใบมะละกอ สดๆ มาตำให้ละเอียดแล้วผสมกับเหล้าขาว นำมาพอกบริเวณที่เป็น
  • ใช้ช่วยแก้อาการเคล็ดขัดยอก โดยใช้รากมะละกอนำมาตำให้แหลกแล้วผสมกับเหล้าขาว นำมาทาบริเวณที่เป็น
  • ใช้ลดอาการปวดบวม โดยนำใบมะละกอสดๆ ไปย่างไฟ หรือ ใช้น้ำร้อนลวก แล้วนำมาประคบบริเวณที่มีอาการ
  • ใช้รักษาแผลพุพอง อักเสบ โดยใช้ใบมะละกอที่แห้งกรอบมาบดให้เป็นผง นำไปผสมกับน้ำกะทิผสมให้พอเหนียว แล้วนำมาทาแผลวันละ 3 ครั้ง
  • ใช้รักษาอาการปวดกล้ามเนื้อหรือกล้ามเนื้อไม่มีแรง โดยใช้รากมะละกอตัวผู้นำมาแช่เหล้าขาวทิ้งไว้ 7 วัน และกรองเอาน้ำมาทาบริเวณที่กล้ามเนื้อ หรือ บริเวณที่เป็น
  • ใช้รักษาโรคกลาก เกลื้อน เท้าเปื่อย โดยใช้ยางมะละกอดิบมาทาวันละ 3 ครั้ง
  • ใช้รักษาแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก โดยใช้เนื้อมะละกอดิบๆ ต้มจนเปื่อย นำมาตำแล้วพอกบริเวณที่เป็น

 

ลักษณะทั่วไปของมะละกอ

มะละกอ ไม้ล้มลุก เนื้ออ่อน อายุหลายปี ลำต้นตรงไม่มีกิ่งก้าน สูง 3-6 เมตร เปลือกต้นเรียบ (แต่มีร่องรอยของใบที่หลุดร่วงไปเลย ทำให้ดูเหมือนลำต้นขรุขระ) สีน้ำตาลออกขาว ไม่มีแก่น มียางขาวข้น ใบเป็นใบเดี่ยวมีแฉกลึก 5-9 แฉก ก้านใบยาว ออกแบบเรียงสลับรอบต้น โดยจะเกาะกลุ่มอยู่ด้านบนสุดของลำต้น ใบเป็นรูปฝ่ามือมีขอบเว้าแฉกลึกลงถึงด้านใบ ซึ่งใบจะมีขนาด 80-120 เซนติเมตร ส่วนก้านใบเป็นหลอดกลวงยาว 25-100 เซนติเมตร โดยทั้งภายในก้านใบ และใบมียางเหนียวสีขาว ดอก เป็นดอกแยกเพศอยู่ต่างต้น ดอกเพศผู้ออกเป็นช่อยาวห้อยลง มีก้านดอกยาว กลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอดยาว 1.5-2.5 เซนติเมตร ปลายแยกเป็น 5 กลีบ เมื่อดอกบานจะมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 1.5-2.5 เซนติเมตร มีเกสรเพศผู้ 10 อัน ส่วนดอกเพศเมียออกเป็นดอกเดี่ยวก้านดอกสั้น หรือ ไม่มีก้านดอกเลย กลีบดอก 5 กลีบ ดอกมีขนาดใหญ่กว่าดอกเพศผู้ ทั้งนี้มะละกอบางต้นอาจมีดอกเพียงเพศเดียว แต่บางต้นอาจมีดอกทั้งสองเพศก็ได้ ผล เป็นแบบผลเนื้อมีหลายขนาดรูปทรงตั้งแต่กลม รี และยาว แบบกระสวย ขนาดของผล มีหลายขนาดแล้วแต่สายพันธุ์ ผลดิบมีเปลือกสีเขียว และมียางสีขาวจำนวนมาก และเปลี่ยนเป็นสีเหลืองถึงแสดเมื่อสุก เนื้อในผลเมื่อดิบมีสีขาวรสจืดเมื่อสุกมีสีเหลืองถึงแสดแดงรสชาติหอมหวาน เมล็ดมีลักษณะกลม เมื่อยังอ่อนมีสีขาวผิวขรุชระ เมื่อแก่จะเปลี่ยนเป็นสีดำ และมีเยื่อหุ้มเมล็ดสีขาวใส

