โกงกางใบใหญ่ ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย

โกงกางใบใหญ่ งานวิจัยและสรรพคุณ 15 ข้อ

ชื่อสมุนไพร โกงการใบใหญ่
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น โกงกาง (ทั่วไป), กงกาง (ภาคกลาง), กงกอน, กางเกง, ลาน, พังกา, พังกาใบใหญ่ (ภาคใต้)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Rhiaophora mucronate Lam.
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Rhiaophora mucronatePoir.
ชื่อสามัญ Red mangrove, Loop-root mangrove, Asiatisk mangrove
วงศ์ RHIZOPHORACEAE


ถิ่นกำเนิดโกงกางใบใหญ่

โกงกางใบใหญ่ จัดเป็นพืชในวงศ์โกงกาง (RHIZOPHORACEAE) ที่มีการแพร่กระจายพันธุ์เป็นวงกว้างตั้งแต่ ชายฝั่งทะเลทางตะวันออกของแอฟริกาเรื่อยมาจนถึงทวีปเอเชียบริเวณชายฝั่งอินโดจีนรวมถึงภาคตะวันออกเฉียงเหนือของออสเตรเลียและหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตก สำหรับในประเทศไทยพบโกงกางใบใหญ่ ได้บริเวณปากแม่น้ำคลองน้ำกร่อย หรือ ตามป่าชายเลนน้ำกร่อยตามชายฝั่งทะเลทางภาคกลาง ภาคตะวันออกและภาคใต้


ประโยชน์และสรรพคุณโกงกางใบใหญ่

  1. แก้ท้องร่วง
  2. แก้บิด บิดเรื้อรัง
  3. แก้อาเจียน แก้อาการคลื่นเหียนอาเจียน
  4. แก้อาเจียนเป็นเลือด
  5. ใช้ชำระบาดแผลเรื้อรัง
  6. ใช้ห้ามเลือด
  7. ช่วยสมานแผล
  8. แก้ไข้
  9. ช่วยป้องกันเชื้อโรคเข้าแผล
  10. ช่วยบำรุงกำลัง
  11. แก้พิษปลาดุกทะเล
  12. แก้พิษปลากระเบนทะเล
  13. แก้เบาหวาน
  14. แก้น้ำเหลืองเสีย
  15. แก้แผลฟกช้ำบวม

           โกงกางใบใหญ่ ถูกนำมาใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ หลายด้านอาทิเช่น เนื้อไม้โกงกางใบใหญ่ มีคุณสมบัติแข็งแรงทนทานจึงมีการนำมาแปรรูปทำเป็นเฟอร์นิเจอร์ เครื่องมือการใช้ในงานก่อสร้างต่างๆ ใช้ทำไม้เสาเข็มไม้ค้ำยัน ใช้ทำเสาร์และหลักใน ที่มีน้ำทะเลขึ้นถึงส่วนในเปลือกต้นมีน้ำฝาด (catechol) โดยจะให้สีน้ำตาลจึงมีการนำมาย้อมสีผ้า แห อวน และเปลือกต้นยังมีสารกลุ่มแทนบินมาก ทำยา ทำหมึก ทำสี ใช้ในการฟอกหนังและทำสีย้อมผม เป็นต้น

           นอกจากนี้โกงกางใบใหญ่ยังสามารถช่วยป้องกันรักษาชายฝั่งทะเลจากการกัดเซาะของน้ำใช้เป็นแนวกำบังคลื่นลมที่เคลื่อนเข้ามาปะทะชายฝั่ง

โกงการใบใหญ่

รูปแบบและขนาดวิธีการใช้

  • ใช้เป็นยาฝาดสมาน แก้ท้องร่วง แก้เบาหวาน แก้บิดเรื้อรัง แก้คลื่นเหียนอาเจียน แก้น้ำเหลืองเสีย แก้แผลฟกช้ำบวม โดยนำเนื้อไม้โกงกางใบใหญ่มาต้มกับน้ำดื่ม
  • ใช้แก้พิษปลาดุกทะเล แก้พิษปลากระเบนทะเล โดยนำผลโกงกางใบใหญ่ อ่อนเคี้ยวและพ่นใส่แผล 
  • ใช้บำรุงกำลัง โดยนำรากอ่อนโกงกางใบใหญ่มาต้มกับน้ำดื่ม
  • ใช้แก้ไข้ โดยนำใบโกงกางใบใหญ่มาต้มกับน้ำดื่ม หรือ นำมาชงกับน้ำร้อนดื่มก็ได้
  • ใช้แก้อาเจียนเป็นเลือด แก้คลื่นเหียนอาเจียน แก้ท้องร่วง แก้ปิดเรื้อรัง ใช้เป็นยาฝาดสมานโดยนำเปลือกโกงกางใบใหญ่ต้มมาต้มกินกับน้ำดื่ม
  • ใช้ห้ามเลือด สมานแผล โดยนำเปลือกต้นโกงกางใบใหญ่มาตำพอก หรือ นำใบอ่อนมาโกงกางใบใหญ่ ตำให้ละเอียดพอกบริเวณแผลก็ได้
  • ใช้ล้างบาดแผลเรื้อรัง สมานแผล โดยนำน้ำจากเปลือกต้นโกงกางใบใหญ่มาล้างแผล หรือ เปลือกต้นไปต้มเอาน้ำมาล้างแผลก็ได้


