กร่าง ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย
กร่าง งานวิจัยและสรรพคุณ 12 ข้อ
ชื่อสมุนไพร กร่าง
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น นิโครธ, ไทรใบขนุน (ภาคกลาง), ฮ่างขาว, ฮ่างหลวง, ลุง, ไฮคำ (ภาคเหนือ)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Ficus benghalensis Linn.
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Ficus altissima Blume.
ชื่อสามัญ East Indian fig, Banyan tree, Bargad tree
วงศ์ MORACEAE
ถิ่นกำเนิดกร่าง
กร่าง จัดเป็นพืชในวงศ์ ขนุน (MORACEAE) ที่มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมในภูมิภาคเอเชียใต้บริเวณประเทศ อินเดีย ปากีสถาน เนปาล และศรีลังกา ต่อมาจึงได้มีการแพร่กระจายพันธุ์ไปยังภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สำหรับในประเทศไทยสามารถพบกร่าง ได้ทั่วทุกภาคของประเทศ แต่จะพบได้มากในภาคเหนือ บริเวณป่าดิบชื้นที่รกร้างว่างเปล่า หรือ ตามโบราณสถาน ตามอาคารสถานที่ต่างๆ
ประโยชน์และสรรพคุณกร่าง
- ใช้ลดระดับน้ำตาลในเลือด
- แก้โรคเบาหวาน
- แก้ท้องเดิน
- แก้บิด
- ใช้เป็นยาแก้ท้องร่วง
- ใช้ถ่ายมูกเลือด
- ใช้บำรุงร่างกาย
- แก้ท้องเดิน
- ใช้ห้ามเลือด
- ใช้แก้โรคริดสีดวงทวาร
- ใช้แก้หูด
- ใช้แก้ไขข้ออักเสบ
ในอดีตนิยมนำต้นกร่างมาปลูกไว้ตามอาคารสถานที่วัดวาอาราม เพื่อความร่มเย็นในบริเวณที่ต่างๆ แต่ในปัจจุบันไม่ค่อยนิยมนำมาปลูกกันแล้ว ส่วนรากอากาศมีการนำมาใช้ทำเชือก เนื่องจากมีความเหนียว นอกจากนี้ในต่างประเทศยังมีการนำเปลือกต้นกร่าง ชั้นในมาใช้ทำเยื่อกระดาษอีกด้วย
รูปแบบและขนาดวิธีใช้
- ใช้ลดระดับน้ำตาลในเลือด แก้โรคเบาหวาน แก้ท้องเดิน แก้บิด โดยนำเปลือกต้นกร่างตากแห้งมาต้มหรือชงกับน้ำร้อนดื่ม
- ใช้เป็นยาแก้ท้องร่วง แก้บิด ถ่ายมูกเลือด โดยนำเปลือกต้นและใบกร่าง สดมาต้มกับน้ำดื่ม
- ใช้บำรุงร่างกาย โดยนำเมล็ดกร่างทุบพอแตกต้มกับน้ำดื่ม
- ใช้แก้บิดท้องเสีย แก้ท้องเดิน โดยนำน้ำยางกร่างมาชงน้ำร้อนดื่ม
- ใช้ห้ามเลือด โดยนำเปลือกต้นกร่างตำให้แหลกประคบบริเวณแผล
- ใช้แก้โรคริดสีดวงทวาร โดยนำน้ำยางกร่าง มาทาบริเวณที่เป็น
- ใช้แก้หูด โดยนำน้ำยางกร่างมาทาบริเวณที่เป็น
- ใช้แก้ไขข้ออักเสบ โดยนำน้ำยางกร่างมาทาบริเวณที่เป็น
ลักษณะทั่วไปของกร่าง
กร่าง จัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่เรือนยอดแผ่กว้างแตกกิ่งก้านหนาทึบแตกกิ่งห้อยลง มีความสูงของต้นประมาณ 10-30 เมตร ลำต้นตั้งตรงขึ้นเป็นพูพอน เปลือกต้นเรียบเกลี้ยงสีน้ำตาลกึ่งน้ำตาลดำ ลำต้นและกิ่งมักจะรากอากาศห้อยย้อยลงมามาก อีกทั้งเมื่อรากอากาศหยั่งถึงดินแล้วจะแทงเข้าไปในดินในส่วนรากอากาศที่มีค่อนข้างมากก็จะทำให้เกิดเป็นหลืบสลับซับซ้อน เจริญเป็นลำต้นต่อไปได้และในทุกส่วนของลำต้นเมื่อเกิดแผลจะมียางสีขาวไหลออกมา