มะละกอ 

มะละกอ 

การขยายพันธุ์มะละกอ

มะละกอสามารถขยายพันธุ์ได้ หลายวิธี เช่น การเพาะด้วยเมล็ด การปักชำ การติดตา การตอนกิ่ง แต่ที่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน คือ วิธีการเพาะเมล็ด เพราะทำได้ง่าย สะดวกรวดเร็ว และขยายพันธุ์ได้ครั้งละจำนวนมาก แต่จะต้องใช้เมล็ดจากต้นแม่พันธุ์ที่มีลักษณะเด่น และสมบูรณ์ที่สุด โดยมีวิธีการดังนี้

            เริ่มจากคัดเอาเมล็ดแก่ของมะละกอที่ตัดไว้ ตากให้แห้งแล้วจึงนำไปเพาะกับวัสดุเพาะชำโดยสามารถทำได้ 3 แบบ คือ

           1. การเพาะเมล็ดใส่ถุง

           2. การเพาะเมล็ดลงแปลงเพาะแล้วย้ายใส่ถุง

           3. การเพาะเมล็ดลงกระบะพลาสติก

           จากนั้นรดน้ำดูแลจนต้นกล้ามีอายุ 1 เดือน หรือ มีใบแท้ 5-6 คู่ ขั้นตอนต่อไป คือ การเตรียมหลุมปลูก โดยทำการขุดหลุม กว้าง ยาว ลึก อย่างละประมาณ 40-50 เซนติเมตร และปล่อยตากแดดประมาณ 4-7 วัน ก่อนปลูกให้รองพื้นด้วยปุ๋ยหมักหรือมูลสัตว์ ส่วนระยะปลูกควรมีระยะปลูกที่ 3×3 เมตร หรือ 2.5×3เมตร ต่อต้น  ทั้งนี้การปลูกมะละกอ นิยมปลูกในช่วงต้นฤดูฝน หรือ กลางฤดูฝนเพื่อให้ต้นกล้ามะละกอตั้งตัวได้เร็ว ในพื้นที่ที่มีระบบน้ำชลประทานสามารถปลูกได้ตลอดทั้งปี

องค์ประกอบทางเคมี

มีรายงานผลการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับองค์ประกอบทางเคมีจากส่วนต่างๆ ของมะละกอ ระบุว่าพบสารออกฤทธิ์สำคัญหลายชนิดดังนี้ ส่วนของเนื้อมะละกอ β-carotene, lutene, kryptoxanthin, violaxanthin, zeaxanthin, malic acid, Tartaric acid, citric acid และ pectin ในยางมะละกอ พบเอนไซม์ thiol protease หลายชนิดเช่น papain (โดยพบมากที่สุดผลดิบอายุ 70-100 วัน)  chymopapain A, B,  glycyl endopeptidase และ caricain เป็นต้น  ส่วนในใบพบสาร glycoside ที่ชื่อ carposide และสาร alkaloid ที่ชื่อ capaine และในเมล็ดยังพบสาร benzy l isothiocyanate อีกด้วย

 โครงสร้างมะละกอ

ที่มา : Wikipedia

การศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของมะละกอ

มีรายงานผลการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของมะละกอหลายฉบับดังนี้

            มีการศึกษาวิจัยฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระในมะละกอ พบว่ามะละกอมีสารต้านอนุมูลอิสระ สูงสุดเมื่อสุกงอม เนื่องจากคลอโรฟิลล์สีเขียวเปลี่ยนเป็นสารไม่มีสีที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระอย่างดีเยี่ยมชนิดหนึ่งที่ เรียกว่า NCCs (nonfluorescing chlorophyll catabolytes) ซึ่งพบสะสมบริเวณเปลือกผลและใต้ผิวเปลือก และยังมีการศึกษาวิจัย โดยนำสารละลายมะละกอหมัก (fermented papaya preperation ; FPP) ที่ความเข้มข้น 0 -10 มก./มล. มาทำการทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระในเซลล์อิสระ และในเซลล์เลือดของผู้ป่วยที่เป็นธัลลัสซีเมีย โดยใช้ 2′-7′-dichlorofluorescin-diacetate (DCF) พบว่า สารกสัดมะละกอ สามารถลดการเกิดอนุมูลอิสระในเซลล์อิสระทั้งใน DCF ที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดออกซิเดชันด้วย hydrogen peroxide และใน spontaneous DCF oxidation และในเซลล์เลือดของผู้ป่วยที่เป็นธัลลัสซีเมีย สารสกัดสามารถเพิ่มปริมาณ glutatione ในเซลล์เม็ดเลือดแดง เกร็ดเลือด และเม็ดเลือดขาว polymorphonuclear leukocytes (PMN) และลดการเกิดอนุมูลอิสระ reactive oxygen species, lipid peroxidation และ externalization phospatidylserine ซึ่งการออกฤทธิ์เหล่านี้จะมีผลในการลดการแตกของเม็ดเลือดแดงที่เป็นธัลลัสซีเมีย ลดการจับกินของ macrophage ทำให้ PMN สามารถเกิด oxidation burst ซึ่งเป็นกลไกในการทำลายแบคทีเรียภายในเซลล์ และทำให้เกร็ดเลือดทำงานได้ดีขึ้น และเมื่อทดลองให้ผู้ป่วยที่เป็นเบต้า-ธัลลัสซีเมีย จำนวน 11 คน (เป็น β-thalassemia intermedia 8 คน และเป็น β-thalassemia major 3 คน) กิน FPP ขนาด 3 ก. วันละ 3 ครั้ง นาน 3 เดือน พบว่า FPP สามารถลดการเกิดอนุมูลอิสระ reactive oxygen species และ lipid peroxidation และเพิ่มระดับ glutathione ทั้งในเม็ดเลือดแดง เกร็ดเลือด และ PMN ได้

           ฤทธิ์ต้านเชื้อรา Candida มีการศึกษาวิจัยองค์ประกอบทางเคมีของน้ำมันหอมระเหยจากเมล็ดมะละกอ (Carica papaya Linn.) พบว่าสารเคมีหลัก คือ benzyl isothiocyanate ซึ่งพบได้ถึง 99.36% และเมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ในการต้านเชื้อรา พบว่าสามารถต้านเชื้อรา Candida ได้แก่ C. albicans, C. glabrata, C. krusei, C. parapsilosis และ C. tropical และเมื่อทดสอบด้วยวิธี disc diffusion และ broth dilution โดยพบว่ามีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของ inhibition zone อยู่ในช่วง 14.2-33.2 มม. สาร benzyl isothiocyanate สามารถยับยั้ง C. albicans ซึ่งดื้อต่อ fluconazole ได้ โดยมีค่าความเข้มข้นต่ำสุดที่ยับยั้งเชื้อ (minimal inhibitory concentrations) อยู่ในช่วง 4-16 มคก./มล. และค่าความเข้มข้นต่ำสุดในการฆ่าเชื้อ (minimum fungicidal concentrations) อยู่ในช่วง 16-64 มคก./มล. 

           ฤทธิ์ขับปัสสาวะ มีการศึกษาวิจัยฤทธิ์ขับปัสสาวะของสมุนไพร 5 ชนิด ได้แก่ สับปะรด ( Ananas comosus (L.) Merr. ) มะละกอ ( Carica papaya Linn. ) หญ้าคา ( Imperata cylindrica (L.) Raeusch.) มะเฟือง ( Averrhoa carambola Linn. ) หญ้าแห้วหมู ( Cyperus rotundus Linn. ) โดยให้หนูทดลองพบว่า เมื่อให้กินสารสกัดน้ำจากรากสับปะรด และมะละกอในขนาดเทียบเท่ากับสมุนไพร แห้ง 10 g/kg จะทำให้ปริมาณปัสสาวะขึ้น 79% และ 74% ตามลำดับเมื่อเทียบกับยา hydrochlorothiazide ในขนาด 10mg/kg โดยปริมาณอิเลคโทรไลต์ในปัสสาวะเหมือนกับเมื่อได้รับยา hydrochlorothiazide โดยคาดว่ากลไกในการออกฤทธิ์ของมะละกออาจเป็นผลจากปริมาณเกลือที่พบมากในสารสกัด

