ฉัตรพระอินทร์ ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย

ฉัตรพระอินทร์ งานวิจัยและสรรพคุณ 19 ข้อ

ชื่อสมุนไพร ฉัตรพระอินทร์
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น จ่อฟ้า, จ้อฟ้า (ภาคเหนือ), นางอั้วโคก, เสกกษัตริย์ (ภาคอีสาน), เทียนป่า (ภาคตะวันออก), หญ้าเหลี่ยม (ภาคใต้)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Leonotis nepetifolia (L.) R.Br.
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Leonotis kwebensis N.E.Br., Leonurus nepetifolius (L.) Mill., Leonurus nepetifolius (L.)., Stachys mediterranea., Phlomis nepetifolia L.
ชื่อสามัญ Hallow stalk, Lion’s ear.
วงศ์ LAMIACEAE


ถิ่นกำเนิดฉัตรพระอินทร์

ฉัตรพระอินทร์ จัดเป็นพืชในวงศ์กะเพรา (LAMIACEAE) ที่มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมในเขตร้อนของแอฟริกา บริเวณภูมิภาคแอฟริกาตะวันออกและแอฟริกาใต้ จากนั้นจึงได้มีการกระจายพันธุ์ไปยังเขตร้อนของทวีปเอเชีย ได้แก่ในอินเดีย ศรีลังกา บังกลาเทศ รวมถึงแถบประเทศในภูมิภาค เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สำหรับในประเทศไทยสามารถพบฉัตรพระอินทร์ ได้เกือบทุกภาคของประเทศยกเว้นภาคใต้โดยมักพบขึ้นบริเวณพื้นที่โล่งและพื้นที่รกร้างว่างเปล่า หรือ ตามป่าละเมาะ สองข้างทานที่มีความสูงใกล้ระดับทะเลจนถึงประมาณ 400 ม.


ประโยชน์และสรรพคุณฉัตรพระอินทร์

  1. แก้ไข้
  2. แก้ไข้ป่า (มาลาเรีย)
  3. แก้ไข้จับสั่น
  4. ช่วยขับประจำเดือนสตรี
  5. แก้ประจำเดือนไม่ปกติ
  6. ใช้เป็นยาระบาย
  7. แก้ปวดแข้งปวดขาปวดเท้า
  8. ใช้เป็นยาลดไข้
  9. ช่วยขับเหงื่อ
  10. แก้อาการเต้านมคัด
  11. ใช้เป็นยาบำรุง
  12. แก้ซาง
  13. แก้ปวดบวมตามข้อ
  14. แก้แผลอักเสบ
  15. แก้ผิวหนังอักเสบ
  16. แก้แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก แผลพุพอง เนื่องจากถูกของร้อน
  17. แก้คัน
  18. แก้กลากเกลื้อน
  19. แก้ฝี หนอง

           ในอดีตนิยมนำฉัตรพระอินทร์มาใช้ปลูกประดับบ้านเรือน หรือ ตามสถานที่ต่างๆ เนื่องจากมีดอกสีส้มสลับกับใบประดับสีเขียวดูสดใสสวยงามรวมถึง ยังออกดอกเรียงเป็นชั้นๆ ดูแปลกตาไม่เหมือนดอกชนิดอื่นๆ นอกจากนี้ยังมีการนำดอกของฉัตรพระอินทร์ มาใช้ปักแจกัน ประดับตามห้องต่างๆ หรือ ใช้ปักแจกันไหว้พระบนโต๊ะหมู่บูชาอีกด้วย

