กระพี้จั่น ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย
กระพี้จั่น งานวิจัยและสรรพคุณ 11 ข้อ
ชื่อสุมนไพร กระพี้จั่น
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น จั่น , พี้จั่น (ภาคกลาง,ภาคอีสาน,ทั่วไป),ปี๊จั่น (ภาคเหนือ)
ชื่อวิทยาศาสตร์Millettia brandisiana Kurz
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์Phaseoloides brandisianum (Kurz) Kuntze
วงศ์FABACEAE-LEGUMINOSAE
ถิ่นกำเนิด กระพี้จั่น จัดเป็นพืชในวงศ์ถั่ว (FABACEAE) ที่มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้บริเวณประเทศไทย กัมพูชา ลาว และพม่า รวมถึงบางพื้นที่ในบังคลาเทศ จากนั้นจึงได้มีการแพร่กระจายพันธุ์ไปยัง ภูมิภาคเอเชียใต้ สำหรับในประเทศไทยสามารถพบกระพี้จั่นได้มากในภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันตก บริเวณป่าเบญจพรรณและป่าเต็งรังที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 50-700 เมตร
ประโยชน์/สรรพคุณ กระพี้จั่นถูกนำมาใช้ประโยชน์ในรูปแบบต่างๆดังนี้
มีการนำยอดอ่อนของกระพี้จั่นมาใช้รับประทานเป็นผักสดจิ้มน้ำพริก หรือนำมาใส่ในแกงหรือยำต่างๆหลายชนิด และมีการนำฝักและเมล็ด มาใช้สกัดเป็นสารควบคุมแมลงศัตรูพืชในการทำเกษตรอินทรีย์ ส่วนเนื้อไม้ก็มีความแข็งแรง จึงมีการนำมาใช้ทำเสา คาน ใช้ปูพื้นบ้าน ทำเฟอร์นิเจอร์หรือนำมาใช้ในการก่อสร้างต่างๆ นอกจากนี้ในปัจจุบันยังนิยมนำกระพี้จั่นมาใช้ปลูกเป็นไม้ประดับหรือนำมาใช้ปลูกเป็นไม้ขุดล้อมขายเพื่อนำไปประดับตามโรงแรม รีสอร์ท หรือตามสถานที่ราชการต่างๆ เนื่องจากมีช่อดอกสีม่วงที่สวยงาม เมื่อถึงฤดูกาลออกดอกก็จะทิ้งใบ และผลิดอกสีม่วงอมครามสวยงาม รวมถึงยังสามารถใช้เป็นไม่ให้ร่มเงาตอนผลิบได้อีกด้วย
สำหรับสรรพคุณทางยาของกระพี้จั่นนั้นตามตำรายาไทย และตำรายาพื้นบ้านของไทยได้ระบุถึงสรรพคุณเอาไว้ว่าแก่นใช้บำรุงกำลัง บำรุงร่างกาย บำรุงโลหิต บำรุงธาตุ ช่วยให้เจริญอาหาร เนื้อไม้ ใช้แก้ไข้ บำรุงกำลัง บำรุงเลือด เปลือกและใบใช้สมานแผล แก้โรคผิวหนัง รากใช้ขับลม แก้ปวดท้อง
รูปแบบ/ขนาดวิธีใช้ ใช้บำรุงกำลัง บำรุงร่างกาย บำรุงธาตุ บำรุงโลหิต ช่วยเจริญอาหาร โดยนำแก่นไม้มาฝนกับน้ำสะอาดดื่ม หรือจะนำมาต้มกับน้ำดื่มก็ได้ ใช้แก้ไข้ บำรุงเบือด บำรุงกำลัง โดยนำเนื้อไม้มาต้มกับน้ำดื่ม ใช้แก้ปวดท้อง ขับลม ขับปัสสาวะ โดยวนำรากมาต้มกับน้ำดื่ม ใช้สมานแผล แก้โรคผิวหนัง โดยนำเปลือกต้นและใบสด มาตำพอกหรือทาบริเวณที่เป็น
ลักษณะทั่วไป กระพี้จั่นจัดเป็นไม้ยืนต้นผลัดใบเรือนยอดเป็นทรงกลมขนาดเล็กถึงขนาดกลางมีความสูง 8-20 เมตร โคนต้นเป็นพูพอนเปลือกต้นมีสีน้ำตาล หรือน้ำตาลเทา ผิวลำต้นเรียบหรืออาจแตกเป็นสะเก็ดเล็กๆ ตามกิ่งมักใบมีรอยแผล ใบประกอบแบบขนนกชั้นเดียวปลายคี่ ออกเรียงเวียนสลับบริเวณปลายกิ่งมีก้านแกนกลางใบประกอบยาว 10-20 เซนติเมตร และมีใบย่อย 6-8 คู่ รูปขอบขนานหรือรูปขอบขนานแกมรูปใบหอก กว้าง 0.8-1.7 เซนติเมตร ยาว 2.5-7.0 เซนติเมตร โคนมนสอบเรียวหรือเป็นรูปลิ่ม ปลายแหลมหรือมน ขอบใบเรียบแผ่นใบค่อนข้างบางผิวใบเกลี้ยง ด้านบนของใบมีสีเขียวเข้ม ด้านล่างสีอ่อนกว่า มีขนสั้นนุ่มประปรายตามเส้นกลางใบ ผลัดใบก่อน ส่วนก้านใบย่อยยาว 3-7 เซนติเมตร โดยโคนก้านบวม มักมีสีคล้ำ ดอกออกเป็นช่อแบบแยกแขนง