           ฤทธิ์ป้องกันระบบประสาท มีผลการศึกษาวิจัยของฤทธิ์ป้องกันระบบประสาทจากสารสกัดน้ำของมะละกอสุก 2 พันธุ์ คือ พันธุ์แขกดำ พันธุ์ฮอลแลนด์ และมะละกอดิบพันธุ์แขกดำ ต่อการปลดปล่อย sAPP จากเซลล์สมองของมนุษย์ (SH-SY5Y neuroblastoma cell) และผลต่อฤทธิ์ของ acetylcholine esterase (AChE) ในเซลล์สมอง พบว่า สารสกัดจากมะละกอสุกพันธุ์แขกดำสามารถลดการปลดปล่อย sAPP, sAPPα และ sAPPβ ได้มากที่สุด ส่วนสารสกัดจากมะละกอดิบพันธุ์แขกดำ และสารสกัดจากมะละกอสุกพันธุ์ฮอลแลนด์ ก็สามารถลดการปลดปล่อย sAPP และ sAPPα ได้เช่นกัน แต่ประสิทธิภาพน้อยกว่า และผลต่อการปลอดปล่อย sAPPβ ไม่แตกต่างจากกลุ่มควบคุม สารสกัดของมะละกอสุกทั้ง 2 พันธุ์สามารถยับยั้งการทำงานของ AChE ในเซลล์สมองแบบขึ้นกับขนาดที่ให้ ในขณะที่สารสกัดจากมะละกอดิบพันธุ์แขกดำสามารถยับยั้งการทำงานของ AChE ในเซลล์สมองเมื่อให้ในขนาดความเข้มข้นสูงเท่านั้น (5มก./มล.) จากผลการวิจัยทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่า สารสกัดน้ำของมะละกอสุกโดยเฉพาะพันธุ์แขกดำ มีฤทธิ์ในการป้องกันระบบประสาทด้วยกลไกในการยับยั้งการทำงานของ AChE และยับยั้งกระบวนการเกิด APP ซึ่งมีผลลดการสร้าง Aβ

          ฤทธิ์ป้องกันภาวะเกล็ดเลือดต่ำ มีการศึกษาวิจัยฤทธิ์ป้องกันเกล็ดเลือดต่ำของใบมะละกอ (Carica papaya L.) ในหนูแรทที่มีภาวะเกล็ดเลือดต่ำ (thrombocytopenic) จากการได้รับยาบูซัลแฟน (Busulfan) พบว่าเมื่อป้อนส่วนสกัดอัลคาลอยด์ด้วยปีโตรเลียมอีเธอร์ หรือ ส่วนสกัดอัลคาลอยด์ด้วยเอธิลอะซีเตทจากใบมะละกอ ขนาด 200 มก./กก.น้ำหนักตัว หรือ สาร carpaine ซึ่งเป็นอัลคาลอยด์ที่แยกได้จากสารสกัดใบมะละกอ ขนาด 20 มก./กก.น้ำหนักตัว ติดต่อกัน 20 วัน สามารถป้องกันการเกิดภาวะเกล็ดเลือดต่ำในหนูแรทที่ได้รับยาบูซัลแฟนได้ โดยหนูแรทที่ได้รับสารสกัดจากมะละกอทั้ง 3 รูปแบบ จะคงปริมาณเกร็ดเลือดให้อยู่ในระดับใกล้เคียงกับปกติ คือ 662.25±33.12x109/ล., 584.02±29.20x109/ล., 555.5±27.77x109/ล. ตามลำดับ ในขณะที่กลุ่มที่ได้ยาบูซัลแฟนจะเกิดภาวะเกล็ดเลือดต่ำ (78.00x109/ล.) โดยไม่พบรายงานการเกิดพิษหรือความผิดปกติในสัตว์ทดลองที่ได้รับสารสกัดมะละกอ 

