กระพี้จั่น ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย

กระพี้จั่น งานวิจัยและสรรพคุณ 12 ข้อ

ชื่อสุมนไพร กระพี้จั่น
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น จั่น, พี้จั่น (ภาคกลาง, ภาคอีสาน, ทั่วไป), ปี๊จั่น (ภาคเหนือ)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Millettia brandisiana Kurz
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Phaseoloides brandisianum (Kurz) Kuntze
วงศ์ FABACEAE-LEGUMINOSAE


ถิ่นกำเนิดกระพี้จั่น

กระพี้จั่น จัดเป็นพืชในวงศ์ถั่ว (FABACEAE) ที่มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้บริเวณประเทศไทย กัมพูชา ลาว และพม่า รวมถึงบางพื้นที่ในบังกลาเทศ จากนั้นจึงได้มีการแพร่กระจายพันธุ์ไปยัง ภูมิภาคเอเชียใต้ สำหรับในประเทศไทยสามารถพบกระพี้จั่น ได้มากในภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันตก บริเวณป่าเบญจพรรณและป่าเต็งรังที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 50-700 เมตร


ประโยชน์และสรรพคุณกระพี้จั่น

  1. ช่วยบำรุงกำลัง
  2. ช่วยบำรุงร่างกาย
  3. ช่วยบำรุงโลหิต
  4. ช่วยบำรุงธาตุ
  5. ช่วยให้เจริญอาหาร
  6. แก้ไข้
  7. ช่วยบำรุงเลือด
  8. ใช้สมานแผล
  9. แก้โรคผิวหนัง
  10. ใช้ขับลม
  11. แก้ปวดท้อง
  12. ขับปัสสาวะ

           มีการนำยอดอ่อนของกระพี้จั่นมาใช้รับประทานเป็นผักสดจิ้มน้ำพริก หรือ นำมาใส่ในแกง หรือ ยำต่างๆ หลายชนิดและมีการนำฝักและเมล็ดกระพี้จั่น มาใช้สกัดเป็นสารควบคุมแมลงศัตรูพืชในการทำเกษตรอินทรีย์ ส่วนเนื้อไม้ก็มีความแข็งแรง จึงมีการนำมาใช้ทำเสา คาน ใช้ปูพื้นบ้าน ทำเฟอร์นิเจอร์ หรือ นำมาใช้ในการก่อสร้างต่างๆ นอกจากนี้ในปัจจุบันยังนิยมนำกระพี้จั่นมาใช้ปลูกเป็นไม้ประดับ หรือ นำมาใช้ปลูกเป็นไม้ขุดล้อมขายเพื่อนำไปประดับตามโรงแรม รีสอร์ท หรือ ตามสถานที่ราชการต่างๆ เนื่องจากกระพี้จั่น มีช่อดอกสีม่วงที่สวยงาม เมื่อถึงฤดูกาลออกดอกก็จะทิ้งใบและผลิดอกสีม่วงอมครามสวยงาม รวมถึงยังสามารถใช้เป็นไม่ให้ร่มเงาตอนผลิใบได้อีกด้วย


รูปแบบและขนาดวิธีใช้

  • ใช้บำรุงกำลัง บำรุงร่างกาย บำรุงธาตุ บำรุงโลหิต ช่วยเจริญอาหาร โดยนำแก่นไม้กระพี้จั่นมาฝนกับน้ำสะอาดดื่ม หรือ จะนำมาต้มกับน้ำดื่มก็ได้
  • ใช้แก้ไข้ บำรุงเลือด บำรุงกำลัง โดยนำเนื้อไม้กระพี้จั่นมาต้มกับน้ำดื่ม
  • ใช้แก้ปวดท้อง ขับลม ขับปัสสาวะ โดยนำรากกระพี้จั่น มาต้มกับน้ำดื่ม
  • ใช้สมานแผล แก้โรคผิวหนัง โดยนำเปลือกต้นและใบกระพี้จั่นสด มาตำพอก หรือ ทาบริเวณที่เป็น


ลักษณะทั่วไปของกระพี้จั่น

กระพี้จั่น จัดเป็นไม้ยืนต้นผลัดใบเรือนยอดเป็นทรงกลมขนาดเล็กถึงขนาดกลางมีความสูง 8-20 เมตร โคนต้นเป็นพูพอนเปลือกต้นมีสีน้ำตาล หรือ น้ำตาลเทา ผิวลำต้นเรียบ หรือ อาจแตกเป็นสะเก็ดเล็กๆ ตามกิ่งมักใบมีรอยแผล

