สะแกแสง ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย
สะแกแสง งานวิจัยและสรรพคุณ 16 ข้อ
ชื่อสมุนไพร สะแกแสง
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น เนา , งุ้นสะบันงา , สะบันงา , เก้าโป้ง (ภาคเหนือ),แคแสง,เฝิง , แกนแฮง , แกงแซง (ภาคกลาง),แตงแซง , หำฮอก,หำอาว (ภาคอีสาน),ราบ (ภาคใต้)
ชื่อวิทยาศาสตร์Cananga latifolia (Hook. f. &Thomson). Finet & Gagnep
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Canangium latifolium (Hook. F. & Thomson) Pierre ex Ridl.
Canangium brandisiana (Pierre) Saff.
วงศ์ANNONACEAE
ถิ่นกำเนิด สะแกแสงจัดเป็นพืชในวงศ์กะดังงา (ANNONACEAE) และยังเป็นพันธุ์ไม้ 1 ใน 2 ชนิดในสกุลกระดังง (Cananga) อีกด้วย สำหรับถิ่นกำเนิดดั้งเดิมของสะแกแสงนั้น อยู่ในภูมิภาคอินโดจีน บริเวณประเทศเวียดนาม กัมพูชา ลาว ไทย และมาเลเซีย จากนั้นจึงมีการแพร่กระจายพันธุ์ไปยังพม่า อินเดีย บังคลาเทศ ศรีลังกา และจีนตอนใต้ สำหรับในประเทศไทย สามารถพบได้ทั่วทุกภาคของประเทศ บริเวณป่าดิบแล้ง ป่าผลัดใบ และป่าเบญจพรรณทั่วไปเทศ ที่มีระดับความสูง 50-300 เมตรจากระดับน้ำทะเล
ประโยชน์/สรรพคุณ เนื่องจากสะแกแสงเป็นพันธุ์ไม้ในสกุลกระดังงา ที่มีดอกส่งกลิ่นหอมเย็น จึงมีการนำมาใช้ปลูกเป็นไม้ประดับตามอาคารสถานที่ และตามบริเวณบ้าน ซึ่งจะให้ร่มเงาที่ดีเช่นกัน นอกจากนี้ยังเป็นไม้โตเร็ว ดูแลรักษาง่าย ปัจจุบันจึงมีการนิยมนำมาปลูกกันมากขึ้น สำหรับเนื้อไม้ของสะแกแสง ที่มีเนื้อไม้อ่อนหยาบปานกลางเป็นสีเทา มีเสี้ยนตรง สามารถเลื้อยผ่าไสกบตกแต่งได้ง่าย ก็มีการนิยมนำมาใช้ทำหีบ ลังใส่ของหรือใช้ประกอบการก่อสร้างชั่วคราว ที่ไม่ต้องการความแข็งแรงมากนัก เช่น ใช้ทำกระดานแบบ แบบเทคอนกรีต หรือเครื่องใช้ไม้สอยต่างๆ ส่วนสรรพคุณทางยาของสะแกแสงนั้น ตามตำรายาไทยและตำรายาพื้นบ้านได้ระบุถึงสรรพคุณเอาไว้ดังนี้ รากและเนื้อไม้มีรสเบื่อเมา ใช้แก้พิษไข้เซื่องซึม แก้พิษเบื่อเมา และพิษกาฬทั้งปวง แก้ริดสีดวงจมูก แก้โรคผิวหนังผื่นคัน โรคกลากเกลื้อน โรคเรื้น แก้น้ำเหลืองเสีย แก้หูด เปลือกต้นใช้ในการรักษาอาการวิงเวียน ใบใช้แก้บาดแผลเรื้อรัง ฆ่าพยาธิผิวหนัง
รูปแบบ/ขนาดวิธีใช้
- ใช้แก้พิษทั้งปวง แก้พิษไข้เซื่องซึม และพิษกาฬต่างๆ แก้โรคผิวหนังผื่นคัน โรคเรื้น กลากเกลื้อน หูด น้ำเหลืองเสีย โดยนำเนื้อไม้และรากมาใช้ปรุงเป็นยาตามตำรับต่างๆ
- ใช้แก้ริดสีดวงจมูก แก้อาการวิงเวียนโดยนำเนื้อไม้และราก นำมาขูดให้เป็นฝอย มวนรวมกับใบยาใช้สูบ
- ใช้ฆ่าพยาธิผิวหนังเรื้อรัง รักษาบาดแผลเรื้อรัง โดยนำใบสะแกแสงนำมาสุมไฟเอาควันรมบริเวณที่เป็น
- ใช้ยาดับพิษไข้หมากไม้ ให้เอา ขี้ผึ้งจากชันโรง รากกระเชา รากสะแกแสง ส่วนละเท่าๆ กัน มาแช่รวมกันแล้วนำมาอาบ
