น้อยโหน่ง ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย

น้อยโหน่ง งานวิจัยและสรรพคุณ 17 ข้อ

ชื่อสมุนไพร น้อยโหน่ง
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น น้อยหน่าหนัง, น้อยแน่หัวหนัง, มะโหน่ง, มะเหนืองแฮ้ง (ภาคเหนือ), หนอนลาว (ภาคอีสาน), น้อยหนัง, มะดาก (ภาคใต้), เร็งนก (ภาคกลาง)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Annona reticulata Linn.
ชื่อสามัญ Bullocks heart, wild sweetsop
วงศ์ ANNONACEAE


ถิ่นกำเนิดน้อยโหน่ง

น้อยโหน่ง จัดเป็นพืชในวงศ์กระดังงา (ANNONACEAE) เช่นเดียวกันกับน้อยหน่า โดยมีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมในเขตร้อนของทวีปอเมริกากลางเช่นใน เม็กซิโก กัวเตมาลา ปานามา คอสตาริกา และนิการากัว เป็นต้น ต่อมาจึงได้มีการกระจายพันธุ์ไปยังเขตร้อนต่างๆ ทั่วโลก สำหรับในประเทศไทย ชื่อกันว่ามีการนำน้อยโหน่ง เข้ามาครั้งแรกตั้งแต่ในปลายสมัยอยุธยา ปัจจุบันสามารถพบน้อยโหน่งได้ทั่วทุกภาคของประเทศ โดยมักพบการปลูกน้อยโหน่งไว้บริเวณบ้าน หรือ ตามสวนและไร่


ประโยชน์และสรรพคุณน้อยโหน่ง

  1. ใช้แก้ท้องร่วง
  2. แก้อาการบิด
  3. แก้ตานซาง
  4. แก้ลมจุกเสียด
  5. ใช้แก้พยาธิในร่างกายและพยาธิผิวหนัง
  6. ใช้ห้ามเลือด
  7. ช่วยสมานแผล
  8. แก้ฟกช้ำบวม
  9. ใช้เป็นยาฆ่าเหา
  10. แก้กลาก เกลื้อน
  11. แก้คุดทะราด
  12. แก้หิด
  13. ใช้แก้โรคเรื้อน
  14. แก้เหงือกบวม
  15. รักษาโรคท้องร่วง
  16. แก้อักเสบ
  17. ช่วยต้านมาลาเรีย

           ส่วนในอินเดียก็มีการใช้น้อยโหน่ง เป็นยาสมุนไพรเช่นกัน โดยใช้เป็นยาถ่ายพยาธิ รักษาโรคท้องร่วงและบิด แก้อักเสบ รักษาแผล และต้านมาลาเรีย

           ผลน้อยโหน่งสุกใช้รับประทานเป็นผลไม้ แต่ไม่ค่อยเป็นที่นิยมเนื่องจากรสชาติไม่หวานเท่ากับน้อยหน่าและมีการนำใบสดน้อยโหน่งมาใช้เป็นสีย้อมผ้าและยังช่วยให้สีที่ได้ติดทนทาน โดยใบสดจะให้สีดำและสีน้ำเงิน ส่วนเมล็ดน้อยโหน่ง ก็ยังสามารถนำไปใช้ทำเป็นยาฆ่าแมลงได้อีกด้วย

