พุดจีบ ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย

พุดจีบ งานวิจัยและสรรพคุณ 14 ข้อ

ชื่อสมุนไพร พุดจีบ
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น พุดสวน, พุดลา, พุดซ้อน (ภาคกลาง), พุดป่า (ภาคเหนือ)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Taberna Montana divaricata (L.)R.Br.ex Roem&Schult.
ชื่อสามัญ Crape jasmine, coffee rose, Pinwhell flower, Crepe gardenia
วงศ์ APOCYNACEAE


ถิ่นกำเนิดพุดจีบ

พุดจีบ จัดเป็นพืชในวงศ์ตีนเป็ด (APOCYNACEAE) ที่มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมในภูมิภาคเอเชียใต้บริเวณประเทศอินเดีย ศรีลังกา เนปาล และบังกลาเทศ ต่อมาได้มีการแพร่กระจายพันธุ์ไปยังภูมิภาคใกล้เคียงและได้กลายเป็นพืชประจำถิ่นในพม่า ไทย ลาว เวียดนาม และทางตอนใต้ของจีน สำหรับในประเทศไทยสามารถพบพุดจีบ ได้ทางภาคเหนือและภาคกลาง แต่พบได้มากในภาคเหนือ บริเวณป่าดิบชื้น หรือ ตามบ้านเรือนที่นำมาปลูกประดับบ้าน


ประโยชน์และสรรพคุณพุดจีบ

  1. ใช้แก้ไอ
  2. ช่วยขับพยาธิ
  3. ช่วยลดความดันโลหิต
  4. ใช้แก้โรคผิวหนัง
  5. แก้กลากเกลื้อน
  6. ช่วยลดไข้ ลดพิษไข้ ขับพิษไข้
  7. ช่วยลดความร้อนในตัว
  8. ช่วยขับพิษไข้
  9. ใช้บำรุงร่างกาย
  10. แก้ปวดฟัน
  11. ช่วยระงับการปวด
  12. แก้ท้องเสีย
  13. ใช้เป็นยาถ่าย
  14. แก้ผดผื่นคันตุ่มคัน

           มีการนำพุดจีบมาใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ ดังนี้ มีการนำพุดจีบมาปลูกเป็นไม้ประดับตามสวนหย่อม สวนสาธารณะ และตามอาคารสถานที่ต่างๆ เนื่องจากดอกพุดจีบ มีสีขาวกลีบดอกบิดเวียนสวย มีกลิ่นหอมและมีกิ่งก้านทรงพุ่มสวยงาม อีกทั้งด้วยความหอมของดอกจึงมีการนำดอกมาสกัดเอาสารที่ให้ความหอมมาใช้เป็นหัวน้ำหอมสำหรับผสมในผลิตภัณฑ์ด้านความสวยงามต่างๆ เนื้อไม้พุดจีบ มีการใช้ทำผงธูป ผลพุดจีบสุกใช้ย้อมผ้า โดยมีรายงานว่าจะให้สีส้มแดงสวยงาม นอกจากนี้ดอกตูมและดอกบานยังสามารถนำมาร้อยเป็นมาลัยได้อีกด้วย 


รูปแบบและขนาดวิธีใช้

  • ใช้เป็นบำรุงร่างกาย ช่วยระงับปวด แก้ท้องเสีย ใช้เป็นยาถ่ายพยาธิ ขับพยาธิ โดยนำรากพุดจีบมาต้มกับน้ำดื่ม
  • ใช้ลดไข้ ลดพิษไข้ ขับพิษไข้ โดยนำเนื้อไม้พุดจีบมาต้มกับน้ำดื่ม
  • ใช้แก้ไอ โดยนำใบพุดจีบมาตำกับน้ำตาลชงกับน้ำดื่ม
  • ใช้ขับพยาธิ ลดความดันโลหิต ด้วยการใช้ลำต้นพุดจีบ หรือ กิ่ง 1 กำมือนำมาต้มกับน้ำดื่ม
  • ใช้แก้อาการปวดฟัน โดยนำรากพุดจีบสดมาเคี้ยวอมน้ำไว้สักครู่แล้วบ้วนทิ้ง
  • ใช้แก้ผดผื่นตุ่มคัน โดยนำรากพุดจีบมาฝน แล้วนำมาใช้ทาผิวบริเวณที่เป็น
  • ใช้แก้โรคผิวหนัง กลากเกลื้อน ผื่นคัน โดยนำดอกพุดจีบมาคั้นน้ำใช้ทาบริเวณที่เป็น