- ใช้เป็นยาแก้เจ็บลิ้น โดยนำผลสะแกแสงมาปาดหัวออกแล้ว เอาไปจิ้มเกลือ ใส่หมกไฟ อุ่น แล้วเอาใส่ลิ้น
- ใช้แก้ไข้ โดยนำสะแกแสงทั้งต้นมาต้มร่วมกับแก่นเต็งหนาม และแก่นรกฟ้า แล้วนำน้ำที่ได้มาดื่ม
ลักษณะทั่วไป สะแกแสงจัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง เรือนยอดโป่ง ผลัดใบในช่วงฤดูแล้ง แตกกิ่งก้านในระดับสูง ลำต้นความสูง 10-20 เมตร ลักษณะเปลาตรง เปลือกลำต้นเป็นสีเทาหรือสีน้ำตาลอมเทา ผิวเปลือกเรียบหรือแตกแบบรอยไถ ส่วนเปลือกด้านในเป็นสีน้ำตาลอ่อน มีกลิ่นเหม็นเขียว ตามกิ่งอ่อนและยอดอ่อน มีรอยแผลของก้านใบที่หลุดร่วง และมีขนสีเทาปกคลุม ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับตามข้อของกิ่งและลำต้น ใบมีลักษณะเป็นรูปไข่มนหรือค่อนข้างกลม ใบมีขนาดกว้าง 7-12 เซนติเมตร ยาว 10-18 เซนติเมตร โคนใบมน หรือหยัก เว้าเป็นรูปหัวใจ ไม่เท่ากัน ปลายใบมนและมีติ่งแหลมสั้นๆ ขอบใบเรียบ แผ่นใบเป็นสีเขียว หลังใบมีสีเข้มกว่าท้องใบและมีขนปกคลุมประปราย ตรงเส้นกลางใบเป็นร่องและท้องใบเป็นสัน เส้นแขนงใบมีประมาณ 8-12 คู่ ปลายเส้นไม่จรดกัน ท้องใบจะมีขนปกคลุมอย่างหนาแน่น ส่วนด้านใบมีความยาว 1 เซนติเมตร ดอกเป็นดอกเดี่ยวหรืออาจออกเป็นช่อกระจุกได้ โดยช่อดอกจะมีลักษณะห้อยลง ซึ่งในแต่ละช่อจะมีดอกย่อยช่อละ 2-3 ดอก ดอกย่อยเมื่อยังอ่อนจะเป็นสีเขียว เมื่อบานจะเปลี่ยนเป็นสีเขียมอมเหลือง ดอกย่อยมีใบประดับลักษณะเป็นรูปรี ขนาดกว้าง 7 มิลลิเมตร และยาว 1.5 เซนติเมตร ติดอยู่ที่โคนก้านดอก ส่วนกลีบดอก มีอยู่ 6 กลีบ แบ่งออกเป็น 2 ชั้น ชั้นละ 3 กลีบ ชั้นในกลีบดอกจะเป็นรูปหอกและเล็กกว่า โคนกลีบคอดเรียงเป็น 2 ชั้น โดยในแต่ละกลีบจะมีขนาดกว้าง 1.5-1.7 เซนติเมตร ยาว 4-5 เซนติเมตร มีขนหนาแน่นทั้งสองด้าน ซึ่งดอกจะมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ส่วนกลีบเลี้ยงเป็นรูปสามเหลี่ยมมี 3 กลีบ มีขนาดกว้างและยาวประมาณ 1 เซนติเมตร ปลายกลีบกระดกขึ้น ตรงกลางดอกมีเกสรเพศผู้จำนวนมากเป็นกระจุกอยู่กลางดอกและมีก้านดอกยาวประมาณ 2 เซนติเมตร ผลเป็นกลุ่มมีผลย่อยประมาณ 20-25 ผล และมีก้านช่อผลยาว ประมาณ 3 เซนติเมตร ผลย่อยมีลักษณะเป็นรูปกลมรี ผิวย่นมีขนาดกว้าง 1-1.3 เซนติเมตร ยาว 1.5-2 เซนติเมตร ผลอ่อนเป็นสีเขียว เมื่อผลสุกจะเปลี่ยนเป็นสีม่วงดำหรือสีดำ ภายในผลมีเมล็ดลักษณะกลมแบนเรียงซ้อนกันจำนวนมาก
การขยายพันธุ์ สะแกแสง สามารถขยายพันธุ์ได้โดยการเพาะเมล็ด และการปักชำ แต่จะนิยมวิธีการเพาะเมล็ดมากกว่า เนื่องจากจะประสบความสำเร็จมากกว่า สำหรับวิธีการเพาะเมล็ดและการปลูกสะแกแสงนั้นสามารถทำได้เช่นกันกับการเมล็ดและการปลูก “กระดังงา” และ “กระดังงาสงขลา” ซึ่งได้กล่าวมาแล้วในบทความก่อนหน้านี้ ทั้งนี้สะแกแสงจัดเป็นพันธุ์ไม้ที่ชอบแสงแดดตลอดวัน แต่ก็ชอบดินร่วนซุยที่มีความชุ่มชื้นปานกลาง
