วิตามินบี 9
วิตามินบี 9
 
ชื่อสามัญ Folic acid, Folate
ประเภทและข้อแตกต่างวิตามินบี 9
วิตามินบี 9 (folic acid/folate) จัดเป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ ถูกค้นพบครั้งแรกในปี ค.ศ.1930 โดย Lucy Wills ซึ่งรายงานว่าสารสกัดจากยีสต์สามารถรักษาภาวะโลหิตจางชนิดเมกาโลบลาสติก (megaloblastic anemia) ในหญิงตั้งครรภ์ได้ จากนั้นสารนี้ได้ถูกพบในพืชผักอีกหลายชนิด เช่น ผักขม อัลฟาฟา จึงถูกเรียกว่า “โฟเลต” ซึ่งมาจากคำในภาษาลาตินว่า “folium” ที่หมายถึงใบไม้ และวิตามินบี 9 ยังมีหลากหลายอนุพันธ์ เช่น folic acid tetrahydrofolate 5.10-methylene tetrahydrofolate ฯลฯ ซึ่งจะสลายตัวได้ง่ายเมื่อโดนแสง ความร้อน และอากาศ เช่น เมื่ออาหารที่มีกรดโฟลิกถูกความร้อนจึงมักจะสูญเสียคุณประโยชน์ได้ง่าย จึงต้องใช้วิธีการปรุงอาหารด้วยไฟอ่อนๆ หรือ ทานผักผลไม้สดแทนเพื่อให้ได้รับกรดโฟเลดกอย่างครบถ้วน
            สำหรับประเภทของวิตามินบี 9 (Folic acid) นั้นในปัจจุบันสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ประเภทที่มีอยู่ในแหล่งอาหารทั่วไป หรือ ที่เรียกว่า โฟเลต (folate) ซึ่งประเภทนี้จะพบในอาหารหลายชนิด เมื่อมนุษย์รับประทานเข้าไปแล้ว ร่างกายจะสังเคราะห์ และดูดซึมนำไปใช้ในกระบวนการต่างๆ ของร่างกายต่อไป โดยโฟเลตที่พบในธรรมชาติ มักเป็น pteroylpolyglutamate ซึ่งมี glutamyl 2-7 หมู่เชื่อมต่อกันด้วยพันธะเพปไทด์ติดอยู่กับส่วน pteroic acid ส่วนอีกประเภทหนึ่งจะได้จากการสังเคราะห์โดยมนุษย์ เช่น ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่จำหน่ายในท้องตลาดจะอยู่ในรูป pteroylmonglutamic acid (PteGlu1) ซึ่งมี glutamyl เพียงหนึ่งหมู่
แหล่งที่พบและแหล่งที่มาวิตามินบี 9
ร่างกายของคนเราไม่สามารถสังเคราะห์โฟเลตได้ ดังนั้นอาหารจึงเป็นแหล่งที่สำคัญของโฟเลต (วิตามินบี 9) แต่อย่างไรก็ตามอาหารแต่ละชนิดก็มักมีโฟเลตในปริมาณต่ำ และแตกต่างกันไป  ซึ่งแหล่งที่มีโฟเลต (วิตามินบี 9) สูง เช่น ผักสีเขียว ถั่วเมล็ดแห้ง ตับ เนื้อสัตว์ นมสด ยีสต์ ข้าวซ้อมมือ ทุเรียน สตอเบอรี่ มะม่วง เป็นต้น