           ส่วนอีกตำราหนึ่งระบุว่าใช้ลดไข้ ขับพยาธิ โดยนำต้นพุดจีบ และรากสดพุดจีบ 20-30 กรัม ล้างให้สะอาดสับเป็นชิ้นต้นในน้ำเดือด 500 มิลลิลิตร กรองเอาน้ำดื่มวันละ 3 เวลา 3-5 วัน ใช้แก้โรคผิวหนัง กลากเกลื้อน ผื่นคัน โดยนำดอกพุดจีบสด 10-20 กรัม มาโขลกให้ละเอียดผสมเหล้าโรงเล็กน้อย แล้วคั้นเอาแต่น้ำทาและพอกบริเวณที่เป็นวันละ 2 เวลา เช้า-เย็น


ลักษณะทั่วไปของพุดจีบ

พุดจีบ จัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก หรือ เป็นไม้พุ่มขนาดกลาง ทรงพุ่มโปร่งแตกกิ่งก้านเป็นพุ่มเตี้ย มีความสูงของต้นประมาณ 1-3 เมตร เปลือกต้นเป็นสีน้ำตาลอ่อน มักจะแตกเป็นร่องเล็กๆ กิ่งก้านค่อนข้างเกลี้ยง ทุกส่วนของต้นจะมีน้ำยางเหลวๆ สีขาว

           ใบพุดจีบ เป็นใบเดี่ยวออกตรงข้างกันบริเวณกิ่งและปลายยอด ใบมีลักษณะเป็นรูปรีแกมรูปขอบขนาน หรือ รูปใบหอกมีขนาดกว้าง 3-5 เซนติเมตร และยาว 8-12 เซนติเมตร โคนใบสอบปลายใบเรียวแหลม ขอบใบเป็นคลื่น แผ่นใบบางเป็นคลื่นมีสีเขียวเข้มหลังใบเรียบลื่นเป็นมันส่วนท้องใบสีอ่อนกว่า

           ดอกพุดจีบ ออกเป็นช่อแบบกระจุก บริเวณซอกใบและปลายกิ่งโดยใน 1 ช่อจะมีดอกย่อยช่อละประมาณ 2-3 ดอก ดอกย่อยสีขาว มีลักษณะเป็นคลื่นหมุนเวียนซ้อนกัน โดยโคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอดยาว 1.5-2.5 เซนติเมตร ส่วนปลายแยกเป็น 5 แฉก มีเกสรเพศผู้ 5 ก้าน ส่วนกลีบเลี้ยงดอกเป็นรูปไข่มีลักษณะเป็นแฉกเรียวแหลมยาว 2-7 มิลลิเมตร เมื่อดอกบานเต็มที่จะมีขนาดกว้าง ดอกมีกลิ่นหอม

           ผลพุดจีบ เป็นผลแห้ง เป็นแบบฝักคู่ติดกัน ลักษณะเป็นรูปทรงสามเหลี่ยม หรือ รูปรีเบี้ยว โป่งพองตรงกลางฝักโค้งยาว 2.5-5 เซนติเมตร ปลายฝักแหลมส่วนขอบฝักเป็นสันนูน ด้านในผลมีเนื้อผลเป็นสีแดง เมื่อฝักแก่จะแตกออกตามแนวสัน ภายในฝักมีเมล็ดรูปรีเบี้ยวขนาด 0.7-1 เซนติเมตร มีสันตามยาว

พุดจีบ
พุดจีบ

การขยายพันธุ์พุดจีบ

พุดจีบสามารถขยายพันธุ์ได้หลายวิธีอาทิเช่น การปักชำ การตอนกิ่ง และการใช้เมล็ด แต่มีที่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน คือ วิธีการตอนกิ่ง โดยวิธีการตอนกิ่งและการปลูกพุดจีบ นั้น สามารถทำได้เช่นเดียวกันกับการตอนกิ่งและการปลูก “พุดซ้อน” ซึ่งเคยได้กล่าวมาแล้วในบทความ “พุดซ้อน” ทั้งนี้พุดจีบเป็นพืชที่สามารถเจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนปนทราย ชอบความชื้นและแสงแดดในระดับปานกลาง


องค์ประกอบทางเคมี

มีรายงานผลการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับองค์ประกอบทางเคมีของสารสกัดจากส่วนรากของพุดจีบระบุว่าพบสารออกฤทธิ์ที่สำคัญหลายชนิด อาทิเช่นพบสารกลุ่ม bis-monoterpenoid indole alkaloids 2 ชนิด คือ conophylline 19, 20-dihydrotabernamine, 3-R/S-hydroxyvoacamine และ 19,20-dihydroervahanine A สารกลุ่ม bisindole alkaloids 2 ชนิด คือ tabernaelegantine A และ conodurine, Tabernaricatine A, conophylline

