ผักตบไทย ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย

ผักตบไทย งานวิจัยและสรรพคุณ 9 ข้อ

ชื่อสมุนไพร ผักตบไทย

ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น ผักตบ,ผักตบเขียด,ผักตบเขียด,ผักโป่ง,ผักสามหาว(ภาคกลาง),ผักลิ้น(ภาคใต้)

ชื่อวิทยาศาสตร์Monochoria hasttata(L.) Solms.

ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์Monochoria chinensis Gand., M. dilatata (Buch.-Ham.) Kunth, M. hastifolia C.Presl, M. sagittata Kunth, Pontederia dilatata Buch.-Ham., P. hastata L. Carigola hastata (L.) Raf.,

ชื่อสามัญ Arrow leaf monochorea,False pickerelweed, Leat pondweed, Monochoria

วงศ์PONTEDERIACEAE

ถิ่นกำเนิด ผักตบไทยจัดเป็นพืชในวงศ์ผักตบ(PONTEDERIACEAE)ที่มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมเป็นบริเวณกว้างในแถบเขตร้อนของทวีปเอเชีย อาทิเช่นใน อินเดีย ศรีลังกา เนปาล พม่า ไทย มาเลเซีย ไปจนถึงฟิลิปปินส์ จากนั้นจึงได้มีการแพร่กระจายพันธุ์ไปยังบริเวณเขตร้อนต่างๆ ทั่วโลก สำหรับในประเทศไทยสามารถพบได้ทั่วทุกภาคของประเทศ บริเวณแหล่งน้ำจืดทั่วไป เช่น ในแม่น้ำ ลำคลอง บึง หรือตามในท้องนาทั่วไป

ประโยชน์/สรรพคุณ ผักตบไทยถูกนำมาใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆดังนี้ ก้านใบ ใบอ่อน และช่อดอกของผักตบไทยมีการนำมาใช้รับประทานเป็นผักได้ทั้งสุกและดิบ เช่น ในการรับประทานดิบ จะนำมาจิ้มน้ำพริกปลา ส้มตำ ส่วนในการรับประทานสุก จะนำมาลวกจิ้ม กับน้ำพริกหรือนำมาทำแกงส้มผักตบหรือแกงเลียงเป็นต้น และมีการนำลำต้นผักตบไทยมาตากแห้งใช้ทำเป็นเครื่องจักสารต่าง ๆ เช่น กระเป๋า เสื่อ หรือของเล่นของเด็กในสมัยโบราณ อีกทั้งยังมีการนำทุกส่วนของผักตบไทยมาหั่นเป็นฝอยใช้เลี้ยงหมูหรือทำปุ๋ยหมักอีกด้วย สำหรับสรรพคุณทางยาของผักตบไทยนั้น ตามตำรายาไทยและตำรายาพื้นบ้านได้ ระบุถึงสรรพคุณเอาไว้ว่า

  • ทั้งต้นมีรสจืด แก้พิษในร่างกายชับลมแก้แผลอักเสบแก้ปวดท้อง ถอนพิษ แก้ปวดแสบปวดร้อน
  • ใบใช้แก้เบื่อเมาขับปัสสาวะขับพิษร้อนทาแก้ฝี
  • เหง้าใช้แก้รังแค ส่วนในอินโดนีเซีย ยังพบว่ามีการใช้เหง้ามาช่วยขจัดรังแคเช่นเดียวกันกับไทยอีกด้วย

รูปแบบ/ขนาดวิธีการใช้

  • ใช้เป็นยาขับพิษร้อน ขับปัสสาวะโดยนำใบมาต้มกับน้ำดื่ม
  • ใช้แก้พิษในร่างกายขับลม แก้ปวดท้อง แก้อักเสบ โดยนำทั้งต้นมาต้มกับน้ำดื่ม
  • ใช้แก้พิษเบื่อเมา โดยนำใบสดมาตำผสมกับผักกระเฉด เอาน้ำดื่ม
  • ใช้แก้แผลอักแสบ ถอนพิษ แก้อาการปวดแสบปวดร้อนจากพิษแมลงสัตว์กัดต่อย โดยนำต้นสดมาตำพอกบริเวณที่เป็น
  • ใช้แก้ฝีอักเสบ ฝีหนอง โดยนำใบสดตำพอกบริเวณที่เป็น
  • ใช้แก้รังแค โดยนำเหง้ามาบดหรือตำรวมกับถ่านไม้ ใช้พอกศีรษะ