ตารางแสดงปริมาณโฟแลทในอาหาร
| อาหาร | ปริมาณโฟเลท (ไมโครกรัม/100 กรัม) | 
| กลุ่มผัก | 
 56.35 | 
| แขนงกะหล่ำ | 97.00 | 
| 97.30 | |
| ผักกาดหางหงส์ | 93.80 | 
| ผักโขมจีน | 160.10 | 
| ผักคะน้า | 80.10 | 
| ผักชีฝรั่ง | 40.20 | 
| 75.10 | |
| 92.30 | |
| 59.69 | |
| สะระแหน่ | 74.70 | 
| 106.30 | |
| กลุ่มผลไม้ กล้วยไข่ | 
 35.41 | 
| 37.16 | |
| กล้วยหอมทอง | 15.28 | 
| แก้วมังกรเนื้อขาว | 13.51 | 
| แคนตาลูป | 18.08 | 
| ชมพูทับทิมจันทร์ | 10.12 | 
| แตงโมกินรี | 9.15 | 
| ทุเรียนหมอนทอง | 155.75 | 
| ฝรั่งกิมจู | 38.89 | 
| มะม่วงเขียวเสวยสุก | 67.47 | 
| มะละกอฮอล์แลนด์สุก | 32.25 | 
| สตรอเบอรี่ | 98.69 | 
| ส้มจีน | 19.80 | 
| สับปะรดศรีราชา | 17.89 | 
| แอปเปิ้ลฟูจิ | 7.36 | 
| กลุ่มข้าว ข้าวมันปู | 
 13.69 | 
| ข้าวไรซ์เบอรี่ | 25.05 | 
| ข้าวลืมผัว | 17.80 | 
| ข้าวหอมนิล | 13.38 | 
| กลุ่มถั่วเมล็ดแห้ง ถั่วเขียว | 
 186.40 | 
| ถั่วดำ | 230.11 | 
| 144.2 | |
| ถั่วลิสง | 126.66 | 
| ถั่วลิสง | 168.89 | 
| กลุ่มเนื้อสัตว์ เนื้อไก่ตะโพก | 
 71.86 | 
| เนื้อไก่อก | 60.9 | 
| เนื้อปลาดุก | 96.5 | 
| เนื้อวัวสะโพก | 63.8 | 
| เนื้อวัวสันใน | 50.09 | 
| เนื้อหมูสันใน | 36.40 | 
ปริมาณที่ควรได้รับจากวิตามินบี 9
สำหรับปริมาณของวิตามินบี 9 (Folic acid)  ที่ควรได้รับในแต่ละวันสำหรับคนไทยอายุตั้งแต่ 6 ปี ขึ้นไป โดยอ้างอิงตาม THAI RDI ระบุว่าควรได้รับในปริมาณ 200-400 ไมโครกรัม/วัน ตามช่วงอายุดังนี้
 ไมโครกรัม/วัน ตามช่วงอายุดังนี้
ปริมาณกรดโฟลิกที่ควรได้รับต่อวันสำหรับบุคคลทั่วไป โดยแบ่งออกตามช่วงอายุ
| ช่วงอายุ | ปริมาณที่แนะนำต่อวัน | 
| 0-6 เดือน | 65 ไมโครกรัม | 
| 7-12 เดือน | 80 ไมโครกรัม | 
| 1-3 ปี | 150 ไมโครกรัม | 
| 4-8 ปี | 200 ไมโครกรัม | 
| 9-13 ปี | 300 ไมโครกรัม | 
| 14-18 ปี | 400 ไมโครกรัม | 
| >19 ปี | 400 ไมโครกรัม | 