บริเวณกิ่งและง่ามใบช่อดอกมีความยาว 10-25 เซนติเมตร มีดอกย่อยจำนวนมาก ดอกย่อยมีสีม่วงแกมขาว หรือสีชมพูอมม่วง ดอกตูมจะมีสีน้ำตาลเข้มหรือม่วงดำ โดยดอกจะมีลักษณะเป็นรูปถั่ว ดอกจะมีมีกลีบดอก 5 กลีบ 4 กลีบ เป็นรูปขอบขนานยาวรีกว้าง 0.3-0.5 เซนติเมตร ยาว 1.0-1.5 เซนติเมตร และอีก 1 กลีบมีรูปร่างกลมบิดม้วน กว้าง 1.5 เซนติเมตร ยาว 1.8 เซนติเมตร มีเกสรเพศผู้ 10 อัน และดอกย่อยจะมีกลีบเลี้ยงมีม่วงดำเชื่อมติดกันคล้ายรูประฆัง ปลายแยกออกเป็น 5 แฉก ยาว 0.4-0.5 เซนติเมตร มีขนอ่อนปกคลุม ผลเป็นฝักแบบผลแห้งแตกสองแนว โดยฝักจะแบนเป็นรูปขอบขนานแกมรูปหอกกลับ เปลือกฝักเกลี้ยง มีขอบเป็นสันส่วน ด้านโคนแคบกว่าด้านปลายฝักมีขนาดกว้าง 2-2.5 เซนติเมตร ยาว 10-14 เซนติเมตร เมื่อฝักอ่อนมีสีเขียว ฝักแก่สีน้ำตาลอมเหลืองด้านในฝักมีเมล็ดลักษณะค่อนข้างกลม สีน้ำตาลอมดำ 1-4 เมล็ด
การขยายพันธุ์ กระพี้จั่นสามารถขยายพันธุ์ได้โดยวิธีการเพาะเมล็ด โดยในปัจจุบันเริ่มมีการนำเมล็ดของกระพี้จั่นมาเพาะเป็นต้นกล้า ส่งขายหรือนำมาปลูกเลี้ยงขุดขายเป็นไม้ขุดล้อม เพื่อใช้เป็นไม้ให้ร่มเงาหรือไม้ประดับตามสวนสาธารณะหรือรีสอร์ท ต่างๆ ทั้งนี้กระพี้จั่นเป็นพืชที่เจริญได้ดีในดินร่วนที่มีความชื้นปานกลาง เป็นไม้ที่ทนแล้งได้ดี ไม่ต้องคอยดูแลมากนัก สำหรับวิธีการเพาะเมล็ดและการปลูกกระพี้จั่นนั้น สามารถทำได้เช่นเดียวกันกับการเพาะเมล็ดและการปลูกไม้ยืนต้นต่างๆตามที่ได้กล่าวถึงมาแล้วในบทความก่อนหน้านี้
องค์ประกอบทางเคมี มีรายงานผลการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับองค์ประกอบทางเคมีของสารสกัดจากส่วนต่างๆ ของกระพี้จั่นระบุว่าพบสารออกฤทธิ์ที่สำคัญหลายชนิดดังนี้
สารสกัดจากส่วนเนื้อไม้ เปลือกต้นและฝักพบสารกลุ่ม Rotenoids และ Isoflavonoids เช่น DeguelinRotenoneTephrosinMillettosinMillettone และ Formononetin เป็นต้น
การศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยา มีรายงนผลการศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของสารสกัดจากส่วนเหนือดินของกระพี้จั่นระบุว่ามีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่สำคัญหลายประการอาทิเช่น จากการศึกษาวิจัยในหลอดทดลอง (in vitro) พบว่าสาร Deguelin แสดงฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งหลายชนิด เช่น มะเร็งปอด มะเร็งตับ และมะเร็งเต้านม โดยสารดังกล่าวจะเข้าไปรบกวนการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็งส่วนสาร Rotenone พบว่ามีฤทธิ์ต้านแมลง นอกจากนี้ยังมีรายงานผลการทดลองในสัตว์ทดลอง (in vivo) ระบุว่าสาร Deguelin เมื่อนำ Deguelin มาป้อนให้แก่หนูทดลอง พบว่าสามารถยับยั้งการก่อตัวของเนื้องอกได้โดยไม่ก่อให้เกิดพิษรุนแรงต่ออวัยวะอื่น
การศึกษาวิจัยพิษวิทยา มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาของเปลือกต้นกระพี้จั่น ระบุว่าสาร Rotenone ที่แยกได้จากสารสกัดจากเปลือกต้นกระพี้จั่นจัดอยู่ในกลุ่มมีพิษต่อระบบประสาท (neurotoxic) หากได้รับในปริมาณมากหรือสะสมเป็นเวลานาน อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคพาร์กินสัน นอกจากนี้ในงานวิจัยในสัตว์ทดลอง (invivo) ยังพบว่า การให้ Deguelin แก่หนูทดลองในขนาดสูงอาจก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ตับและปอดได้