ลักษณะทั่วไปของโกงกางใบใหญ่

โกงกางใบใหญ่ จัดเป็นต้นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่มีความสูง 30-40 เมตร ลำต้นเปลาตรงจะแตกกิ่งกันมากบริเวณด้านที่รับแสง เปลือกลำต้นมีสีน้ำตาลเทาแตกหยาบเป็นร่องตามยาวและตามขวางเปลือกในเป็นสีส้มในกระพี้เป็นสีเหลืองอ่อนและแก่นเป็นสีน้ำตาล รากมีขนาดใหญ่เป็นรากแบบค้ำจุนโค้งลงจรดดิน (Prop root) โดยจะงอกจากลำต้นแบบไม่เป็นระเบียบจำนวนมากโดยรากคงยาวได้ 2-7 เมตร

           ใบโกงกางใบใหญ่ เป็นใบเดี่ยวอวบใหญ่ออกเรียงสลับทิศตรงข้ามกัน แผ่นมีลักษณะรูปรีกว้าง หรือ มนแกมใบหอกมีขนาดกว้าง 5-13 เซนติเมตร 8-24 เซนติเมตร ฐานใบสอบเข้าหากันรูปลิ่มปลายใบแหลม มีติ่งแข็งเล็กๆ ของใบเรียบ ใบมีสีเขียวอมเหลืองแผ่นใบเรียบเกลี้ยงเป็นมันใบด้านบนสีเขียวอ่อน ท้องใบสีออกเหลืองมีจุดสีดำเล็กๆ กระจายอยู่เต็มท้องใบและมีก้านใบสีเขียวยาว 2.5-6 ดอก ออกเป็นช่อแบบ Cymes บริเวณง่ามใบ โดยในแต่ละช่อดอกจะมีดอกย่อย 2-12 ดอก ดอกโกงกางใบใหญ่ เมื่อตูมจะเป็นรูปไข่มีใบประดับรองที่ฐานดอกเมื่อดอกบานกลีบดอกจะแผ่ออก โดยจะมีกลีบดอกอยู่รอบดอก 4 กลีบ ลักษณะของกลีบดอกเป็นรูปไข่ หรือ รูปใบหอกมีสีขาวอมเหลือง โคนกลีบเชื่อมติดกัน มีความกว้าง 0.5-0.8 เซนติเมตร มีความยาว 1-1.5 เซนติเมตร บริเวณขอบกลีบดอกจะมีขนยาวขึ้นปกคลุมอยู่ดอกมีเกสรเชื่อมตัวผู้จำนวน 8 ก้าน ซึ่งในแต่ละก้านจะยาว 0.5-0.8 เซนติเมตร

           ผลโกงกางใบใหญ่ เป็นผลแบบ Drupebaceous มีลักษณะเป็นรูปไข่ปลายคอด หรือ เป็นรูปผลแพร์กลับ กว้าง 2-3 เซนติเมตร ยาว 3-8เซนติเมตร ผลมีสีน้ำตาลอมเขียว โดยจะเป็นผลแบบที่งอกก่อนผลจะร่วงส่วนบริเวณใต้ผลจะมีเมล็ดงอกยื่นยาวออกมาคล้ายกับฝัก มีลักษณะปลายเรียวแหลมผิวมีสีเขียวเป็นมันมีตุ่มขรุขระทั่วไปซึ่งมัดเรียกว่า "ฝักโกงกางใบใหญ่" และเมื่อฝักแก่แล้วจะมีสีน้ำตาลแดงและมีความยาวได้ถึง 36-90 เซนติเมตร และมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1.5-3 เซนติเมตร