          ฤทธิ์คุมกำเนิดเพศชาย มีการศึกษาวิจัยโดยนำสารสกัดเมทานอลจากรากมะละกอ มาแยกต่อด้วยเทคนิคทางโครมาโตกราฟี ทำให้ได้ส่วนสกัดปิโตรเลียมอีเทอร์ (petroleum ether fraction) ซึ่งการทดสอบเบื้องต้นพบว่ามีผลต่ออสุจิมากที่สุด และเมื่อนำมาแยกต่อจนได้ส่วนสกัดจำนวน 3 ชนิด คือ CPFE1, CPFE2 และ CPFM1 จึงนำไปทดสอบฤทธิ์คุมกำเนิดในหนูแรทเพศผู้ โดยให้หนูกินส่วนสกัดดังกล่าวในขนาด 75 มก./กก./วัน ติดต่อกันนาน 28 วัน จากนั้นจึงทำการเก็บตัวอย่างเลือด อสุจิ และชำแหละซากหนูในวันที่ 60 ของการศึกษา โดยเปรียบเทียบผลกับหนูกลุ่มควบคุมที่ได้รับน้ำเปล่า ผลการตรวจวิเคราะห์ค่าชีวเคมีในเลือดพบว่า CPFE1 และ CPFM1 ทำให้ระดับเอนไซม์ aspartate aminotransferase (AST) เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (p<0.05) และ CPFE1 ทำให้ระดับ blood urea nitrogen (BUN) เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (p<0.05) แต่ไม่มีผลต่อระดับของผลรวม bilirubin, alkaline phosphatase, alkaline amino transferase, gamma glutamyl transferase และ triglycerides อย่างชัดเจน (p>0.05) ผลการวิเคราะห์ลักษณะของอสุจิพบว่า CPFE1 และ CPFM1 ทำให้ปริมาณของอสุจิ อสุจิที่มีการเคลื่อนไหวปกติ และอสุจิที่มีรูปร่างปกติ มีจำนวนลดลงอย่างมีนัยสำคัญ (p<0.05) รวมทั้งเหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบของอัณฑะ (testiscular inflammation) ผลการตรวจวิเคราะห์ตัวอย่างเนื้อเยื่อจากอวัยวะภายในพบว่า CPFE1 และ CPFM1 ทำให้เกิดภาวะเลือดคั่ง (hyperaemia) ในไต และหัวใจเล็กน้อย และทำให้เกิดการเสื่อมสภาพของเซลล์ตับบางส่วน นอกจากนี้ CPFE1 ยังทำให้เกิดการตายของเซลล์บริเวณเยื่อบุผิว (germinal epithelium) ในอัณฑะ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้อสุจิมีจำนวนลดลง และอสุจิที่มีรูปร่างผิดปกติมีจำนวนเพิ่มขึ้น 

           ส่วนอีกการศึกษาวิจัยหนึ่งได้ทดลองให้หนูขาวเพศผู้กินเบนซีนแฟรกชั่นของสารสกัดคลอโรฟอร์มจากเมล็ดมะละกอ (Carica papaya L.) ขนาด 5 และ 10 มก./ วัน นาน 150 วัน พบว่ามีผลลดจำนวน และลดการเคลื่อนที่ของสเปิร์มใน cauda epididymis นอกจากนั้นยังลดจำนวนสเปิร์มที่มีชีวิต และเพิ่มจำนวนสเปิร์มที่มีลักษณะผิดปกติ โดยเริ่มเห็นผลเหล่านี้ภายหลังให้สารสกัดนาน 60 วัน แต่หลังจากหยุดให้สารสกัดแล้ว 60 วัน ผลต่างๆ ต่อสเปิร์มจึงมีค่ากลับเป็นปกติ