องค์ประกอบทางเคมี มีรายงานผลการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับองค์ประกอบทางเคมีของสารสกัดจากส่วน ราก เปลือกต้น เมล็ด และน้ำมันหอมระเหยจากส่วนดอกของ สะแกแสง ระบุว่าพบสารออกฤทธิ์ที่สำคัญหลายชนิด อาทิเช่น สารสกัดจาส่วนราก , เปลือก , ลำต้น และ เมล็ด ของสะแกแสง พบสารต่างๆ เช่น canangalias A–H , cananginones A–I , (2E,6E,10R)-11-butoxy-10-hydroxy-3,7,11-trimethyldodeca-2,6-dienoic acid methyl ester; (2E)-3-methyl-5-[(1S,2R,6R)-1,2,6-trimethyl-3-oxocyclohexyl]-pent-2-enoic acid methyl ester; eudesmane glycoside (1β-hydroxy-3-oxo-4β,5α,7α-H-eudesmane 11-O-α-l-rhamnopyranoside) นอกจากนี้ยังพบสารประกอบจากน้ำมันหอมระเหย จากส่วนดอกสะแกแสง ได้แก่ linalool, germacrene D, geranyl acetate, p-methyl-anisole (p-methyl anisole), (E)-caryophyllene, methyl benzoate, benzyl acetate และ3-(4′-hydroxy-3′-methoxyphenyl)-1-acetoxy-2-propanol เป็นต้น
การศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยา มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางเภสัชยวิทยาสารสกัดจากส่วนเหนือดินของสะแกแสง ระบุว่ามีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาต่างๆ ดังนี้
มีรายงานการแยกสารกลุ่ม cananginones (acetogenins) จากสารสกัดจากส่วนเหนือดินของสะแกแสงพบว่า แสดง ฤทธิ์ cytotoxic ต่อเซลล์มะเร็งบางชนิด โดยในสารกลุ่ม canangalias / juvenile-hormone analogues ที่แยกได้ มีการทดสอบความเป็นพิษต่อเซลล์มะเร็ง เช่น สาร Canangalia I มีค่าต้านเซลล์ HeLa (IC50)≈ 35 µg/mL ซึ่งมีรายงานว่า สาร canangalia I มี cytotoxicity ต่อเซลล์ HeLa (human cervical adenocarcinoma) โดยให้ค่า IC₅₀ = 35.00 ± 2.15 µg/mL หลัง 72 ชั่วโมงแต่ไม่มีความเป็นพิษต่อเซลล์ Vero ในการทดลองเดียวกัน
ส่วนสาร Cananginones A–I พบว่าสามารถยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็ง(KB – เซลล์มะเร็งคอ, MCF-7 – มะเร็งเต้านม, NCI-H187 – มะเร็งปอด) ค่า IC₅₀ อยู่ในช่วง 16.6-129.7 µM ซึ่งแสดงถึงความเป็นพิษต่อเซลล์ (anti-proliferative) ของสารกลุ่มนี้
นอกจากนี้ สารบางตัว (cananginone E) ยังมีฤทธิ์ ต้านมาลาเรียอย่างอ่อนต่อเชื้อ Plasmodium falciparum และสารอีก 2 ชนิด ก็มีฤทธิ์ต้านเชื้อรา Candida albicans ด้วยเช่นกัน
การศึกษาวิจัยทางพิษวิทยา ไม่มีข้อมูล
ข้อแนะนำ/ข้อควรระวัง สำหรับกรใช้สะแกแสงเป็นสมุนไพรนั้น ควรระมัดระวังในการใช้เช่นเดียวกันกับการใช้สมุนไพรชนิดอื่นๆ โดยควรใช้ในขนาด/ปริมาณที่เหมาะสมที่ได้ระบุไว้ในตำรับตำรายาต่างๆ ไม่ควรใช้ในขนาดที่มากจนเกินไป หรือใช้ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานานเนื่องจากอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพในระยะยาวได้