           ทั้งนี้ กรดโฟลิก (Folic acid) ที่ได้จากการสังเคราะห์มีชีวปริมาณออกฤทธิ์ (bioavallability) ที่ดีกว่าโฟเลตจากธรรมาชาติเนื่องจากร่างกายดูดซึมโฟเลตที่มี glutamy เพียงหนึ่งหมู่ได้ดีกว่า โดยมีการศึกษาพบว่าได้รับกรดโฟลิกที่ได้จากการสังเคราะห์ 100 ไมโครกรัม จะเทียบเท่ากับโฟเลตในธรรมชาติ 170 ไมโครกรัม
ประโยชน์และโทษวิตามินบี 9
โฟเลต หรือวิตามินบี 9 มีประโยชน์หลายประการ เช่น มีส่วนสำคัญที่ช่วยในการเจริญเติบโตของร่างกาย การสืบพันธุ์ ช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดโรคโลหิตจากชนิดเมกะโลบลาสติกแอนนีเมีย โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดประสาทปลายเปิด โรคมะเร็ง โรคสมองเสื่อม และป้องกันทารกในครรภ์เป็นโรคปากแหว่งเพดานโหว่ โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด ความผิดปกติของแขน ขา ความพิการของระบบทางเดินปัสสาวะ และโรคไม่มีรูทวารหนัก เป็นต้น
            สำหรับโทษของวิตามินบี 9 นั้น ในปัจจุบันยังไม่มีรายงานแต่อย่างใด รวมถึงในการรับประทานเกินขนาด ก็มีรายงานว่าอาจมีอาการผื่นแพ้แค่เล็กน้อยเท่านั้น ส่วนในกรณีของการขาดวิตามินบี 9 หรือ โฟเลตนั้น พบว่าผู้ที่ขาดจะมีอาการเกิดโรคโลหิตจากชนิดที่เม็ดเลือดแดงมีขนาดใหญ่ขึ้น แต่มีปริมาณน้อยลง และอาจมีอาการปวดศีรษะ ท้องเดิน ขี้หงุดหงิด เหนื่อยง่าย มีกรดในกระเพาะอาหารน้อยเกินไป และความจำสั้น ส่วนสตรีมีครรภ์ที่มีภาวะขาดโฟเลต (วิตามินบี 9) เมื่อคลอดออกมาทารกจะมีภาวะผิดปกติของแขน และขา เป็นโรคหัวใจพิการ โรคปากแหว่งเพดานโหว่ รวมถึงโรคไม่มีรูทวาร เป็นต้น สำหรับสาเหตุที่ทำให้ร่างกายขาดวิตามินบี 9 (โฟเลต) มีอยู่หลายประการ เช่น ร่างกายมีความต้องการวิตามินโฟเลตสูงขึ้น เช่น ในสตรีที่กำลังตั้งครรภ์ สตรีที่ให้นมบุตร และผู้ป่วยโรค โลหิตจากธัลลัสซีเมีย เป็นผู้ป่วยไตวายเรื้อรังที่ได้รับการฟอกไตต่อเนื่อง ผู้ที่ทานอาหารไม่หลากหลาย มีภาวะทุพโภชนาการ ผู้ที่ติดสุราเรื้อรัง หรือ ผู้ที่ดื่มสุราเป็นประจำ เพราะแอลกอฮอล์มีฤทธิ์ต้านการทำงานของโฟเลต