           นอกจากนี้ยังมีรายงานการศึกษาวิจัยองค์ประกอบทางเคมีของสารสกัดจากส่วนเหนือดินของพุดจีบ ระบุว่าพบสาร B-amyrin, tryptamine, coronarine, kaempferol, ajmalicine, pericalline, tabernaricatine A-E,F,G, voacamine, Conophylline และ vasharine เป็นต้น

โครงสร้างพุดจีบ

การศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของพุดจีบ

มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของสารสกัดจากส่วนต่างๆ ของพุดจีบ ระบุว่ามีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาหลายประการดังนี้

           มีรายงานผลการศึกษาวิจัยและทดสอบส่วนสารสกัดพุดจีบ แบบหยาบจากส่วนต่างๆ ของพุดจีบ ต่อการยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ acetylcholinesterase (AChE) ที่ก่อให้เกิดโรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer’s disease) โดยใช้วิธีการทดสอบแบบ Ellman’s colorimetric method พบว่า ส่วนสกัดหยาบของลำต้นและรากมีฤทธิ์การยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ acetylcholinesterase ได้ดีมากแต่ส่วนสกัดหยาบของใบและดอกมีฤทธิ์การยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ acetylcholinesterase ที่ต่ำกว่าสองส่วนแรก โดยพบว่า ส่วนสกัดหยาบของลำต้นและราก มีเปอร์เซ็นต์การยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ acetylcholinesterase เท่ากับ 94.72 ± 2.09% และ 99.72 ± 0.26% ตามลำดับ และมีการศึกษาวิจัยความเป็นพิษต่อเซลล์มะเร็งชนิดต่างๆ เช่น HCT-15 (Colon), HT-29 (Colon), 502713 (Colon), MCF-7 (Breast), PC-3 (Prostrate) ของส่วนสกัดหยาบชั้นต่างๆ ได้แก่ สารสกัดจาก hexane, chloroform, ethyl acetate and methanol จากใบของพุดจีบ พบว่าส่วนสกัดหยาบชั้น ethyl acetate แสดงฤทธิ์การยับยั้งเซลล์มะเร็งลำไส้ 502713 (Colon) ที่ความเข้มข้น 10 mg/ml ในขณะที่ส่วนสกัดหยาบชั้น chloroform แสดงฤทธิ์การยับยั้งเซลล์มะเร็งลำไส้ได้ทั้งสามชนิด [HCT-15 (Colon), HT-29 (Colon), 502713 (Colon)] ที่ความเข้มข้น 30 mg/ml

           อีกทั้งยังได้มีรายงานการศึกษาสาร conophylline ซึ่งเป็นสารกลุ่ม bismonoterpenoid indole alkaloids ที่แยกได้จากพุดจีบ พบว่าสารดังกล่าวมีฤทธิ์การยับยั้งเซลล์มะเร็งตับอ่อนของหนูที่ดีมากและยังสามารถยับยั้งเซลล์มะเร็ง HL-60, SMMC-7721, A-549, MCF-7, และ SW480 cells ที่ค่า IC50 เท่ากับ 0.17, 0.35, 0.21, 1.02, และ 1.49 mM ตามลำดับ

           นอกจากนี้ยังมีการศึกษาวิจัยโดยได้ทำการศึกษาทดลองใช้สารสกัดพุดจีบในหนูทดลอง โดยให้สารสกัดทางปากในขนาด 80 มิลลิกรัม/กิโลกรัมในหนูทดลองที่ถูกให้ corn oil 1กรัม/กิโลกรัม จนหนูเกิดภาวะอ้วนผลการทดลองพบว่าสารสกัดของพุดจีบมีผลต้านอนุมูลอิสระและ Lipid peroxidation และช่วยทำให้ไขมันในเลือดลดลงได้


การศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาของพุดจีบ

มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาแบบเฉียบพลันและกึ่งเรื้อรังของสารสกัดจากส่วนรากของพุดจีบ โดยได้ศึกษาความเป็นพิษของสมุนไพรจากรากพุดจีบในสัตว์ทดลอง โดยใช้วิธีการ Limit test และศึกษาความเป็นพิษชนิดกึ่งเรื้อรังตามหลักการของ OECD โดยผลการทดลองพบว่า หนูทดลองที่ได้รับสารตัวละลายและสารสกัดรากพุดจีบขนาด 2 ก./กก. เพียงครั้งเดียว พบว่า ไม่มีการตายในการระหว่างการศึกษา ไม่มีผลต่อการเจริญเติบโตและไม่ทำให้เซลล์เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ผิดปกติ นอกจากนี้พบว่าเมื่อป้อนให้แก่หนูทดลองในขนาด 5, 100 หรือ 500 มก. /กก. ติดต่อกันนาน 90 วัน ไม่มีหนูทดลองตาย ไม่มีการแสดงอาการผิดปกติ แต่อาจเกิดความผิดปกติที่ไตของหนูตัวเมียบางตัวและอาจมีผลต่อการเจริญเติบโตของหนูทดลองบ้างในบางกลุ่ม ส่วนอีกการศึกษาหนึ่งระบุว่ามีรายงานการทดสอบความเป็นพิษสารสกัดเอทานอล 95% จากกิ่งแห้งของพุดจีบ โดยการฉีดเข้าช่องท้องของหนูถีบจักรในขนาด 50 หรือ 200 มิลลิกรัม/กิโลกรัม พบว่าไม่พบความเป็นพิษแต่อย่างใด