ใบกร่าง เป็นใบเดี่ยวออกเรียงเวียนสลับบริเวณปลายกิ่ง ใบมีลักษณะเป็นรูปรี รูปไข่ หรือ รูปไข่แกมรูปขอบขนานมีขนาดกว้าง 10-14 เซนติเมตร ยาว 15-20 เซนติเมตร โคนใบมนโค้งกว้าง ขอบใบเรียบแผ่นใบมีสีเขียวเข้มหนาเป็นมัน มีเส้นแขนงของใบประมาณ 4-6 คู่ ด้านล่างใบมีสีอ่อนกว่าเมื่อใบยังอ่อนจะมีขนหนามาก ในส่วนของท้องใบ แต่เมื่อใบแก่ไม่มีขน
ดอกกร่าง ออกเป็นช่อรวม โดยจะออกบริเวณซอกใบและปลายกิ่งเป็นแบบแยกเพศอยู่ในช่อเดียวกัน ดอกกร่าง มีขนาดเล็ก ซึ่งจะมีจำนวนมากดอกจะเจริญเติบโตอยู่ภายใต้ฐานรองดอกที่ขยายตัวโอบล้อมเป็นรูปกลม โดยจะประกอบไปด้วยดอกตัวผู้และดอกตัวเมีย ดอกเพศผู้มีกลีบรวมชั้นเดียวจำนวน 4 กลีบ มีเกสรตัวผู้ 1 อัน ส่วนดอกเพศเมียมีโคนกลีบเชื่อมติดกันส่วนปลายแยกเป็น 4 แฉก
ผลกร่าง เป็นผลรวมลักษณะรูปทรงกลม หรือ รูปไข่มีขนาดเล็กผ่าศูนย์กลาง 1.5-2.5 เซนติเมตร ผลมีสีเขียวเมื่อสุกจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ส้ม จนถึงสีเลือดหมู ภายในผลประกอบด้วยเนื้อบางๆ และมีเมล็ด 1 เมล็ด
การขยายพันธุ์กร่าง
กว่าง สามารถขยายพันธุ์ได้หลายวิธีอาทิเช่น การใช้เมล็ด การปักชำ และการตอนกิ่งเป็นต้น แต่ทั้งนี้ในปัจจุบันไม่นิยมนำกร่างมาปลูก เนื่องจากเป็นพันธุ์ไม้ขนาดใหญ่มีความสูงมากและมีรากอาการระโยงระยางไม่เรียบร้อยและต้องใช้พื้นที่ในการปลูกมาก ดังนี้ในปัจจุบันการขยายพันธุ์ของต้นกร่าง นั้น จึงเป็นการขยายพันธุ์ในธรรมชาติเป็นส่วนใหญ่ โดยอาศัยสัตว์มากินผลสุกแล้ว ถ่ายมูลออกมาทำให้เจริญเป็นต้นใหม่ต่อไป
องค์ประกอบทางเคมี
มีรายงานผลการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับองค์ประกอบทางเคมีของส่วนต่างๆ รวมถึงสารสกัดจากส่วนต่างๆ ของกร่างระบุว่าพบสารออกฤทธิ์ที่สำคัญหลายชนิดอาทิเช่น
- ทั้งต้นกร่างพบสาร lupeol, β-sitosterol, rutin, friedelin, taraxasterol, quercetin-3-galactoside, bengalenoside, benganoic acid
- แก่นกร่างพบสาร taraxasterol, tiglic acid, benzoic acid derivatives
- เปลือกต้นกร่างพบสาร leucopelargonidin, pelargonidin-3-rhamnoside และ pentatriacontan-5-one
- ใบกร่าง (Leaves) พบสาร quercetin-3-galactoside, rutin, β-sitosterol, friedelin
- เมล็ดกร่างพบสาร lectin
- น้ำยางพบสาร bengalinoside, bengalenoside และ leucopelargonidin derivatives
ส่วนสารสกัดกร่าง จากใบกร่างพบสาร กลุ่ม flavonoids เช่น quercetin-3-galactoside, rutin สารกลุ่ม sterols เช่น β-sitosterol และสารกลุ่ม triterpenoids ได้แก่ friedelin สารสกัดจากลำต้นและเปลือกพบสาร anthocyanidin derivatives เช่น leucodelphinidin-3-O-rhamnoside, pelargonidin สาร pentatriacontan-5-one, β-sitosterol glucoside, meso-inositol นอกจากนี้ยังพบ leucocyanidin, pelargonidin derivatives.
การศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของกร่าง
มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของสารสกัดส่วนเหนือดินของกร่าง ระบุว่ามีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาหลายประการดังนี้
มีรายงานผลการศึกษาวิจัยฤทธิ์ต้านการอักเสบในหนูทดลองแบบ carrageenan-induced pew oedema model พบว่าสารสกัดจากส่วนเหนือดินของกร่างมีฤทธิ์ลดการบวมอย่างมีนัยสำคัญและเมื่อนำสารสกัดดังกล่าวมาทำการทดสอบ ด้วยวิธี DPPH assay พบว่าสารสกัดมีฤทธิ์ยับยั้งอนุมูลอิสระได้ดี โดยมีค่า IC50 32µg/ml
ฤทธิ์ต้านอาการท้องเดิน มีรายงานผลการศึกษาวิจัยของสารสกัดเอทานอลจาก นิโครธ (Ficus bengalensis) พบว่า มีฤทธิ์ต่อต้านอาการท้องเดินได้ เมื่อทดลองในหนูขาวด้วยวิธีการต่างๆ ได้แก่ การเหนี่ยวนำให้เกิดอาการท้องเดินโดยใช้น้ำมันละหุ่งจากละหุ่ง PGE2 induced enteropooling และ charcoal meal test
นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าสารสกัดจากส่วนต่างๆ ของกร่างยังมีฤทธิ์ ลดระดับน้ำตาลในเลือด ลดคอเลสเตอรอลในเลือด ฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา ฤทธิ์ฆ่าพยาธิในลำไส้ ฤทธิ์แก้ท้องเสีย ฤทธิ์ปกป้องตับ ฤทธิ์ยับยั้งเซลล์มะเร็ง ฤทธิ์เสริมภูมิคุ้มกัน และฤทธิ์ต้านอาการแพ้ เป็นต้น
การศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาของกร่าง
มีรายงานผลการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับพิษวิทยาของสารสกัดจากรากอากาศของกร่าง ระบุว่าเมื่อให้สารสกัดเอทานอลจากรากอากาศทางปากในขนาด 5,000 mg/kg ในหนู Wistar ไม่พบการเสียชีวิตและความผิดปกติของพยาธิสภาพ ได้แก่ ระบบประสาท หัวใจ และไต แสดงให้เห็นว่าสารสกัดดังกล่าวมีความเป็นพิษต่ำมากและค่า LD50 ของสารสกัดจากรากอากาศของกร่าง มีมากกว่า 5,000 mg/kg.
ข้อแนะนำและข้อควรระวัง
สำหรับการใช้กร่างเป็นสมุนไพรในการบำบัดรักษาโรคต่างๆ นั้นควรระมัดระวังในการใช้เช่นเดียวกันกับการใช้สมุนไพรชนิดอื่นๆ โดยควรใช้ในขนาดและปริมาณที่เหมาะสมที่ได้ระบุไว้ในตำรับตำรายาต่างๆ ไม่ควรใช้ในขนาดที่มากจนเกินไป หรือ ใช้ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานานจนเกินไป เพราะอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวได้
เอกสาร อ้างอิงกร่าง
- เอื้อมพร วิสมหมาย และปณิธาน แก้วดวงเทียน.2552. ไม่ป่ายืนต้นของไทย.1, พิมพ์ครั้งที่ 2. เอช เอ็น กรุ๊ป จำกัด.กรุงเทพมหานคร.
- รศ.บุศบรรณ ณ สงขลา เรียบเรียง หนังสืออนุกรมวิธานพืชอักษร ก. ฉบับราชบัณฑิตยสถาน.2538.
- พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ. หนังสือสมุนไพร ในอุทยานแห่งชาติภาคเหนือ. กร่าง. หน้า 89.
- นิโครธ.ศูนย์วนวัฒนวิจัยภาคเหนือ.2555. พรรณไม้ในกระถางศูนย์วนวัฒนวิจัยภาคเหนือ. สำนักวิจัยและพัฒนาการป่าไม้. กรุงเทพฯ.
- Shukla, R., & Bhargava, A. (2016). Pharmacognostic and phytochemical studies of Ficus benghalensis leaves. International Journal of Pharmacognosy and Phytochemical Research, 8(7), 1080-1084.
- Kumar, R., & Singh, D. (2014). Qualitative phytochemical analysis of leaf buds of Ficus benghalensis. International Journal of Herbal Medicine, 2(2), 23-26.
- Jain, A., & Singh, V. (2013). Phytochemical evaluation and antimicrobial activity of stem bark of Ficus benghalensis. Journal of Pharmacognosy and Phytochemistry, 2(1), 85-88.
- Rani, P., & Khullar, N. (2004). Antimicrobial evaluation of some medicinal plants for their anti-enteric potential against multi-drug resistant Salmonella typhi. Phytotherapy Research, 18(8), 670-673.
- Jaiswal, D., Rai, P.K., Mehta, S., Chatterji, S., & Watal, G. (2009). Wound healing activity of Ficus benghalensis root extract on rat. Journal of Ethnopharmacology, 123(2), 494-497.
- Sharon, N., & Lis, H. (2004). Lectins: carbohydrate-specific proteins that mediate cellular recognition. Chemical Reviews, 104(2), 272-289.
- Shah, S.M., et al. (2015). Phytochemical screening and antioxidant activity of aerial root extract of Ficus benghalensis. International Journal of Pharmacy and Pharmaceutical Sciences, 7(9), 232-236.