ฉัตรพระอินทร์

รูปแบบและขนาดวิธีใช้

  • ใช้แก้ไข้ป่า (มาลาเรีย) ไข้จับสั่น ขับประจำเดือนของสตรี แก้ประจำเดือนมาไม่ปกติ ใช้เป็นยาระบาย โดยนำทั้งต้นฉัตรพระอินทร์มาต้มกับน้ำดื่ม
  • ใช้เป็นยาลดไข้ แก้ไข้จับสั่น ขับเหงื่อ ขับระดู เป็นยาระบาย โดยนำส่วนของต้นฉัตรพระอินทร์ มาต้มกับน้ำดื่ม
  • ใช้เป็นยาบำรุง ยาแก้ไข้ แก้ซาง แก้โรคปวดบวมตามข้อ โดยนำใบฉัตรพระอินทร์สดมาต้มกับน้ำดื่ม
  • ใช้บำบัดไข้จับสั่น หรือ โรคมาลาเรีย โดยนำเมล็ดฉัตรพระอินทร์ทุบพอกแตก ชงกับน้ำร้อนดื่ม
  • ใช้แก้อาการเต้านมคัด โดยนำรากฉัตรพระอินทร์ สดมาใช้ตำพอกบริเวณทรวงอก
  • ใช้แก้คัน แก้กลากเกลื้อน ผิวหนังอักเสบ แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก แผลพุพอก เนื่องจากถูกของร้อน โดยนำดอกฉัตรพระอินทร์มาเผาไฟแล้วนำขี้เถ้ามาทาบริเวณที่เป็น
  • ใช้แก้ปวดแข้งปวดขา ปวดเท้า โดยนำทั้งต้นฉัตรพระอินทร์มาผสมกับสบู่ดำ ต้มกับน้ำใช่เท้า
  • ใช้แก้แผลอักเสบ แก้ฝี หนอง กลากเกลื้อน โดยนำใบฉัตรพระอินทร์สดมาตำพอกบริเวณที่เป็น


ลักษณะทั่วไปของฉัตรพระอินทร์

ฉัตรพระอินทร์ จัดเป็นไม้ล้มลุกฤดูเดียวแตกกิ่งก้านเป็นพุ่มลำต้นตั้งตรงสูงได้ 1-3 เมตร ลำต้นและกิ่งเป็นสี่เหลี่ยม ระหว่างเหลี่ยมเป็นร่องลึกตามยาวทั้ง 4 ด้าน ลำต้นมีสีเขียวและมีขนละเอียดสั้นๆ ปกคลุมตามลำต้นและไม่ค่อยแตกกิ่งก้านมากนัก

           ใบฉัตรพระอินทร์ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงตรงข้ามสลับตั้งฉากบริเวณตามข้อและยอดของลำต้นใบมีลักษณะเป็นรูปไข่กว้าง 3-7 เซนติเมตร ยาว 4-5 เซนติเมตร โคนใบมนเว้าปลายใบแหลม หรือ เป็นรูปลิ่มมนกลม ขอบใบหยักแบบฟันเลื่อย ปลายมน แผ่นใบมีสีเขียวบางผิวใบทั้งสองด้านสากมือมีขนละเอียดขึ้นปกคลุมสามารถมองเห็นเส้นใบด้านล่างเห็นชัด โดยจะมีข้างละ 4-6 เส้น ส่วนก้านใบมีลักษณะเรียวเล็ก ยาว 3-5 เซนติเมตร

           ดอกฉัตรพระอินทร์ ออกเป็นช่อแบบช่อผสมที่ดอกเรียงตัวอัดกันแน่นเป็นช่อรูปทรงกลม ช่อดอกขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 5-6 เซนติเมตร และยาว 2-2.5 เซนติเมตร ซึ่งจะออกเป็นกระจุกตามข้อลำต้น 2-8 ข้อ โดยออกเป็นวงรอบลำต้นเป็นชั้นคล้ายฉัตรและใน 1 ช่อดอก จะมีดอกย่อยจำนวนมากลักษณะของดอกย่อยจะมีกลีบดอกสีส้มสด หรือ สีแดงอมส้ม บริเวณโคนกลีบเชื่อมติดกันเป็นหลอดยาวประมาณ 1 เซนติเมตร ปลายกลีบแยกออกเป็น 2 ปาก แบ่งเป็นปากล่างและปากบน โดยปากบนจะมีลักษณะตั้งตรงมี 2 หยัก เป็นกระพุ้งมีขนยาว ปากบนจะมีความยาว 0.8-1 เซนติเมตร ส่วนปากด้านล่างมีหยักเล็กๆ 3 หลัก โดยแฉกตรงกลางจะมีขนาดใหญ่กว่า 2 แฉกด้านข้าง และจะมีใบประดับย่อยเป็นรูปแถบ ปลายแหลมคล้ายหนามยาว 1 เซนติเมตร จำนวนมาก ส่วนกลีบเลี้ยงดอกยาว 2 เซนติเมตร มีสีเขียวบริเวณโคนกลีบเลี้ยงเชื่อมติดกันเป็นหลอด ปลายแยกออกเป็นแฉกแหลม 8 แฉก โคนหลอดด้านนอกมีขนสั้นบริเวณตอนปลายมีขนเรียว ส่วนด้านใบเกลี้ยง มีเส้นตามยาว 10 เส้น ดอกฉัตรพระอินทร์ จะมีเกสรเพศผู้ 4 อัน อยู่กึ่งกลางหลอด

