มะเมื่อย ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย
มะเมื่อย งานวิจัยและสรรพคุณ 13 ข้อ
ชื่อสมุนไพร มะเมื่อย
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น เมื่อย, ม่อย, มะม่วย (ภาคเหนือ), ม่วย, ม่วยขาว, เมื่อยขาว, แฮนม่วย (ภาคอีสาน), เถาม่วย (ภาคกลาง)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Gnetum montanum Markgr
วงศ์ GNETACEAE
ถิ่นกำเนิดมะเมื่อย
มะเมื่อย จัดเป็นพืชชนิดหนึ่งในวงศ์ พืชเมล็ดเปลือย ที่มีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนของทวีปเอเชีย บริเวณ เนปาล อินเดีย พม่า เวียดนาม และจีนตอนใต้ จากนั้นจึงได้มีการแพร่กระจายพันธุ์ไปยังบริเวณเขตร้อนรอบๆ สำหรับในประเทศไทยพบมะเมื่อย ได้บริเวณป่าดิบแล้งทางภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคกลาง ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 500-1,500 เมตร
ประโยชน์และสรรพคุณมะเมื่อย
- ช่วยทำให้จิตใจชุ่มชื้น
- ช่วยทำให้แข็งแรง
- แก้ปวดเมื่อย
- แก้บวม
- ช่วยบำรุงร่างกายสตรีหลังคลอด
- ช่วยในการอยู่ไฟ
- รักษาโรคไข้ป่า
- ใช้เป็นยาแก้พิษ
- ใช้ทำให้เลือดไหลเวียนได้ดี
- ช่วยล้างแผลสด แผลเปื่อย
- แก้ผดผื่นคัน
- แก้ฝีหนอง
- แก่ตุ่มคัน
มีการนำเมล็ด หรือ ผลมาคั่ว หรือ ต้มมะเมื่อย ให้สุกใช้รับประทานได้ เช่นเดียวกันกับพืชเมล็ดเปลือกอื่นๆ และยังมีการนำใบมาใช้รับประทานเป็นผักได้อีกด้วย ส่วนเมล็ดมีการนำมาบีบเป็นน้ำมัน หรือ ใช้ทำไวน์ก็ได้
นอกจากนี้เปลือกต้นมะเมื่อย ที่มีความเหนียว สามารถนำมาใช้ทำเชือก ทำกระสอบ หรือ แหจับปลา สายธนู หรือ นำมาทำสายหน้าไม้ก็ได้
รูปแบบและขนาดวิธีใช้
- ใช้ทำให้จิตใจชุ่มชื่น ใช้แก้บวม แก้ปวดเมื่อย บำรุงร่างกายสตรีหลังคลอด ช่วยในการอยู่ไฟ โดยนำลำต้นมะเมื่อยผสมกับเถาเอ็นอ่อน ต้มน้ำดื่ม
- แก้ไข้ป่า ใช้เป็นยาแก้พิษได้บางชนิด โดยนำรากมะเมื่อยมาต้มกับน้ำดื่ม
- ใช้ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดี โดยนำใบมะเมื่อย มาต้มกับน้ำดื่ม หรือ นำมาชะล้างบริเวณแผลสด แผลเปื่อย แผลอักเสบ ฝี หนอง ผดผื่น ตุ่มก็ได้
ลักษณะทั่วไปของมะเมื่อย
มะเมื่อยจัดเป็นไม้เถาเนื้อแข็ง หรือ ไม้พุ่มรอเลื้อยขนาดใหญ่มีความสูง หรือ ความยาวของเถา 5-10 เมตร มักออกพาดพันไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่และมักแตกกิ่งก้านมาก เปลือกเถามีสีน้ำตาลปนดำ แตกเป็นสะเก็ด กิ่งออกเป็นข้อต่อกันและบริเวณข้อจะพองบวม
ใบมะเมื่อยเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงตรงข้ามสลับตั้งฉาก ใบมีลักษณะเป็นรูปไข่ หรือ รูปขอบขนานแกมรูปไข่ขนาดแตกต่างกัน โดยมีขนาดกว้าง 5-6 เซนติเมตร ยาวประมาณ 13-16 เซนติเมตร โคนใบกลม มน หรือ แหลมเล็กน้อย ปลายใบมีติ่งแหลม ขอบใบเรียบ แผ่นใบสดมีสีเขียวเข้มเมื่อแห้งจะเป็นสีออกดำ แผ่นใบมีความหนาและเหนียว เส้นใบมีประมาณ 6-8 คู่ มีลักษณะโค้ง และมีก้านใบยาว 1-1.5 เซนติเมตร