ข้อแนะนำและข้อควรระวัง

ถึงแม้ว่าจะมีรายงานการศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาระบุว่าไม่พบความเป็นพิษในสารสกัดของพุดจีบ แต่สำหรับการใช้พุดจีบเป็นสมุนไพร ก็ควรระมัดระวังในการใช้เช่นเดียวกันกับการใช้สมุนไพรชนิดอื่นๆ โดยควรใช้ในขนาดและปริมาณที่เหมาะสมที่ได้ระบุไว้ในตำรับตำรายาต่างๆ ไม่ควรใช้ในขนาดที่มากจนเกินไป หรือ ใช้ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานานจนเกินไป เพราะอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวได้


เอกสารอ้างอิง พุดจีบ

  1. ดร.นิจศิริ เรืองรังสี, ธวัชชัย มังคละคุปต์. พุดจีบ (Phut Chip) หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. หน้า 197.
  2. คณะกรรมการวิชาการดำเนินงานส่วนสวนสมุนไพรพืชสวนโลก .2549.สวนสมุนไพรในงานมหกรรมพืชสวนโลก 2549. พิมพ์ครั้งที่ 1. บริษัท สามเจริญพาณิชย์ (กรุงเทพฯ) จำกัด. กรุงเทพมหานคร. 464 น.
  3. เภสัชกรหญิง จุไรรัตน์ เกิดดอนแฝก พุดซ้อน.หนังสือสมุนไพรลดไขมันในเลือด140 ชนิด. หน้า 131-132.
  4. อนันต์ อธิพรชัย, รุ่งนภาพ แซ่เอ็ง, โครงการสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพจากพืชสกุล Tabernaemontana. รายงานฉบับสมบูรณ์.คณะวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยบูรพา. ตุลาคม 2559. 36 หน้า
  5. สุธิรา เลิศตระกูล. (2551). การศึกษาพิษแบบเฉียบพลันและกึ่งเรื้อรังของสารสกัดสมุนไพรจากรากพุดจีบ Acute and sub-chronic toxicity studies of a crude extract from the root of Tabernaemontana divaricata. มหาวิทยาลัยนเรศวร
  6. Chaiyana, W.; Schripsema, J.; Ingkaninan, K.; Okonogi, S. 2013. 3'-R/S-Hydroxyvoacamine, a potent acetylcholinesterase inhibitor from Tabernaemontana divaricata. Phytomedicine 20, 543-548.
  7. Zhang, H.; Li, D.; Cao, H.; Lu, X.; Chu, Y.; Bai, Y.; Jin, Y.; Peng, S.; Dou, Z.; Hua, J. 2013. Conophylline Promotes the Proliferation of Immortalized Mesenchymal Stem Cells Derived from Fetal Porcine Pancreas (iPMSCs). Journal of Integrative Agriculture. 12, 678-686.
  8. Middleton,D.J.(1999).Apocynaceae.In Flora of Thailand Vol.7(1):31-32.
  9. Thind, T. S.; Agrawal, S. K.; Saxena, A. K.; Arora, S. 2008. Studies on cytotoxic, hydroxyl radical scavenging and topoisomerase inhibitory activities of extracts of Tabernaemontana divaricata (L.) R.Br. ex Roem. and Schult. Food and Chemical Toxicology. 46, 2922-2927.
  10. Ingkaninan, K.; Changwijit, K.; Suwanborirux, K. 2006. Vobasinyl-iboga bisindole alkaloids, potent acetylcholinesterase inhibitors from Tabernaemontana divaricata root. J. Pharm. Pharmacol. 58, 847-852.
  11. Bao, M.- F.; Yan, J.- M.; Cheng, G.- G.; Li, X.- Y.; Liu, Y.- P.; Li, Y.; Cai, X.- H.; Luo, X.- D. 2013. Cytotoxic indole alkaloids from Tabernaemontana divericata. J. Nat. Prod. 76, 1406-1412.