ข้อแนะนำ/ข้อควรระวัง ในการใช้กระพี้จั่นเป็นสมุนไพรในการบำบัดรักษาโรคต่างๆ นั้น ควรระมัดระวังในการใช้เช่นเดียวกันกับการใช้สมุนไพรชนิดอื่นๆ โดยการใช้ในขนาด/ปริมาณที่เหมาะสมที่ได้ระบุไว้ในตำรับตำรายาต่างๆ ไม่ควรใช้ในขนาดที่มากจนเกินไปหรือใช้ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานานจนเกินไป เพราะอาจส่งผลระทบต่อสุขภาพในระยะยาวได้
อ้างอิงกระพี้จั่น
- วุฒิ วุฒิธรรมเวช. (2541). พรรณไม้พื้นบ้านอีสาน. ขอนแก่น: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยขอนแก่น.
- ธวัชชัย สันติสุข.2538.กระพี้จั่น น.123 อ้างโดยราชบัณฑิตสถาน.อนุกรมวิธานพืช อักษร ก.เพื่อนพิมพ์จำกัด.495 น.
- นันทวัน บุณยะประภัศร, บรรณาธิการ. (2554). สมุนไพรไม้ต้น. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์อมรินทร์สุขภาพ.
- ราชบัณฑิตยสถาน,พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554.เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554.กรุงเทพฯราชบัณฑิตยสถาน.2556.หน้า311.
- กรมป่าไม้. (2550). คู่มือพรรณไม้เศรษฐกิจของไทย. กรุงเทพฯ: กรมป่าไม้.
- เชาวลิต ศรีวิเชียร. (2546). สมุนไพรไทย เล่ม 2. กรุงเทพฯ: โอเดียนสโตร์.
- ฉัตรชัย เงินแสงสรวย.รัมภ์รดา มีบุญญา,ปวีณา เวสภักตร์,ณัฐนนท์ มีพรหม,สิริพร ชดช้อย,วีรีศา บุญทะศักดิ์ ละจามิกร วงศ์จิ้ว,2562.พรรณไม้ในวังสระปทุม.มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์,กรุงเทพฯ.
- สมพร จันทร์โท. (2548). การใช้ประโยชน์จากพืชสมุนไพรพื้นบ้านในจังหวัดมหาสารคาม. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต สาขาชีววิทยา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.
- ธนวัฒน์ เพ็งสุวรรณ. (2552). ฤทธิ์กำจัดแมลงของสารสกัดจากพืชวงศ์ถั่ว. การประชุมวิชาการมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ครั้งที่ 47.
- Gardner, S., Sidisunthorn, P., & Anusarnsunthorn, V. (2000). A Field Guide to Forest Trees of Northern Thailand. Bangkok: Kobfai Publishing Project.
- Nakatani, M., et al. (1994). Rotenoids from Millettia brandisiana. Phytochemistry, 36(5), 1277–1280
- Betarbet, R., et al. (2000). Chronic systemic pesticide exposure reproduces features of Parkinson’s disease. Nature Neuroscience, 3(12), 1301–1306.
- Kim, S. H., et al. (2005). Deguelin induces apoptosis in human lung cancer cell lines and prevents tobacco carcinogen-induced lung tumorigenesis in mice. Cancer Research, 65(23), 10605–10610
- Pooma, R. (Ed.). (2005). A Preliminary Check-list of Threatened Plants in Thailand. Bangkok: Office of Natural Resources and Environmental Policy and Planning
- Ryu, S. Y., et al. (1997). Toxicological evaluation of Deguelin from Millettia brandisiana in rodents. Journal of Ethnopharmacology, 58(2), 127–135
- Yan, B., et al. (2003). Deguelin, a natural product, inhibits the transforming growth factor-beta signaling pathway and suppresses breast cancer metastasis. Cancer Research, 63(22), 8923–8929.