ดอกมะเมื่อย ออกเป็นช่อเชิงลด บริเวณปลายยอดและตามลำต้น โดยช่อดอกจะแยกเป็นช่อดอกเพศผู้และช่อดอกเพศเมีย บนต้นเดียวกัน ช่อดอกมักแตกแขนงมากและมีดอกย่อยอยู่เป็นจำนวนมาก มีโคน หรือ สตรอบิลัสออกเป็นช่อแกน มีลักษณะเป็นกลุ่ม โดยจะออกเรียงกันเป็นชั้นๆ ตามซอกใบ มีสีเขียวปนเหลือง ซึ่งโคนเพศผู้เป็นแบบช่อเชิงลด แตกแขนง ออกตามลำดับ หรือ ปลายยอดมีขนาดกว้างประมาณ 0.4 เซนติเมตร และยาวประมาณ 3 เซนติเมตร มีก้านโคนยาว 0.5-2.4 เซนติเมตร ส่วนก้านโคนย่อยยาว 0.5-1 เซนติเมตร โคนย่อยเป็นรูปทรงกระบอก สีเขียว มีขนาดกว้าง 4-5 มิลลิเมตร ยาว 3.5-4.2 เซนติเมตร โคนและปลายมน มีขนสั้น หนาแน่นมาก ในแต่ละโคนจะมีชั้น 8-15 ชั้น และในแต่ละชั้นมีเกสรเพศผู้ สีเหลือง หรือ ขาวอมเหลือง 8-25 อัน เรียงเป็นวงรอบๆ ข้อ ละอองเรณูเป็นสีขาว ส่วนโคนเพศเมียจะแตกแขนง ก้านโคนยาว 1.7-4.9 เซนติเมตร โดยในแต่ละโคนจะมี 6-14 ชั้น และในแต่ละชั้นจะมีเมล็ด 1-8 เมล็ด มีก้านของโคนย่อยยาว 1-3 มิลลิเมตร
ผล หรือ เมล็ดมะเมื่อย มีลักษณะเป็นรูปกระสวยกว้างประมาณ 1 เซนติเมตร และยาวประมาณ 1.5 เซนติเมตร ผิวเกลี้ยง โคนและปลายมน มีกลีบนุ่มคล้ายหนังหุ้ม เมื่ออ่อนเป็นสีเขียว เมื่อแก่แล้วจะเป็นสีชมพูแดงหรือสีแดง ก้านผลสั้นและเกลี้ยง ยาว 1-2 มิลลิเมตร
การขยายพันธุ์มะเมื่อย
มะเมื่อยสามารถขยายพันธุ์ได้โดยวิธีการใช้เมล็ด การตอนกิ่งและการแยกต้นจากรากแขนง โดยวิธีที่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน คือ การตอนกิ่งและการแยกต้นจากรากแขนง เพราะเป็นวิธีที่สามารถเจริญเติบโตได้รวดเร็วกว่าวิธีการใช้เมล็ดมาเพาะ ซึ่งอาจต้องใช้เวลาในการเพาะเมล็ดตั้งแต่ 4 เดือน ถึง 1 ปี เลยทีเดียว สำหรับวิธีการตอนกิ่งและการแยกต้นของมะเมื่อย สามารถทำได้เช่นเดียวกับการตอนกิ่งและการแยกต้นจากรากแขนงของไม้เถาเลื้อย หรือ ไม้ยืนต้นชนิดอื่นๆ ตามที่ได้กล่าวถึงมาแล้วในบทความก่อนหน้านี้
องค์ประกอบทางเคมี
มีรายงานผลการศึกษาวิจัยถึงองค์ประกอบทางเคมีของสารสกัดเมทานอลจากลำต้นของมะเมื่อย ระบุว่า พบสารออกฤทธิ์ที่สำคัญหลายชนิดอาทิเช่น Vanillic acid, Protocatechuic acid, Protocatechuic acid-3-glucoside, Isorhapontin, P-coumaric acid, Isolariciresinol, Gnetumontanin A, Resveratrol, Baicalein-5,6,7-trimethylether, Gnetifolin A, Chrysoeriol, Chrysin และ Ursolic acid เป็นต้น
การศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของมะเมื่อย
มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของสารสกัดมะเมื่อย จากส่วนเหนือดินของมะเมื่อย ระบุว่ามีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาต่างๆ ดังนี้
มีรายงานผลการศึกษาวิจัยฤทธิ์การต้านเซลล์มะเร็งของมนุษย์ 6 สายพันธุ์ (มะเร็งเต้านม, มะเร็งปอด, มะเร็งลำไส้ใหญ่, มะเร็งหลอดอาหาร, มะเร็งกระเพาะอาหาร และมะเร็งตับ) ด้วยสารสกัดเอทานอลจากส่วนเหนือดินของมะเมื่อย ในหลอดทดลองในประเทศจีนระบุว่าเซลล์มะเร็งแสดงให้เห็นระดับประสิทธิผลในการต่อต้านเซลล์มะเร็งที่แตกต่างกันใน ทั้ง 6 สายพันธุ์ โดยมีฤทธิ์ต้านรุนแรงที่สุดกับเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่ SW480 รองลงมา คือ เซลล์มะเร็งเต้านม MDA-MB-231 เซลล์มะเร็งตับ SMMC-7721 เซลล์มะเร็งกระเพาะอาหาร SGC-7901 เซลล์มะเร็งหลอดอาหาร Eca-109 และเซลล์มะเร็งปอด SK-MES-1 โดยสารสกัดดังกล่าวแสดงผลการยับยั้งต่อเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่ SW480 ได้เป็นอย่างดี โดยมีค่า IC 50ที่ 50.77 μg/mL นอกจากนี้ยังมีรายงานระบุว่าสารสกัดจากส่วนต่างๆ ของมะเมื่อย ยังมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ ต้านแบคทีเรีย อีกทั้งยังมีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์อัลฟาอะไมเลสและอัลฟากลูโคชิเดส ซึ่งมีส่วนช่วยในการป้องกันและรักษาโรคเบาหวานได้อีกด้วย
การศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาของมะเมื่อย
ไม่มีข้อมูล
ข้อแนะนำและข้อควรระวัง
สำหรับการใช้มะเมื่อย เป็นยาสมุนไพร ควรระมัดระวังในการใช้เช่นเดียวกันกับการใช้สมุนไพรชนิดอื่นๆ โดยควรใช้ในขนาดและปริมาณที่เหมาะสม ตามที่ได้ระบุไว้ในตำรับตำรายาต่างๆ ไม่ควรใช้ในขนาดที่มากจนเกินไป หรือ ใช้ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานานจนเกินไป เพราะอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวได้
เอกสารอ้างอิง มะเมื่อย
- เมื่อย. หนังสือสมุนไพร พื้นบ้านล้านนา, ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. หน้า 119.
- พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ, ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, กัญจนา ดีวิเศษ, เมื่อย. หนังสือสมุนไพรอุทยานแห่งชาติภาคกลาง, หน้า 127.
- ภูวดล บุตรรัตน์ และอาคม วังเมือง, ผลของอุณหภูมิและสารควบคุมการเจริญเติบโตบางชนิดที่มีต่การเจริญของเอ็มบริโอและการงอกของเมล็ดพืชสกุลนีตั้ม, การประชุมวิชาการนเรศวรวิจัยครั้งที่ 3. 28-29 กรกฎาคม 2550. มหาวิทยาลัยนเรศวร
- ฐานข้อมูลสมุนไพรไทยเขตอีสานได้ คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี เมื่อยขาว, (ออนไลน์), 2025, แหล่งที่มา: http://phar.ubu.ac.th/herb-DetailPhargarden/267.
- Qin Wang, L., Xing Zhao, Y., Zhou, L., et al. Lignans from Gnetum montanum Markgr.f.megalocarpua, Chem Nat Compd, vol. 45, pp. 424-426, May. 2009. https://doi.org/10.1007/s10600-009-9325-y
- H.M. Tran, D.H. Le, V.T. Nguyen, T.X. Vu, N.T.K. Thanh, D.H. Giang, et al.Penicillium digitatum as a model fungus for detecting antifungal activity of botanicals: an evaluation on vietnamese medicinal plant extracts J. Fungi, 8 (9) (2022), p. 956
- W.Y. Jin, B. Liu, S.Z. Zhang, T. Wan, C. Hou, Y. Yang Gnetum chinense, a new species of Gnetaceae from southwestern China PhytoKeys, 148 (2020), pp. 105-117
- Li X. M., Lin M., Wang Y. H., Liu X., Four new stilbenoids from the lianas of Gnetum montanum f. megalocarpum, Planta Med, vol. 70(2): pp. 160-165, Feb. 2004
- Vu Thi Lan Phuong, Research on chemical compositions of Gnetum montanum Markgr, Hai Phong University Science Journal vol. 34(5), pp. 45-50, 2019