หญ้าเกล็ดปลา ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย

หญ้าเกล็ดปลางานวิจัยและสรรพคุณ 11 ข้อ

ชื่อสมุนไพร หญ้าเกล็ดปลา
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น ไตหยี่นึงจี้, ก้วยกังติ้ง(จีน)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Phyla nodiflora (L.) Greene
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Lippia nodiflora (L.) Michx., Lippia nodiflora Cham.
ชื่อสามัญ Lippia, Turkey tangle, Turkey tangle fog fruit, Texas frog fruit, Mat lippia
วงศ์ VERBENACEAE


ถิ่นกำเนิดหญ้าเกล็ดปลา

หญ้าเกล็ดปลา จัดเป็นพืชในวงศ์ผกากรอง (VERBENACEAE) ที่มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมในทวีปอเมริกากลางและอเมริกาใต้ ตั้งแต่เม็กซิโกลงมาจนถึงบราซิล จากนั้นจึงมีการแพร่กระจายพันธุ์ไปยังเขตร้อนและเขตอบอุ่นทั่วโลก สำหรับในประเทศไทยพบหญ้าเกล็ดปลา ได้ทั่วทุกภาคของประเทศแต่จะพบได้มากในภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคกลาง บริเวณที่ราบลุ่มที่น้ำท่วมถึง หรือ ตามริมแม่น้ำลำคลอง หรือ ตามที่รกร้างว่างเปล่าและริมสองข้างถนนทั่วไป


ประโยชน์และสรรพคุณหญ้าเกล็ดปลา

  • ใช้แก้ไข้
  • ช่วยถอนพิษไข้
  • ช่วยขับเหงื่อ
  • แก้ไข้เหนือ
  • แก้อาการไอเป็นเลือด
  • ช่วยขับปัสสาวะ
  • แก้ขับปัสสาวะเป็นเลือด
  • แก้นิ่ว
  • แก้บวม
  • แก้แผลเปื่อยเรื้อรัง
  • รักษาแผลมีหนองและแผลฟกช้ำ

           ในบางประเทศในแอฟริกาและอเมริกาใต้มีการนำหญ้าเกล็ดปลา มาปลูกบริเวณริมฝั่งแม่น้ำ หรือ ตามขอบทะเลสาบน้ำจืดต่างๆ เพื่อป้องกันการพังทลายของหน้าดิน สำหรับในประเทศไทยนั้นมีการใช้หญ้าเกล็ดปลามาใช้เป็นยาสมุนไพร 


รูปแบบและขนาดวิธีใช้

  • ใช้แก้ไข้ ถอนพิษไข้ ขับเหงื่อ ขับปัสสาวะ แก้บวม แก้ปัสสาวะเป็นเลือด แก้นิ่ว แก้อาการไอเป็นเลือด โดยนำลำต้นหญ้าเกล็ดปลาแห้งประมาณ 10-15 กรัม นำมาต้มกับน้ำดื่ม
  • ใช้แก้แผลเน่าเปื่อยเรื้อรัง แผลมีหนอง แผลฟกช้ำ โดยนำลำต้นหญ้าเกล็ดปลา สดมาต้มใช้น้ำดื่ม ใช้ชะล้างแผลส่วนราก ยาที่ต้มใช้เป็นยาพอกบริเวณที่เป็นแผล


ลักษณะทั่วไปของหญ้าเกล็ดปลา

หญ้าเกล็ดปลา จัดเป็นไม้เลื้อย ทอดไปกับดินมักแตกกิ่งก้านสาขาทั้งแนวนอนและแนวตั้ง ลำต้นเปราะมีสีน้ำตาลอ่อน และมีความยาว 15-90 เซนติเมตร บริเวณลำต้นมีขนนุ่มสั้นขึ้นปกคลุม ส่วนบริเวณข้อลำต้นจะมีรากงอกออกมาเพื่อยึดเกาะดินและทอดลำต้นเลื้อยตามดิน

           ใบหญ้าเกล็ดปลา เป็นใบเดี่ยวออกเรียงตรงข้าม บริเวณข้อลำต้นใบมีลักษณะเป็นรูปไข่กลับ ปลายใบแผ่ออกจากโคนแหลมเป็นแฉก มีขนาดกว้าง 1-7 มิลลิเมตร ยาว 0.5-1.3 เซนติเมตร โคนใบสอบเรียว ขอบใบด้านล่างเรียบหยักเป็นแบบฟันปลา แผ่นใบมีสีเขียวค่อนข้างหนา ผิวใบทั้งสองด้านมีขนสั้นๆ ขึ้นปกคลุมและมีก้านใบยาว 1-4 มิลลิเมตร