ลักษณะทั่วไป ผักตบไทยจัดเป็นไม้ล้มลุก อายุหลายปี ความสูง 50-100 เซนติเมตร มีเหง้าใหญ่อยู่ใต้น้ำ โดยจะแตกลำต้นเป็นกอ มีลำต้นอยู่ใต้ดินโคลนเรียกว่าไหล แล้วชูก้านใบขึ้นมาเหนือระดับน้ำ ลำต้นมีกาบใบหุ้มอยู่ ใบเป็นเดี่ยวแทงออกมาจากลำต้นที่อยู่ใต้ดิน แผ่นใบมีลักษณะเป็นรูปหัวใจ รูปโล่ หรือรูปสามเหลี่ยมมีขนาดกว้าง 1-2 เซนติเมตร ยาว 5-8 เซนติเมตร โคนใบมันเว้า ปลายแหลม ขอบใบเรียบ ใบมีสีเขียวเข้ม ผิวใบเรียบเกลี้ยงทั้งสองด้าน โคนก้านด้านโคนก้านใบแย่งเป็นกาบ และมีก้านใบยาว 30-90 เซนติเมตร โดยแบ่งเป็นก้านใบ ส่วนล่างมีลักษณะเป็นกาบหุ้มซ้อน ๆ กัน ส่วนก้านใบส่วนบนมีลักษณะกลมยาวอวบน้ำ ดอกออกเป็นช่อแบบช่อกระจะ โดยจะออกเป็นบริเวณโคนก้านใบ หรือ ใกล้แผ่นใบ และมีแผ่นใบประดับสีเขียวรองรับดอกย่อยที่มีอยู่ 15-16 ดอก ซึ่งในแต่ละดอกจะมีก้านดอกย่อยยาวประมาณ 3-4 เซนติเมตร กลีบดอกเป็นแบบกลีบรวมมี 6 กลีบเรียงเป็น 2 วง วงละ 3 กลีบ กลีบดอกเป็นรูปไข่แกมรูปขอบขนานค่อนข้างบอบบาง มีสีน้ำเงินปนม่วง สีฟ้าปนม่วงหรืออาจมีสีขาวแต้มเล็กน้อย ตรงกลางดอกมีเกสรเพศผู้ 6 อัน เป็นขนาดสั้น 5 อัน และขนาดยาว 1อัน ติดอยู่บนรวมกลีบรวม เมื่อดอกได้รับการผสม กลีบรวมจะรัดห่อหุ้มผล ส่วนปลายกลีบบิดพันเป็นเกลียวส่วนก้านดอกจะมีความสูง 2 ใน 3 ของความของก้านใบ ผลเป็นผลแห้งแบบแคบซูล มีลักษณะเป็นรูปรี หรือรูปขอบขนาน ยาวประมาณ1เซนติเมตร เมื่อผลแห้งจะแตกออกเป็น 3 ซีก ภายในผล มีเมล็ดสีน้ำตาลมีปีกขนาดเล็กจำนวนมาก

การขยายพันธุ์ ผักตบไทยสามารถขยายพันธุ์ได้โดย การเพาะเมล็ดและการแยกต้นอ่อนไปปลูก แต่ในปัจจุบันไม่พบการนำผักตบไทยไปปลูก เนื่องจากในธรรมชาติก็ไม่พบผักตบไทยขึ้นอยู่เช่นกัน จึงไม่มีการนำไปเพาะขยายพันธุ์ต่อ ซึ่งผักตบไทยนั้นไม่มีการแพร่กระจายพันธุ์ไปได้รวดเร็ว เหมือนผักตบชวา เพราะผักตบไทยสามารถกระจายพันธุ์ได้ในแหล่งน้ำตื้นเท่านั้น และยังไม่สามารถลอยน้ำยืนต้นโดยไม่มีดินได้เหมือนผักตบชวา

องค์ประกอบเคมี มีรายงานผลการศึกษาวิจัยองค์ประกอบทางเคมีจากส่วนเหนือดินของผักตบไทย ระบุว่าพบสารออกฤทธิ์ที่สำคัญหลายชนิดเช่น สารสกัดจากใบพบสารกลุ่มฟีนอลและฟลาโวนอยด์ เช่น protocatechuic acid, vanillic acid, syringic acid, ferulic acidrutin, quercetin glycosides, Apigenin-7-O-rutinoside, Apigenin-7-O-glucoside (apigetrin)และ,Luteolin-7-O-glucosideส่วนในสารสกัดเอทิลอะซีเตตจากส่วนเหนือดินและส่วนใบของผักตบไทยพบกรดไขมันและเอสเทอร์ของกรดไขมัน เช่น Tridecanoic acid,methyl tridecanoate (TAME), 2-hexyldecanoic acid, dodecanoic acid และ diethyl phthalate เป็นต้น

การศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยา มีรายงานการศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของสารสกัดจากส่วนต่างๆของผักตบไทยระบุว่ามีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาหลายประการดังนี้

มีรายงานว่าสารสกัดเมทานอลจากส่วนใบของผักตบไทย มีฤทธิ์ระงับปวด/ต้านการอักเสบ และมีฤทธิ์กดประสาทส่วนกลาง โดยฤทธิ์ระงับปวดเป็นแบบลดการบิดเกร็ง เมื่อให้สารสกัดในขนาด 400 มก./กก.(เทียบเคียงใกล้เคียงdiclofenac87%)