           ใบกระพี้จั่น ประกอบแบบขนนกชั้นเดียวปลายคี่ ออกเรียงเวียนสลับบริเวณปลายกิ่งมีก้านแกนกลางใบประกอบยาว 10-20 เซนติเมตร และมีใบย่อย 6-8 คู่ รูปขอบขนาน หรือ รูปขอบขนานแกมรูปใบหอกกว้าง 0.8-1.7 เซนติเมตร ยาว 2.5-7.0 เซนติเมตร โคนมนสอบเรียว หรือ เป็นรูปลิ่ม ปลายแหลม หรือ มน ขอบใบเรียบแผ่นใบค่อนข้างบางผิวใบเกลี้ยง ด้านบนของใบมีสีเขียวเข้ม ด้านล่างสีอ่อนกว่า มีขนสั้นนุ่มประปรายตามเส้นกลางใบ ผลัดใบก่อน ส่วนก้านใบย่อยยาว 3-7 เซนติเมตร โดยโคนก้านบวม มักมีสีคล้ำ

           ดอกกระพี้จั่น ออกเป็นช่อแบบแยกแขนง บริเวณกิ่งและง่ามใบช่อดอกมีความยาว 10-25 เซนติเมตร มีดอกย่อยจำนวนมาก ดอกย่อยมีสีม่วงแกมขาว หรือ สีชมพูอมม่วง ดอกตูมจะมีสีน้ำตาลเข้ม หรือ ม่วงดำ โดยดอกจะมีลักษณะเป็นรูปถั่ว ดอกจะมีกลีบดอก 5 กลีบ 4 กลีบ เป็นรูปขอบขนานยาวรีกว้าง 0.3-0.5 เซนติเมตร ยาว 1.0-1.5 เซนติเมตร และอีก 1 กลีบมีรูปร่างกลมบิดม้วน กว้าง 1.5 เซนติเมตร ยาว 1.8 เซนติเมตร มีเกสรเพศผู้ 10 อัน และดอกย่อยจะมีกลีบเลี้ยงสีม่วงดำเชื่อมติดกันคล้ายรูประฆัง ปลายแยกออกเป็น 5 แฉก ยาว 0.4-0.5 เซนติเมตร มีขนอ่อนปกคลุม

           ผลกระพี้จั่น เป็นฝักแบบผลแห้งแตกสองแนว โดยฝักจะแบนเป็นรูปขอบขนานแกมรูปหอกกลับ เปลือกฝักเกลี้ยง มีขอบเป็นสันส่วน ด้านโคนแคบกว่าด้านปลายฝักมีขนาดกว้าง 2-2.5 เซนติเมตร ยาว 10-14 เซนติเมตร เมื่อฝักอ่อนมีสีเขียว ฝักแก่สีน้ำตาลอมเหลืองด้านในฝักมีเมล็ดลักษณะค่อนข้างกลม สีน้ำตาลอมดำ 1-4 เมล็ด

กระพี้จั่น
กระพี้จั่น

การขยายพันธุ์กระพี้จั่น

กระพี้จั่นสามารถขยายพันธุ์ได้โดยวิธีการเพาะเมล็ด โดยในปัจจุบันเริ่มมีการนำเมล็ดของกระพี้จั่นมาเพาะเป็นต้นกล้า ส่งขาย หรือ นำมาปลูกเลี้ยงขุดขายเป็นไม้ขุดล้อม เพื่อใช้เป็นไม้ให้ร่มเงา หรือ ไม้ประดับตามสวนสาธารณะ หรือ รีสอร์ทต่างๆ ทั้งนี้กระพี้จั่น เป็นพืชที่เจริญได้ดีในดินร่วนที่มีความชื้นปานกลาง เป็นไม้ที่ทนแล้งได้ดี ไม่ต้องคอยดูแลมากนัก สำหรับวิธีการเพาะเมล็ดและการปลูกกระพี้จั่นนั้น สามารถทำได้เช่นเดียวกันกับการเพาะเมล็ดและการปลูกไม้ยืนต้นต่างๆ ตามที่ได้กล่าวถึงมาแล้วในบทความก่อนหน้านี้


องค์ประกอบทางเคมี

มีรายงานผลการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับองค์ประกอบทางเคมีของสารสกัดจากส่วนต่างๆ ของกระพี้จั่นระบุว่าพบสารออกฤทธิ์ที่สำคัญหลายชนิดดังนี้

           สารสกัดจากส่วนเนื้อไม้ เปลือกต้นและฝักกระพี้จั่น พบสารกลุ่ม Rotenoids และ Isoflavonoids เช่น Deguelin, RotenoneTephrosin, Millettosin, Millettone และ Formononetin เป็นต้น

โครงสร้างกระพี้จั่น

การศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของกระพี้จั่น

มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของสารสกัดกระพี้จั่น จากส่วนเหนือดินของกระพี้จั่น ระบุว่ามีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่สำคัญหลายประการอาทิเช่น จากการศึกษาวิจัยในหลอดทดลอง (in vitro) พบว่าสาร Deguelin แสดงฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งหลายชนิด เช่น มะเร็งปอด มะเร็งตับ และมะเร็งเต้านม โดยสารดังกล่าวจะเข้าไปรบกวนการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็งส่วนสาร Rotenone พบว่ามีฤทธิ์ต้านแมลง นอกจากนี้ยังมีรายงานผลการทดลองในสัตว์ทดลอง (in vivo) ระบุว่าสาร Deguelin เมื่อนำ Deguelin มาป้อนให้แก่หนูทดลอง พบว่าสามารถยับยั้งการก่อตัวของเนื้องอกได้โดยไม่ก่อให้เกิดพิษรุนแรงต่ออวัยวะอื่น