           ดอกหญ้าเกล็ดปลา ออกเป็นช่อเชิงลด บริเวณซอกใบหญ้าเกล็ดปลา ส่วนช่อดอกยาว 0.2-0.5 เซนติเมตร มีก้านช่อดอกยาว 3-8 เซนติเมตร โดยใน 1 ช่อดอก จะมีดอกย่อย 5-10 ดอก ดอกมีใบประดับเป็นรูปหัวใจ สีขาวอมชมพูกว้าง 2-2.5 มิลลิเมตร ยาวประมาณ 2-2.5 มิลลิเมตร ปลายเป็นติ่งแหลมและมีกลีบเลี้ยงเชื่อมติดกันเป็นถ้วยที่ฐาน ปลายแยกเป็นกลีบรูปหอก 2 กลีบ ในแต่ละกลีบกว้าง 0.5-1 มิลลิเมตร ยาว 1-2.5 มิลลิเมตร ปลายแยกเป็น 4 แฉก มีขนาดกว้าง 0.2-0.3 มิลลิเมตร ยาว 0.2-0.5 มิลลิเมตร ดอกมีเกสรเพศผู้ 4 อัน แบ่งเป็นเกสรเพศผู้ขนาดสั้น 2 อัน และยาว 2 อัน บริเวณปลายของหลอดกลีบดอก ส่วนอับเรณูเป็นรูปกลมยาว 0.1-0.2 มิลลิเมตร โดยมีก้านชูเกสรเป็นรูปแท่งยาว 0.1-0.2 มิลลิเมตร

           ผลหญ้าเกล็ดปลา เป็นผลแบบคาร์เพล ขนาดเล็กมากโดยอาจมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 2 มิลลิเมตร ด้านนอกผลมีกลีบเลี้ยงหุ้มอยู่ เมื่อผลแก่เต็มที่ผลจะแตกออกจากกันเป็นเมล็ดแข็ง 2 เมล็ด

หญ้าเกล็ดปลา
หญ้าเกล็ดปลา

การขยายพันธุ์หญ้าเกล็ดปลา

หญ้าเกล็ดปลา สามารถขยายพันธุ์ได้โดยการใช้เมล็ด แต่ในปัจจุบันไม่นิยมนำมาขยายพันธุ์เนื่องจากหญ้าเกล็ดปลาเป็นพืชที่สามารถขยายพันธุ์ได้รวดเร็วมาก จนกลายเป็นวัชพืชชนิดหนึ่ง ดังนั้นการขยายพันธุ์ของหญ้าเกล็ดปลา ในปัจจุบันจึงเป็นการขยายพันธุ์ในธรรมชาติเท่านั้น หญ้าเกล็ดปลา เป็นพืชชอบความชื้นและจะเจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนปนทราย ชอบแสงแดดจัดและสามารถทนต่อสภาวะอากาศร้อน


องค์ประกอบทางเคมี

มีรายงานผลการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับองค์ประกอบทางเคมีของสารสกัดจากส่วนเหนือดินของหญ้าเกล็ดปลา ระบุว่าพบสารออกฤทธิ์ที่สำคัญหลายกลุ่มดังนี้

  • สารกลุ่มฟลาโวนอยด์ เช่น Luteolin, eupafolin, Apigenin และ Quercetin
  • สารกลุ่ม ไตรเทอร์พีนอยด์ เช่น Oleanolic acid และ Ursolic acid
  • สารกลุ่ม ฟีนอลิก เช่น Caffeic acid และ Ferulic acid

อีกทั้งพบน้ำมันหอมระเหยจากส่วนใบที่ประกอบไปด้วยสาร Caryophyllene และ α-Humulene เป็นต้น


การศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของหญ้าเกล็ดปลา

มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของสารสกัดจากทั้งต้นของหญ้าเกล็ดปลาในต่างประเทศระบุว่ามีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาหลายประการดังนี้

           มีรายงานผลการศึกษาวิจัยในหลอดทดลอง (ln vitro) ของสกัดเอทานอลจากของหญ้าเกล็ดปลา พบว่าแสดงฤทธิ์ต้านแบคทีเรีย Staphylococcus aureus และ E.coli ได้ และยังพบว่าสารสกัดหญ้าเกล็ดปลา หยาบจากทั้งต้น มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อรา Candida albicans ได้อีกด้วย ส่วนอีกงานวิจัยหนึ่งระบุว่าสารฟลาโวนอยด์ที่พบในหญ้าเกล็ดปลามีฤทธิ์จับ DPPH และลดการเกิดอนุมูลอิสระในร่างกายได้ดี ส่วนการศึกษาวิจัยในสัตว์ทดลอง (In vivo) ก็มีรายงานผลการศึกษาวิจัยดังนี้

  • สารสกัดเมทานอลจากทั้งต้นของหญ้าเกล็ดปลา มีฤทธิ์ลดการอักเสบและลดการบวมของอุ้งเท้าหนูทดลองที่เหนี่ยวนำด้วย Carrageenan
  • ส่วนสารสกัดเอทานอลจากทั้งต้นของหญ้าเกล็ดปลาแสดงฤทธิ์ระงับปวดในหนูเม้าส์ด้วยวิธี writhing test นอกจากนี้สารสกัดดังกล่าว เมื่อทำการป้อนสารสกัดทางปากแก่หนูทดลองพบว่ามีผลเพิ่มการขับปัสสาวะได้อย่างมีนัยสำคัญ