โกงการใบใหญ่
โกงการใบใหญ่

การขยายพันธุ์โกงกางใบใหญ่

โกงกางใบใหญ่ สามารถขยายพันธุ์ได้โดยการใช้ฝัก หรือ เมล็ดที่ออกมาจากผลในการปลูกโดยเริ่มจากการตัดเปลือกฝักที่แก่เต็มที่โดยสังเกตสีของฝักที่มีสีเข้ม หรือ สังเกตที่รอยต่อของผลและฝักโกงกางใบใหญ่ จะมีปลอกที่รอยต่อสีขาวอมเหลืองหุ้มอยู่ หรือ จะเก็บฝักที่หล่นจากต้นแล้วลอยน้ำก็ได้ จากนั้นจึงนำฝักที่ได้มาปลูกบริเวณที่ต้องการได้เลยโดยต้องทำการปัก หรือ ฝังไม้โกงกางลงไว้ตามจุดที่หมายลงไงลึกประมาณ 10 เซนติเมตร หรือ ปักให้ติดดินแน่นไม่ให้ถูกน้ำพัดพาไปได้ (การกักฝังลึก หรือ ตื้นไม่มีผลต่อการรอดตาย) การปักตื้นเกินไปโอกาสที่ฝักจะหลุดลอยน้ำไปโดยง่าย


องค์ประกอบทางเคมี

มีรายงานผลการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับองค์ประกอบทางเคมีของสารสกัดจากส่วนต่างๆ ของโกงกางใบใหญ่ระบุว่าพบสารออกฤทธิ์ที่สำคัญหลายชนิดดังนี้ สารสกัดจากเปลือกต้นโกงกางใบใหญ่ พบสารในกลุ่มคอนเดนส์แทนนิน ได้แก่ catechin, epicatechin, epigallocatechin, epicatechin gallate ส่วนในสารสกัดเอทิลแอชิเตตจากเปลือกต้นโกงกางใบใหญ่พบสาร daidzein,phlorizin, naringenin, Cinchanain Ib, Breyioside A และ Polystachyol เป็นต้น สารสกัด methanol จากส่วนใบโกงกางใบใหญ่ พบสาร Coumarins, Xanthones, benzoic acid, amentoflavone, naringenin สารสักจากส่วนดอกโกงกางใบใหญ่พบสาร hexadecane, eugenol, methyleugenol, undecane, eicosane และ hexacosane สารสกัดจากส่วนใบ ผลและเมล็ดโกงกางใบใหญ่ พบสาร sitosterol, campesterol, stigmasterol, lupeol, botulin, palmitic acid, catharanthine, serpentine, amalicine, vindoline และ luteolin เป็นต้น

โครงสร้างโกงกางใบใหญ่

การศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของโกงกางใบใหญ่

มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของสารสกัดจากส่วนต่างๆ ของโกงกางใบใหญ่ระบุว่ามีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาหลายประการดังนี้

           มีรายงานผลการศึกษาวิจัยในหลอดทดลองเกี่ยวกับฤทธิ์ต้านไวรัสเอชไอวี (anti-HIV) ของสารกลุ่มโพลีแซ็กคาไรด์จากเปลือกต้นโกงกางใบใหญ่พบว่าสามารถป้องกันเซลล์ MT-4 จาก cytopathicity ของไวรัสโดยยับยั้งการแสดงแอนติเจนและขัดขวางการยึดเกาะ การซิงซิเทียมของ HIV-1 ส่วนสารสกัดไฮโดรแอลกอฮอล์จากเปลือกต้นและฝักแสดงฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ a-glucosidase อย่างมีนัยสำคัญและสารกลุ่มโพลีไอโซพรีนอยด์ที่ได้จากสารสกัดโกงกางใบใหญ่ จากส่วนใบมีฤทธิ์ทำให้เกิดการตายแบบ apoptosis และหยุดวัฏจักรเซลล์ที่ระยะ G0-G1ในเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่ WiDr ได้

           อีกทั้งยังมีการรายงานผลการศึกษาวิจัยในสัตว์ทดลองระบุว่าสารสกัดเปลือกต้นและใบโกงกางใบใหญ่ในหนูถีบจักรโดยการป้อนสารสกัดให้แก่หนูถีบจักรในขนาด 250-500 มล./กก. พบว่าสามารถลดอาการบวมของอุ้งเท้าจากฟอร์มาลินและแกรนูโลมาสปองจ์ อีกทั้งยังช่วยลดการปวดในการทดสอบความเจ็บปวดด้วยแผ่นร้อนและกรดอะซิติกอีกด้วย

           นอกจากนี้ยังมีการศึกษาวิจัยสารสำคัญในเปลือกและรากของโกงกางใบใหญ่ ซึ่งผลการทดลองพบว่ามีศักยภาพเป็นสารต้านอนุมูลอิสระโดยสามารถช่วยต้าน hydroxyl radicals และ iron chelating ได้อีกทั้งยังมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียชนิด Escherichia coli และ Salmonella typhi อีกด้วย