การศึกษาวิจัยที่เกี่ยวข้องวิตามินบี 9
มีผลการศึกษาวิจัยระบบ metabolism ของวิตามินบี 9 (Folic acid) ระบุว่า โฟเลตที่อยู่ในอาหารนั้น ร่างกายจะสามารถดูดซึมได้เพียง 50% และบางส่วนเป็นโฟเลตอิสระ (free folate) ที่ร่างกายดูดซึมได้ทันที แต่ส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ 75 เกาะอยู่กับสารอื่น (bound folate) หรือ ในสภาพของโพลีกลูทาเมท (polyglutamates) ซึ่งร่างกายจะดูดซึมโฟเลตอิสระเข้าทางลำไส้เล็ก ส่วนที่เกาะอยู่กับสารอื่นต้องย่อยก่อนจึงดูดซึมได้ แล้วมีเอนไซม์เปลี่ยนเป็น PGA ที่ผนังลำไส้เล็กขณะที่ซึมผ่านผนังลำไส้เล็ก PGA เปลี่ยนเป็น 5 เมทิลเตตราไฮโดรโฟลเท (5-methyltetrahydrofolate) เข้าสู่เส้นเลือดใหญ่ไปสู่ตับ ประมาณ 5 มิลลิกรัม และในส่วนที่เกินจะถูกร่างกายขับถ่ายออกมาทางใด
ส่วนในร่างกายกรดโฟลิกถูกรีดิวซ์เป็นกรดเดตระไฮโดรโฟลิก (tetrapybro Folic acid) (THF.FH) เพื่อทำหน้าที่เป็นโคเอนไซม์ สำหรับขนส่งหมู่ที่ประกอบด้วยคาร์บอนหนึ่งอะตอม เช่น เมทิล (-CH) ฟอร์มิโน (-CHO) ไอดรอกซีเมทิล (-CH-HO) เมทินิล (=CH) เมทิลิน (-CH-) ฟอร์มิโน (-CH=NH=) และการขนส่งหมู่คาร์บอนหนึ่งอะตอมพบว่าคาร์บอนจะจับที่ตำแหน่ง 5 และ10 กล่าว คือ โฟลิกจะทำหน้าที่สารประกอบแกนกลางที่สามารถเพิ่มหน่วยคาร์บอนได้อีกหนึ่งหน่วยแก่สารที่มารับ เช่น ในปฏิกิริยาการเติมหมู่เมทิล (methylation) ชีวสังเคราะห์ของเบส adenine guanine และ thymine ซึ่งเป็นองค์ประกอบของกรดนิวคลีอิก การสังเคราะห์กรดอะมีโน methionine และการเปลี่ยนกรดอะมิโนชนิดหนึ่งไปเป็นกรดอะมิโนอีกชนิดหนึ่ง เช่น serine ↔ glycine หรือ histidine ↔ glutamate เป็นต้น
นอกจากนี้กรดโฟลิกยังมีบทบาทสำคัญในการควบคุมกระบวนการสร้าง และการสลายกรดอะมิโนที่ชื่อว่า โฮโมซีสทีน (homocysteine) ที่เป็นสารที่ก่อให้เกิดผลเสียต่อหลอดเลือดภายในร่างกาย ซึ่งหากร่างกายมีสารดังกล่าวคั่งสะสมในกระแสเลือดสูงเกิน 15 ไมโครโมลต่อลิตร จะมีความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดสมองสูงกว่าคนที่มีระดับปกติ โดยในภาวะปกติร่างกายจะอาศัยการทำงานของกรดโฟลิกเป็นตัวช่วยในกระบวนการสลายโฮโมซีสทีน เป็นซีสเตอีน (cysteine) เพื่อไม่ให้เกิดการคั่งสะสมของโฮโมซีสทีนในกระแสเลือด
ทั้งนี้มีรายงานการศึกษาวิจัยพบว่าผู้ที่มีระดับโฮโมซีสทีนในเลือดสูงมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง โดยไม่เกี่ยวข้องกับปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ เช่น ภาวะไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง หรือ โรคเบาหวาน จากกลไกดังกล่าวชี้ให้เห็นว่ากรดโฟลิกมีบทบาทหน้าที่สำคัญที่ควบคุมกระบวนการเผาผลาญโฮโมซีสทีนให้อยู่ในภาวะปกติ และช่วยลดการเกิดภาวะที่มีโฮโมซีสทีนเหลือคั่งค้างในเลือดสูง (homocysteinemia) และยังมีการศึกษาวิจัยในปี 2018 ที่ได้ทำการศึกษาผลของกรดโฟลิกกับโรคหลอดเลือดสมอง โดยเสริมกรดโฟลิกปริมาณ 0.8 มิลลิกรัมต่อวัน ร่วมกับการใช้ยาปกติในผู้ป่วยชายโรคหลอดเลือดสมอง เปรียบเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาปกติโดยไม่ได้รับการเสริมกรดโฟลิก กลุ่มอาสาสมัครในการศึกษานี้มีจำนวนทั้งสิ้น 8,384 พบว่ากลุ่มตัวอย่างที่ได้รับการเสริมกรดโฟลิกปริมาณ 0.8 มิลลิกรัมต่อวัน มีความสัมพันธ์กับการลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดสมองซ้ำอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
           ส่วนในการศึกษาทางพิษวิทยา มีผลการศึกษาวิจัยระบุว่า ไม่พบความเป็นพิษจากการได้รับกรดโฟลิกแม้ในปริมาณสูงกว่า 1 มิลลิกรัมต่อวัน และอย่างไรก็ตามเชื่อว่า หากได้รับกรดโฟลิกในปริมาณสูงเกินความต้องการอาจจะบดบังอาการ และการวินิจฉัยภาวะขาดวิตามินบี 12 และโลหิตจากชนิด pernicious anemia ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้สูงอายุ ซึ่งภาวะดังกล่าวอาจทำให้ระบบประสาทถูกทำลายได้