           นอกจากนี้ยังมีรายงานการศึกษาวิจัยอีกฉบับหนึ่งระบุว่า มีรายงานจากการศึกษาวิจัยฤทธิ์ของสารยูปาโฟลิน (eupafolin) ซึ่งเป็นสารกลุ่มฟลาโวนอยด์ที่แยกได้จากต้นหญ้าเกล็ดปลา (Phyla nodiflora (L.) Greene) ในการยับยั้งการสร้างเม็ดสี (melanin) ซึ่งมีสาเหตุมาจากการมีเอนไซม์ไทโรซิเนสที่เป็นเอนไซม์สำคัญในการกระตุ้นการสังเคราะห์เม็ดสีมากเกินไป โดยได้ทำการทดสอบในเซลล์มะเร็งผิวหนัง (melanoma) B16F10 ของหนูเม้าส์ โดยให้สารยูปาโฟลินความเข้มข้น 0.01, 0.1, 1 และ 10 ไมโครโมลาร์ แก่เซลล์มะเร็ง แล้วจึงทดสอบวัดปริมาณเม็ดสี การทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนสและระดับโปรตีน ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างเม็ดสีด้วยเทคนิค ELISA หรือ Western blot ผลการทดลองพบว่าสารยูปาโฟลิน สามารถลดปริมาณเม็ดสีและการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนสในเซลล์ โดยไม่ทำให้เกิดพิษต่อเซลล์และประสิทธิภาพ ก็จะขึ้นอยู่กับขนาดที่ใช้ นอกจากนี้สารยูปาโฟลินยังสามารถลดระดับของ phospho-cAMP response element-binding protein (p-CREB) และ microphthalmia-associated transcription factor (MITF) รวมทั้งยับยั้งการสังเคราะห์เอนไซม์ไทโรซิเนสและโปรตีนที่เกี่ยวข้อง จึงส่งผลให้การสร้างเม็ดสีลดลงและการศึกษาในระดับกลไกการออกฤทธิ์พบว่าสารยูปาโฟลินมีผลยับยั้งการสร้างเม็ดสีโดยการกระตุ้น phosphorylation ของ ERK 1/2 และ p38 MAPK อีกทั้งยับยั้งการส่งสัญญาณ phosphorylation ของ Akt ภายในเซลล์มะเร็งผิวหนังได้อีกด้วย


การศึกษาทางพิษวิทยาของหญ้าเกล็ดปลา

มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาของสารสกัดจากเอทานอลจากทั้งต้นของหญ้าเกล็ดปลา ระบุว่ามีรายงานผลการทดสอบความเป็นพิษเฉียบพลัน (acute toxicity) ในหนูทดลอง เมื่อป้อนสารสกัดเอทานอลจากทั้งต้นของหญ้าเกล็ดปลา โดยได้ทำการป้อนสารสกัดทางปากสูงถึง 2,000 มก./กก. (น้ำหนักตัว) พบว่าไม่พบอาการเป็นพิษ


ข้อแนะนำและข้อควรระวัง

ถึงแม้ว่าจะมีรายงานการศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาระบุว่าสารสกัดจากทั้งต้นของหญ้าเกล็ดปลามีความปลอดภัย แต่สำหรับการใช้ส่วนต่างๆ ของหญ้าเกล็ดปลา เพื่อใช้เป็นสมุนไพรในการบำบัดรักษาโรคนั้น ก็ควรระมัดระวังในการใช้ เช่นเดียวกันกับการใช้สมุนไพรชนิดอื่นๆ โดยควรใช้ในขนาดและปริมาณ ที่เหมาะสมที่ได้ระบุไว้ในตำรับตำรายาต่างๆ ไม่ควรใช้ในขนาดที่มากจนเกินไป  หรือ ใช้ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานจนเกินไป เพราะอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวได้


เอกสารอ้างอิง หญ้าเกล็ดปลา
  1. ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม.หญ้าเกล็ดปลา,หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5, หน้า 798-799.
  2. โครงการสมุนไพรเพื่อการพึ่งตนเอง มูลนิธิสุขภาพไทย. (2547). สมุนไพรพื้นบ้านล้านนา.
  3. หญ้าเกล็ดปลา, ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. อ้างอิงใน: Flora of Thailand Volume 10 Part 2, หน้า 261-262.
  4. ฤทธิ์ยับยั้งการสร้างเม็ดสี (melanin) ของหญ้าเกล็ดปลา. ข่าวความเคลื่อนไหวสมุนไพร. สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.
  5. Jain, A. et al. (2012). International Journal of Green Pharmacy, 6(3), 248-252.
  6. Flora of China Editorial Committee (1994). Flora of China Vol. 17. Science Press & Missouri Botanical Garden.
  7. Chaudhary, N. et al. (2014). Asian Journal of Pharmaceutical and Clinical Research, 7(2), 73-75.
  8. Nair, R. et al. (2005). Indian Journal of Pharmaceutical Sciences, 67(1), 91-93.
  9. Rajakaruna, N. et al. (2002). Ethnobotany of Phyla nodiflora and chemical constituents. Journal of Ethnopharmacology, 79(2), 231-234
  10. Khan, M.R. et al. (2010). African Journal of Biotechnology, 9(38), 6417-6421.