ส่วนฤทธิ์ต้านอักเสบเป็นการลดอาการบวม carrageenan-induce paw edema ได้อย่างมีนัยสำคัญสำหรับฤทธิ์กดประสาท มีการทดสอบแบบ open-field/hole-cross พบว่าหนูทดลองแสดงการลดการเคลื่อนไหวอย่างมีนัยสำคัญ(คล้ายกับยาDiazepam) และยังมีการศึกษาวิจัยฤทธิ์ต้านเชื้อก่อโรคทางเดินอาหาร ของสารสกัดจากส่วนใบ ของผักตบไทยพบว่า มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อenteric pathogens ในการทดสอบกลไกบ่งชี้การทำลายเยื่อหุ้มเซลล์ การซึมผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ การซึมผ่านเยื่อหุ้ม การรั่วขององค์ประกอบภายใน และความเสียหายทางสัณฐานวิทยาของเซลล์ ส่วนสารสกัดเอทิลอะซีเตตจากส่วนเหนือดิน พบว่ามีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย โดยแสดงโซนยับยั้งเชื้อ 7.0±0.3 ถึง 16.5± 0.8  มม.ที่ความเข้มข้น 100 มก./มล.

การศึกษาวิจัยทางพิษวิทยา ไม่มีข้อมูล

ข้อแนะนำ/ข้อควรระวัง ถึงแม้ว่าในการใช้ผักตบไทยมารับประทาน จะมีความปลอดภัย แต่สำหรับการนำมาใช้เป็นสมุนไพรในการบำบัดรักษาโรคต่างๆ ตามสรรพคุณในตำรับตำรายาต่าง ๆ นั้น ควรระมัดระวังในการใช้เช่นเดียวกัน กับการใช้สมุนไพรเป็นอื่นๆ โดยการใช้ในตำรับตำรายาต่างๆ ไม่ควรใช้ในขนาดที่มากจนเกินไป ใช้ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานานจนเกินไป เพราะจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวได้

อ้างอิงผักตบไทย

  1. เดชา ศิริภัทร.ผักตบ: ผักพื้นบ้านที่ถูกลืม.คอลัมน์ต้นไม้ใบหญ้า.นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่193.พฤษภาคม 2538.
  2. ดร.นิจศิริ เรืองรังสี,ธวัชชัย มังคละคุปต์,ผักตบไทย (Phak Top Thai) หน้า177.
  3. เบญจวรรณ ชิวปรีชา,ศุภกร ไทยมา. (2562). กายวิภาคศาสตร์เปรียบเทียบและสัณฐานวิทยาเรณูของผักตบไทย (Monochoria hastata (L.) Solms var. hastata) และผักตบชวา (Eichhornia crassipes (Mart.) Solms). วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้, 10(2), 151–165.
  4. ฐานข้อมูลสมุนไพรไทยเขตอีสานใต้ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. ผักตบไทย, [ออนไลน์]. 2025, แหล่งที่มา: https://phar.ubu.ac.th/herb-DetailPhargarden/166.
  5. Ahmed, T., Nesa, L. M., Al-Aman, D. A., Kazi, I. N., Kobir, M. E., Ullah, M. A., Dhali, D., & Rashid, M. A. (2020). Analgesic, anti-inflammatory, and central nervous system depressant activities of Monochoria hastate (L.) Solms. in animal models. Pharmacognosy Magazine, 16(71), 580–584.
  6. Akter, R., Islam, M. K., Islam, R., et al. (2018). Evaluation of phytochemical screening and cytotoxic activity of different extracts of Monochoria hastata leaves. World Journal of Pharmacy and Pharmaceutical Sciences, 7(7), 71–82. 
  7. Chayamarit, K. (2005). Pontederiaceae. In Flora of Thailand Vol. 9(1): 53–57.
  8. Tungmunnithum, D., Renouard, S., Drouet, S., & Hano, C. (2022). Flavonoid profiles and antioxidant potential of Monochoria angustifolia and M. hastata (Pontederiaceae). Antioxidants, 11(5), Article 952
  9. Misra, D., Mandal, M., Ghosh, N. N., & Mandal, V. (2020). Extraction and volatile compounds profiling of the bioactive fraction of Monochoria hastata (L.) Solms. Pharmacognosy Magazine, 16(5 Suppl), 517–523..
  10. Wu, G. and C.N. Horn. (2000). Pontederiaceae. In Flora of China Vol. 24: 40–41.
  11. Bai, N. K., & Ilango, K. (2018). HPTLC fingerprinting and quantification of stigmasterol in Monochoria vaginalis and Monochoria hastata. Pharmacognosy Magazine, 14(55), 45–51. 
  12. Misra, D., Mandal, M., Ghosh, N. N., & Mandal, V. (2022). Anti-enteric efficacy and mode of action of tridecanoic acid methyl ester isolated from Monochoria hastata (L.) Solms. Brazilian Journal of Microbiology, 53(2), 715–726.