การศึกษาวิจัยพิษวิทยาของกระพี้จั่น

มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาของเปลือกต้นกระพี้จั่น ระบุว่าสาร Rotenone ที่แยกได้จากสารสกัดจากเปลือกต้นกระพี้จั่น จัดอยู่ในกลุ่มมีพิษต่อระบบประสาท (neurotoxic) หากได้รับในปริมาณมาก หรือ สะสมเป็นเวลานาน อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคพาร์กินสัน นอกจากนี้ในงานวิจัยในสัตว์ทดลอง (invivo) ยังพบว่า การให้ Deguelin แก่หนูทดลองในขนาดสูงอาจก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ตับและปอดได้


ข้อแนะนำและข้อควรระวัง

ในการใช้กระพี้จั่น เป็นสมุนไพรในการบำบัดรักษาโรคต่างๆ นั้น ควรระมัดระวังในการใช้เช่นเดียวกันกับการใช้สมุนไพรชนิดอื่นๆ โดยการใช้ในขนาดและปริมาณที่เหมาะสมที่ได้ระบุไว้ในตำรับตำรายาต่างๆ ไม่ควรใช้ในขนาดที่มากจนเกินไป หรือ ใช้ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานานจนเกินไป เพราะอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวได้


เอกสารอ้างอิง กระพี้จั่น
  1. วุฒิ วุฒิธรรมเวช. (2541). พรรณไม้พื้นบ้านอีสาน. ขอนแก่น: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยขอนแก่น.
  2. ธวัชชัย สันติสุข.2538.กระพี้จั่น น.123 อ้างโดยราชบัณฑิตยสถาน. อนุกรมวิธานพืช อักษร ก.เพื่อนพิมพ์จำกัด. 495 น.
  3. นันทวัน บุณยะประภัศร, บรรณาธิการ. (2554). สมุนไพรไม้ต้น. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์อมรินทร์สุขภาพ.
  4. ราชบัณฑิตยสถาน,พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554. เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554. กรุงเทพฯราชบัณฑิตยสถาน. 2556. หน้า 311.
  5. กรมป่าไม้. (2550). คู่มือพรรณไม้เศรษฐกิจของไทย. กรุงเทพฯ: กรมป่าไม้.
  6. เชาวลิต ศรีวิเชียร. (2546). สมุนไพรไทย เล่ม 2. กรุงเทพฯ: โอเดียนสโตร์.
  7. ฉัตรชัย เงินแสงสรวย. รัมภ์รดา มีบุญญา, ปวีณา เวสภักตร์, ณัฐนนท์ มีพรหม, สิริพร ชดช้อย, วีรีศา บุญทะศักดิ์ ละจามิกร วงศ์จิ้ว, 2562. พรรณไม้ในวังสระปทุม. มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, กรุงเทพฯ.
  8. สมพร จันทร์โท. (2548). การใช้ประโยชน์จากพืชสมุนไพรพื้นบ้านในจังหวัดมหาสารคาม. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต สาขาชีววิทยา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.
  9. ธนวัฒน์ เพ็งสุวรรณ. (2552). ฤทธิ์กำจัดแมลงของสารสกัดจากพืชวงศ์ถั่ว. การประชุมวิชาการมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ครั้งที่ 47.
  10. Gardner, S., Sidisunthorn, P., & Anusarnsunthorn, V. (2000). A Field Guide to Forest Trees of Northern Thailand. Bangkok: Kobfai Publishing Project.
  11. Nakatani, M., et al. (1994). Rotenoids from Millettia brandisiana. Phytochemistry, 36(5), 1277-1280
  12. Betarbet, R., et al. (2000). Chronic systemic pesticide exposure reproduces features of Parkinson’s disease. Nature Neuroscience, 3(12), 1301-1306.
  13. Kim, S. H., et al. (2005). Deguelin induces apoptosis in human lung cancer cell lines and prevents tobacco carcinogen-induced lung tumorigenesis in mice. Cancer Research, 65(23), 10605-10610
  14. Pooma, R. (Ed.). (2005). A Preliminary Check-list of Threatened Plants in Thailand. Bangkok: Office of Natural Resources and Environmental Policy and Planning
  15. Ryu, S. Y., et al. (1997). Toxicological evaluation of Deguelin from Millettia brandisiana in rodents. Journal of Ethnopharmacology, 58(2), 127-135
  16. Yan, B., et al. (2003). Deguelin, a natural product, inhibits the transforming growth factor-beta signaling pathway and suppresses breast cancer metastasis. Cancer Research, 63(22), 8923-8929.