อ้างอิงสะแกแสง
- ปิยะ เฉลิมกลิ่น. พรรณไม้วงศ์กระดังงา. กรุงเทพ ฯ. อมรินทร์พริ้นติ้งแอนพับลิชชิ่ง จํากัด (มหานคร),2544: น.1-369.
- พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ , สะแกแกสง, หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคเหนือ.หน้า179.
- วงศ์สถิตย์ ฉั่วกุล, สมภพ ประธานธุรารักษ์, ทยา เจนจิตติกุล, และคณะ. สมุนไพรพื้นบ้านอีสาน. ใน: สมภพ ประธานธุรารักษ์, ทยาเจนจิตติกุล, ธนุชา บุญจรัส และคณะ (บรรณาธิการ). สารานุกรมสมุนไพร เล่ม 5 สมุนไพรพื้นบ้านอีสาน. กรุงเทพมหานคร.อมรินทร์พริ้นติ้งแอนพับลิชชิ่ง จํากัด (มหาชน), 2548: น.1-192.
- ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม.สะแกแสง,หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย.ฉบับพิมพ์ครั้งที่5.หน้า763-764
- วงศ์สถิตย์ ฉั่วกุล, พร้อมจิต ศรลัมพ์, รุ่งระวี เต็มศิริฤกษ์กุล, และคณะ. สยามไภษัชยพฤกษ์ ภูมิปัญญาของชาติ. ใน: วงศ์สถิตย์ ฉั่วกุล, พร้อมจิต ศรลัมพ์, รุ่งระวี เต็มศิริฤกษ์กุล, และคณะ(บรรณาธิการ). สารานุกรมสมุนไพร เล่ม 2. กรุงเทพมหานคร.อมรินทร์พริ้นติ้งแอนท์พับลิชชิ่ง จํากัด (มหาชน), 2543: น. 1-272.
- Yang, H., Kim, H. S., Jeong, E. J., Khiev, P., Chin, Y.-W., & Sung, S. H. (2013). Plant-derived juvenile hormone III analogues and other sesquiterpenes from the stem bark of Cananga latifolia. Phytochemistry, 94, 277–283. pp. 277–283.
- Wongsa, N., Kanokmedhakul, S., & Kanokmedhakul, K. (2011). Cananginones A–I, linear acetogenins from the stem bark of Cananga latifolia. Phytochemistry, 72, 1859–1864.
- Phatchana, R., Thongsri, Y., & Yenjai, C. (2016). Canangalias C–H, juvenile hormone III analogues from the roots of Cananga latifolia. Fitoterapia, 114, 45–50.
- Barrero, A. F., Hernández-Galán, R., del Moral, J. F. Q., Cárdenas, J., & Ortega, M. (1997). Sesquiterpene glycosides and phenylpropanoid esters from Cananga latifolia. Journal of Natural Products, 60(5),
- Phatchana, R., Thongsri, Y., & Yenjai, C. (2015). Canangalias A and B from the stem bark of Cananga latifolia. Phytochemistry Letters, 13, 147–151.
- Phatchana, R., Senawong, T., Lakornwong, W., Sribuhom, T., & Yenjai, C. (2022). A new sesquiterpenoid juvenile hormone III from the stems of Cananga latifolia. Journal of Asian Natural Products Research, 24(12), 1185–1191.