ข้อแนะนำและข้อควรปฏิบัติ
- สตรีมีครรภ์ และสตรีให้นมบุตร จะมีความต้องการของร่างกายเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งในการรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยกรดโฟลิค หรือ รับประทานกรดโฟลิคในรูปแบบยาเม็ดเสริมเข้าไป
- ผู้ที่รับประทานอาหารไม่หลากหลาย หรือ ผู้ที่รับประทานอาหารในปริมาณน้อย มีโอกาสเสี่ยงในการขาดวิตามินบี 9 (folic acid) ดังนั้นควรรับประทาน folic acid ในรูปแบบยาเม็ดเสริมด้วย
- folic acid ในรูปแบบยาเม็ดจะมีความไวต่อแสง และความร้อน ดังนั้นควรเก็บในภาชนะทับแสง และเก็บไว้ห่างความร้อน และความชื้น
เอกสารอ้างอิง วิตามินบี 9
- ภก.ดร.ธีรศักดิ์ โรจนธารา.โฟเลต : จากวิตามินสู่การพัฒนายา. วารสารไทยไภษัชยนิพนธ์ปีที่ 3. ฉบับ เดือน เมษายน 2549.หน้า 39-52
- ดร.วันวิสา อุดมสินประเสริฐ. โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) กับกรดโฟลิค. คุณประโยชน์ที่ไม่ควรมองข้าม. บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน. คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.
- นิธิยา รัตนาปนนท์ 2551. เคมีอาหาร.ภาควิชาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีการอาหารคณะอุตสาหกรรมเกษตร วิทยาเขตดอยคำ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.กรุงเทพมหานคร:โอ.เอส.พริ้นติ้ง เฮ้าส์. 504 หน้า
- พญ.ลลิตา นรเศรษฐ์ธาดา.โรคเลือดจากจากการขาดวิตามินโฟเลต. ความรู้สู่ประชาชน.สมาคมโลหิตวิทยาแห่งประเทศไทย
- สุปราณี แจ้งบำรุง และคณะ 2546. วิตามินบี และโฟเลต.ปริมาณสารอ้างอิงที่ควรได้รับประจำวันสำหรับคนไทย.กรุงเทพมหานคร.โรงพิมพ์องค์การรับส่งสินค้า และพัสดุ (รสพ). 116-121.
- Huo Y, Qin X, Wang J, et al. Efficacy of folic acid supplementation in stroke prevention: new insight from a meta-analysis. Int J Clin Pract. 2012;66:544-51.
- From the Centers for Disease Control and Prevention. Recommendations for use of folic acid to reduce number of spina bifida cases and other neural tube defects. JAMA. 1993;269:1236-8.
- Homocysteine Studies Collaboration. Homocysteine and risk of ischemic heart disease and stroke: a meta-analysis. JAMA 2002;288:2015–22.
- A. V. Hoffbrand. Folate absorption. J. clin. Path., 24, Suppl. (Roy. Coll. Path.), 5, 66-76.
- Clarke R, Daly L, Robinson K, et al. Hyperhomocysteinemia: an independent risk factor for vascular disease. N Engl J Med 1991;324:1149–55.
- Zhou Z, Li J, Yu Y, et al. Effect of Smoking and Folate Levels on the Efficacy of Folic Acid Therapy in Prevention of Stroke in Hypertensive Men. Stroke. 2018;49:114-120.
- Graham IM. Plasma homocysteine as a risk factor for vascular disease. JAMA 1997;277:1775–81.
 
         
	                         
	                         
                                 
                                 
                                 
                                 
                                 
                                 
                                 
                                 
                                 
                                
 
	                         
	                         
                                                 
                                                             
                                                             
                                                            