           ฤทธิ์รักษาแผลไฟไหม้  มีการศึกษาวิจัยประสิทธิภาพของเจลยางมะละกอในการรักษาแผลไฟไหม้ในหนูถีบจักรเพศผู้ โดยแบ่งการทดลองเป็น 5 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 (negative control) ไม่ต้องทายาชนิดใด กลุ่มที่ 2 ทา Carbopol 974P NF gel กลุ่มที่ 3 และ 4 ทา Carbopol gel ซึ่งประกอบด้วยยางมะละกอแห้งเข้มข้น 1.0 % และ 2.5 % ตามลำดับ กลุ่มที่ 5 (positive control) ทายามาตรฐานครีมที่มี silver sulphadiazine ผสมกับ chlorhexidine gluconate ซึ่งขนาดของยาที่ใช้ในกลุ่มที่ 2–5 เท่ากับ 100 มิลลิกรัม/1 ตัว โดยทาวันละ 1 ครั้ง บริเวณแผลไฟไหม้จนกระทั่งแผลหาย ในวันที่ 11 ของการรักษาทำการวัดหาปริมาณ hydroxyproline ในเนื้อเยื่อแผล พบว่ากลุ่มที่ 3 ปริมาณ hydroxyproline เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ 1 วัดขนาดของแผลทุกๆ 4 วัน เพื่อหาค่า การหดตัวของแผลพบว่าในวันที่ 12 กลุ่มที่ 4 และในวันที่ 20 กลุ่มที่ 3, 4 และ 5 มีการหดตัวของแผลเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้เมื่อวัดค่าการเกิดผิวหนังคลุมบริเวณแผล พบว่า ในกลุ่มที่ 4 ใช้ระยะเวลาสั้นที่สุด

การศึกษาทางพิษวิทยาของมะละกอ

มีการศึกษาความเป็นพิษเฉียบพลันของสารสกัด 80% เมทานอลจากรากมะละกอ (Carica papaya) โดยป้อนหนูแรทในขนาด 500 1,000 1,500 และ 2,000 มก./กก. เพียงครั้งเดียว จากนั้นเฝ้าสังเกตอาการเป็นเวลานาน 24 และ 48 ชม. พบว่า สารสกัดทุกขนาดไม่ทำให้หนูตายแต่มีผลต่อพฤติกรรมบางอย่าง เช่น ทำให้เกิดภาวะซึมเศร้า การเคลื่อนไหวช้าลง มีอาการเดินเซ และปัสสาวะเพิ่มขึ้น

          นอกจากนี้ยังมีการศึกษาความเป็นพิษต่ออสุจิของสารสกัดน้ำจากเมล็ดมะละกอ (Carica papaya) โดยเก็บตัวอย่างน้ำอสุจิจากอาสาสมัครเพศชายสุขภาพดีจำนวน 35 คน จากนั้นนำมาบ่มในหลอดทดลองร่วมกับอาหารเลี้ยง human tubular fluid และ 1% bovine serum albumin ซึ่งมีสารสกัดน้ำจากเมล็ดมะละกอความเข้มข้น 0, 0.025, 0.25, 2.5, 25, 250 และ 2,500 มคก./มล. ที่อุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียส เป็นเวลานาน 1 ชั่วโมง พบว่า สารสกัดทำให้ค่าศักย์ไฟฟ้าบริเวณเยื่อหุ้มไมโตคอนเดรีย (mitochodria membrane potential; MMP) ของอสุจิลดลง, เซลล์อสุจิที่มีการสร้าง reactive oxygen species (ROS) ภายในเซลล์ (intracellular ROS production) มีจำนวนเพิ่มขึ้น และเซลล์อสุจิที่ดีเอ็นเอเกิดความเสียหาย (DNA-fragmentation) มีจำนวนเพิ่มขึ้น ซึ่งเหล่านี้บ่งชี้ถึงการเกิดการตายของเซลล์ โดยความรุนแรงจะขึ้นกับขนาดที่ให้ โดยคาดว่าสารที่เป็นพิษต่ออสุจิคือสาร benzyl isothiocyanate

ข้อแนะนำและข้อควรระวัง

ผู้ที่รับประทานมะละกอสุกติดต่อกันเป็นจำนวนมาก เป็นเวลานาน อาจทำให้สารมีสีพวก carotenoid ไปสะสมในร่างกายมากเกินไป ทำให้ผิวมีสีเหลืองแต่จะกลับเป็นปกติ เมื่อหยุดทานสักระยะ ส่วนข้อควรระวังในการใช้เอนไซม์ papain คือ เมื่อนำมาใช้รับประทานในผู้ป่วยที่มีภาวะเลือดออกที่ผิดปกติ (bleeding disorders) และผู้ป่วยที่ต้องได้รับการผ่าตัดควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานเอนไซม์ปาเปน นอกจากนี้การสัมผัสกับเอนไซม์ปาเปนจากมะละกอ ดิบโดยตรงอาจจะทำให้เกิดระคายเคือง โดยเฉพาะผิวหนังที่บอบบาง และเยื่อบุเมือก (mucus membrane)