           ผลฉัตรพระอินทร์ เป็นผลแห้งแบบผลย่อย ซึ่งจะมี 4 ผลย่อย มีลักษณะเป็นรูปของขนานแกมรูปไข่กลับสีดำหม่นยาว 2.5-3 มิลลิเมตรปลายตัดด้านในผลมีเมล็ดอยู่ 1 เมล็ด

ฉัตรพระอินทร์
ฉัตรพระอินทร์

การขยายพันธุ์ฉัตรพระอินทร์

ฉัตรพระอินทร์สามารถขยายพันธุ์ได้โดยวิธีการใช้เมล็ด โดยในอดีตมีการนำฉัตรพระอินทร์มาใช้ปลูกเป็นไม้ดอกไม้ประดับบริเวณรอบๆ บ้าน หรือ ตามวัดวาอารามและสถานที่สาธารณะทั่วไป แต่ในปัจจุบันไม่ค่อยพบการนำมาปลูกเหมือนในอดีต ดังนั้นการขยายพันธุ์ของฉัตรพระอินทร์ ในปัจจุบันจึงเป็นการขยายพันธุ์ในธรรมชาติเท่านั้น สำหรับวิธีการเพาะเมล็ดและการปลูกฉัตรพระอินทร์นั้น สามารถทำได้เช่นเดียวกันกับการเพาะเมล็ดและการปลูกพืชในวงศ์กะเพรา ชนิดอื่นๆ ตามที่ได้กล่าวถึงมาแล้วในบทความก่อนหน้านี้ ทั้งนี้ฉัตรพระอินทร์สามารถเจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนที่มีความชื้นปานกลางและยังเป็นพันธุ์ไม้ที่ชอบแสงแดดปานกลางอีกด้วย


องค์ประกอบทางเคมี

มีรายงานผลการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับองค์ประกอบทางเคมีของสารสกัดจากทั้งต้นของฉัตรพระอินทร์ ระบุว่าพบสารออกฤทธิ์ที่สำคัญหลายชนิด อาทิเช่น พบสารในกลุ่ม Diterpenoids อาทิเช่น Leonotin, Leonotinin, Marrubiin, Nepetaefolinol พบสารในกลุ่ม Flavonoids อาทิเช่น Quercetin, Kaempferol, Luteolin, Apigenin, Rutin พบสารในกลุ่ม Phenolic acids อาทิเช่น Caffeic acid, Rosmarinic acid, Chlorogenic acid พบสารในกลุ่ม Essential oils อาทิเช่น β-Caryophyllene, α-Humulene, Germacrene D, Sabinene, Limonene อีกทั้งยังพบสารในกลุ่ม Glycosides จำพวก Iridoid glycosides เช่น Nepetaefolin glycosides อีกด้วย


การศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของฉัตรพระอินทร์

มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของสารสกัดจากส่วนต่างๆ ของฉัตรพระอินทร์ ระบุว่ามีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาหลายประการดังนี้

           มีรายงานผลการศึกษาวิจัยในหลอดทดลอง (In vitro) ของสารสกัดจากส่วนเหนือดินของฉัตรพระอินทร์ ระบุว่าสารสกัดเอทานอลและเมทานอลมีจากส่วนเหนือดินฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant activity) มีฤทธิ์ต้านจุลชีพ ต่อเชื้อแบคทีเรีย Escherichia coli, Staphylococcus aureus และมีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์บางชนิดที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบอีกด้วย

           นอกจากนี้ยังมีรายงานผลการศึกษาวิจัยในสัตว์ทดลอง (In vivo) ของสารสกัดฉัตรพระอินทร์ จากส่วนใบ ระบุว่าสารสกัดเมทานอลจากส่วนใบมีฤทธิ์ลดการอักเสบในหนูขาวที่ถูกชักนำให้เกิดการบวมที่อุ้งเท้าด้วยราคาจีนแนน (carrageenan-induced paw edema) อีกทั้งยังมีฤทธิ์ลดอาการปวด (analgesic activity) และฤทธิ์ลดไข้ (antipyretic effect) รวมถึงมีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง (CNS stimulant)ได้อีกด้วย


การศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาของฉัตรพระอินทร์

มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาของสารสกัดเอทานอลจากส่วนใบของฉัตรพระอินทร์ ระบุว่าจากการศึกษาความเป็นพิษเฉียบพลันในหนูทดลอง โดยป้อนสารสกัดทางปากแก่หนูทดลองพบว่า สารสกัดใบมีค่า LD 50 สูงกว่า 2,000 mg/kg BM ซึ่งแสดงว่ามีความเป็นพิษต่ำ อีกทั้งยังไม่พบอาการพิษเฉียบพลันต่อระบบประสาทและอวัยวะภายในขณะทำการทดลองอีกด้วย


ข้อแนะนำและข้อควรระวัง

สำหรับการใช้ฉัตรพระอินทร์ เป็นยาสมุนไพรในการบำบัดรักษาโรคต่างๆ นั้นควรระมัดระวังในการใช้เช่นเดียวกันกับการใช้สมุนไพรอื่นๆ โดยควรใช้ในขนาดและปริมาณที่เหมาะสมที่ได้ระบุไว้ในตำรับตำรายาต่างๆ ไม่ควรใช้ในปริมาณที่มากจนเกินไป หรือ ใช้ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานานจนเกินไป เพราะอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวได้


เอกสารอ้างอิง ฉัตรพระอินทร์
  1. วุฒิ วุฒิธรรมเวช, (2551.) พืชสมุนไพรไทย เล่ม 3.กรุงเทพฯ.บริษัท ประชาชน จำกัด.
  2. Ndebia, E. J., Samie, A., & Obi, C. L. (2007). Anti-inflammatory and analgesic activities of the leaf extract of Leonotis nepetifolia. African Journal of Biotechnology, 6(6), 933-935.
  3. กมลวรรณ พรหมประกายกุล และคณะ.(2560). การสำรวจและระบุพรรณไม้สมุนไพรในเขตภาคกลาง. วารสารวิทยาศาสตร์เกษตร,48(3),191-202.
  4. อุษา พงศ์อมรธรรม.(2556). ฤทธิ์ทางชีวภาพของานสกัดพืชสมุนไพรที่มีฤทธิ์ต้านจุลชีพ. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
  5. ฉัตรพระอินทร์, ฐานข้อมูลสมุนไพรไทยเขตอีสานใต้ คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี (ออนไลน์). เข้าถึงได้จาก http://www.phar.ubu.ac.th/herb.Detai/Phargarden/167.
  6. Dutta, S. R., & Pattanayak, S. (2013). Antipyretic activity of leaf extract of Leonotis nepetifolia (L.) R.Br. International Journal of Pharmaceutical Sciences and Research, 4(2), 734/737.
  7. Sharma, B., & Sharma, P. (2010). Phytochemical and pharmacological screening of Leonotis nepetifolia: A review. Journal of Pharmacy Research, 3(12), 2970-2972.
  8. Prakash, A. O., & Gupta, R. (1993). Terpenoids and flavonoids from Leonotis nepetifolia leaves. Fitoterapia, 64(3), 281-282.
  9. . Joshi, B. S., Lokhande, P. D., & Govindachari, T. R. (1978). Diterpenoids from Leonotis nepetifolia. Phytochemistry, 17(8), 1395-1396.
  10. Ndebia, E. J., Samie, A., & Obi, C. L. (2007). Anti-inflammatory and analgesic activities of the leaf extract of Leonotis nepetifolia. African Journal of Biotechnology, 6(6), 933-935.
  11. Tavares, W. R., et al. (2011). Essential oil composition of Leonotis nepetifolia (L.) R.Br. Journal of Essential Oil Research, 23(1), 39-41.
  12. Senthil Kumar, R., & Paulsamy, S. (2013). Phytochemical screening and antimicrobial activity of leaf extracts of Leonotis nepetifolia. Asian Pacific Journal of Tropical Biomedicine, 3(8), 589-593.
  13. Senthil Kumar, R., & Paulsamy, S. (2013). Phytochemical screening and antimicrobial activity of leaf extracts of Leonotis nepetifolia (L.) R.Br. Asian Pacific Journal of Tropical Biomedicine, 3(8), 589-593.
  14. Edeoga, H. O., Okwu, D. E., & Mbaebie, B. O. (2005). Phytochemical constituents of some Nigerian medicinal plants. African Journal of Biotechnology, 4(7), 685-688.
  15. Burkill, H. M. (1985). The Useful Plants of West Tropical Africa (Vol. 1, pp. 542-543). Royal Botanic Gardens, Kew.