การศึกษาพิษวิทยาของโกงกางใบใหญ่

มีการรายงานผลการศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาจากเปลือกต้นของโกงกางใบใหญ่ ทั้งใบ พิษเฉียบพลันและกึ่งเรื้อรัง (28 วัน) โดยได้ทำการประเมินในหนูถีบจักร ด้วยสารสกัดเอทิลแอซิเตตจากเปลือกต้นผลการศึกษาวิจัยพบว่าไม่พบอาการเป็นพิษทั้งทางคลินิกชีวเคมีของเลือดและพยาธิวิทยาเนื้อเยื่อ


ข้อแนะนำและข้อควรระวัง

มีการรายงานการศึกษาวิจัยพบว่าเปลือกต้นของโกงกางใบใหญ่ มีสารแทนนินสูงซึ่งหากใช้ในรูปแช่ต้มแบบเข้มข้นต่อเนื่องอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองทางเดินอาหาร หรือ อาจรบกวนการดูดซึมแร่ธาตุได้


เอกสารอ้างอิง โกงกางใบใหญ่
  1. ณิฏฐารัตน์ ปภาวสิทธิ์, วรินทร ชวศิริ, วิโรจน์ ธีนธนาธร. 2555. หนังสือพรรณไม้สมุนไพรในป่าชายเลน บ้านทุ่งตะแซะ จังหวัดตรัง. พิมพ์ครั้งที่ 1. ห้างประสุขชัยการพิมพ์
  2. ประนอม ชุมเรียง,นันทิกานต์ ปะตุกา,ณัฐการะดา ด้วงอ่อน. โครงสร้างพลวัฒน์ป่าชายเลน/ศูนย์วิจัยทรัพยากรป่าชายเลนที่ 6 (สตูล) วารสารวิจัยนิเวศวิทยาป่าไม้เมืองไทย ปีที่ 5 ฉบับที่ 1. มกราคม-มิถุนายน 2564. หน้า 53-54
  3. สุมนต์ทิพย์ คงตัน. จันทร์ฟัก (2553).การพัฒนาสีย้อมผมจากพืชสมุนไพรไทย. วารสารวิทยาศาสตร์เกษตร. (พิเศษ) 425-428.
  4. พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ, ดร.นิจศิริ เรืองรังสี, กัญจนา ดีวิเศษ, โกงกาง, หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคกลาง, หน้า 76.
  5. ทธิโชค จันทร์ย่อง. 2552. พันธุ์ไม้ป่าชายเลนและป่าชายหาดชายฝั่งอ่าวสิเกา จังหวัดตรัง. นีโอพ้อยท์. 138 น.
  6. Banerjee, D., Chakrabarti, S., Hazra, A.K., Banerjee, S., Ray, J. and Mukerjee, B. 2008.Antioxidant activity and total phenolic of some mangrove in Sunderbans.Arican Journal of Biotechnology 7(6): 805-810.
  7. Sari, D. P., Basyuni, M., Hasibuan, P. A., Sumardi, S., Nuryawan, A., & Wati, R. (2018). Cytotoxic effect of polyisoprenoids from Rhizophora mucronata and Ceriops tagal leaves against WiDr colon cancer cell lines. Sains Malaysiana, 47(9), 1953-1959. 
  8. Bandaranayake, W. M. (2002). Bioactivities, bioactive compounds and chemical constituents of mangrove plants. Wetlands Ecology and Management, 10(6), 421-452.
  9. Van der Merwe, J., et al. (2024). Mangrove plants in medical sciences: A comprehensive review (sections on R. mucronata chemistry & activities). Medical Sciences, 12(9), 63.
  10. Premanathan, M., Kathiresan, K., Yamamoto, N., & Nakashima, H. (1999). In vitro anti‑human immunodeficiency virus activity of polysaccharide from Rhizophora mucronata. Bioscience, Biotechnology, and Biochemistry, 63(7), 1187-1191.
  11. Sari, D. P., et al. (2019). Cytotoxic and antiproliferative activity of polyisoprenoids in mangrove leaves against colon cancer cells. Asian Pacific Journal of Cancer Prevention, 20(? ), 3393-3400.
  12. Khalid, S., et al. (2019). HPLC characterization, acute and sub‑acute toxicity evaluation of Rhizophora mucronata bark extract in Swiss albino mice. Heliyon, 5(12),
  13. Teh, C. Y., et al. (2020). Anti‑wood‑fungal performance of methanol extracts of Rhizophora apiculata and R. mucronata barks (bioactivity context; tannin‑rich). BioResources, 15(3). 
  14. Rohini, R. M., & Das, B. L. (2009). Comparative evaluation of analgesic and anti‑inflammatory activities of Rhizophora mucronata bark extracts. Pharmacologyonline, 1, 780-791. 
  15. Lawag, I. L., Aguinaldo, A. M., Naheed, S., & Mosihuzzaman, M. (2012). α‑Glucosidase inhibitory activity of selected Philippine plants (including R. mucronata). Journal of Ethnopharmacology, 144(1), 217-219.