เอกสารอ้างอิง มะละกอ
  1. เดชา ศิริภัทร.มะละกอผักผลยอดนิยม สารพัดประโยชน์.คอลัมน์ต้นไม้ใบหญ้า.นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 179. มีนาคม 2537
  2. ยางมะละกอรักษาแผลไฟไหม้.ข่าวความเคลื่อนไหวสมุนไพ.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.
  3. สมชาย ประภาวัต. ปาเปน เอนไซม์ในอุตสาหกรรมอาหาร.เทคโนโลยี. สิงหาคม-กันยายน 2535. ปีที่ 19 ฉบับที่ 104 หน้า 42-49
  4. ฤทธิ์ขับปัสสาวะของสมุนไพรต่างๆ. ข่าวความเคลื่อนไหวสมุนไพร. สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.
  5. ฤทธิ์ป้องกันภาวะเกล็ดเลือดต่ำของใบมะละกอ. ข่าวความเคลื่อนไหวสมุนไพร. สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.
  6. สารสกัดน้ำจากเมล็ดมะละกอก่อให้เกิดความเป็นพิษต่ออสุจิ.ข่าวความเคลื่อนไหวสมุนไพร. สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.
  7. รศ.ดร.สุธาทิพ ภมรประวัติ.มะละกอต้านอนุมูลอิสระ. ข่าวความเคลื่อนไหวสมุนไพร.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.
  8. องค์ประกอบทางเคมีและฤทธิ์ต้านเชื้อรา Candida ของน้ำมันหอมระเหยจากเมล็ดมะละกอ. ข่าวความเคลื่อนไหวสมุนไพร.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.
  9. สารสกัดเมล็ดมะละกอมีผลคุมกำเนิดเพศชาย.ข่าวความเคลื่อนไหวสมุนไพร.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.
  10. ผลของมะละกอ หมักต่อการลดอนุมูลอิสระในเซลล์เลือดที่เป็นธาลัสซีเมีย.ข่าวความเคลื่อนไหวสมุนไพร.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.
  11. ความเป็นพิษและฤทธิ์คุมกำเนิดเพศชายของรากมะละกอ.ข่าวความเคลื่อนไหวสมุนไพร.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.
  12. มะละกอ.กลุ่มยาหรือแก้เลือดออกตามไรฟัน.สรรพคุณสมุนไพร 200 ชนิด โครงการอนุรักษ์พันธุ์กรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนาราชสุดาสยามบรมราชกุมารีฯ (ออนไลน์) เข้าถึงได้จาก http://www.rspg.or.th/plants_data/herbs/herbs/_15_4.htm
  13. การปลูกมะละกออาชีพเงินล้าน.พืชเกษตรดอทคอมเว็บเพื่อพืชเกษตรไทย (ออนไลน์) เข้าถึงได้จาก http://www.puechkaset.com
  14. Ball,A.K.,Thomson,R.R. and Jones,W.W.(1940) Crude papain preparation and properties, Ind. Eng. Chem. 32:1144-1147.
  15. Chen YY, Lu YH, Ma CH, Tao WW, Zhu JJ, Zhang X. A novel elastic liposome for skin delivery of papain and its application on hypertrophic scar. Biomed Pharmacother. 2017 Mar;87:82-91. doi: 10.1016/j.biopha.2016.12.076. Epub 2016 Dec 29. PMID: 28040601.
  16. O’ Hara,B,P., Hemmings, A.M., Buttle ,D.J. and Peart ,L., H. (1995) Crystal structure of glycyl endoptidase from carica papaya :A cysteine endopeptidase of unusual substrate specificity Biochemistry 34:13190-13195.
  17. Rawlings, N.D., Barrett, A.J., Thomas, P.D., Huang, X., Bateman, A. & Finn, R.D. (2018) The MEROPS database of proteolytic enzymes, their substrates and inhibitors in 2017 and a comparison with peptidases in the PANTHER database. Nucleic Acids Res 46, D624-D632.
  18. Mardihal L., Ortiz,A.,Cook,R.D. and Femandez,R.,(1995) The dependence papain yields on different collection (“tapping”) procedures for papaya Iatex,J.Sci. Food Agric 31:279-285.