น้อยโหน่ง

รูปแบบและขนาดวิธีใช้

  • ใช้แก้ท้องร่วง แก้บิด แก้ตานซาง แก้ลมจุกเสียด โดยนำผลน้อยโหน่งดิบมาต้มกับน้ำดื่ม
  • ใช้แก้โรคเรื้อน แก้เหงือกบวม โดยนำรากน้อยโหน่งสดมาต้มกับน้ำดื่มและใช้กลั้วปาก
  • ใช้ห้ามเลือด ช่วยสมานแผล โดยนำเปลือกต้นน้อยโหน่งมาตำพอกบริเวณที่เป็น
  • ใช้สมานแผล ฆ่าพยาธิผิวหนัง เช่น หิด กลากเกลื้อน เรื้อน คุดทะราด โดยนำเมล็ดน้อยโหน่ง มาตำให้แหลกพอกบริเวณที่เป็น
  • ใช้แก้ฟกช้ำบวม ฆ่าพยาธิผิวหนัง โดยนำใบน้อยโหน่งสดมาตำพอกบริเวณที่เป็น
  • ใช้ฆ่าเหาโดยนำใบน้อยโหน่งสดมาตำพอกบนศีรษะประมาณ 15 นาที แล้วล้างออก


ลักษณะทั่วไปของน้อยโหน่ง

น้อยโหน่ง ไม้พุ่มขนาดเล็กถึงขนาดกลางลำต้นสูง 5-8 เมตร ทรงพุ่มโปร่งแตกกิ่งมาก กระจายรอบต้น เปลือกต้นมีสีเทา ผิวลำต้นขระขระ

           ใบน้อยโหน่งเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับตามกิ่ง ใบมีลักษณะเป็นรูปขอบขนานแกมรูปใบหอก โคนและปลายใบแหลมขอบใบเรียบ ใบมีสีเขียวสดผิวใบย่นมองเห็นเส้นใบได้ชัดเจน ใบมีกลิ่นฉุนเฉพาะตัวคล้ายน้อยหน่า

           ดอกน้อยโหน่ง ออกเป็นดอกเดี่ยว หรือ อาจออกเป็นช่อกระจุกๆ ละ 2-3 ดอก ลักษณะของดอกน้อยโหน่ง คล้ายๆ กับดอกน้อยหน่า คือ มีกลีบดอก 3 กลีบ เป็นสีเหลืองแกมเขียวโดยกลีบดอกจะค่อนข้างหนา มีกลิ่นหอมแบบเอียนๆ

           ผลน้อยโหน่ง เป็นผลกลมลักษณะเป็นรูปกรม หรือ รูปทรงหัวใจ ผลจะใหญ่กว่าน้อยหน่า ผิวเปลือกเหนียวบางเรียบ ไม่มีปุ่มโปนออกมาเหมือนน้อยหน่า ผลดิบจะมีเปลือกสีเขียวจางๆ ปนแดงเรื่อๆ เมื่อสุกจะเป็นสีแดงอมน้ำตาลเข้ม เนื้อข้างในผลมีเนื้อหนาสีขาว มีรสหวานเล็กน้อย แต่หวานไม่เท่าน้อยหน่าและจะมีเมล็ดสีดำลักษณะคล้ายเมล็ดน้อยหน่า

น้อยโหน่ง
น้อยโหน่ง

การขยายพันธุ์น้อยโหน่ง

น้อยโหน่ง สามารถขยายพันธุ์ได้โดยการใช้เมล็ดและการตอนกิ่ง ซึ่งเป็นวิธีที่เป็นที่นิยมในปัจจุบันทั้งสองวิธี สำหรับวิธีการเพาะเมล็ดและการปลูกน้อยโหน่งนั้น สามารถทำได้ดังนี้ เริ่มจากคัดเลือกเมล็ดน้อยโหน่ง ที่แก่จัดมาเพาะในถุงดำขนาด 10x15 จำนวน 3 เมล็ดต่อถุง โดยมีวัสดุเพาะ คือ ดินร่วนและแกลบดำในอัตราส่วน 1:3 จากนั้นใช้เวลาเพาะ 1-4 เดือน เมื่อครบกำหนดจึงนำต้นกล้าลงมาปลูกในหลุมที่มีขนาด กว้างxยาวxลึก เท่ากับ 50x50x50 เซนติเมตร จากนั้นนำดินที่มีส่วนผสมของปุ๋ยคอก ปุ๋ยร็อคฟอสเฟตมากลบหลุม โดยให้กลบพูนโคนต้นกล้า ปักหลักผูกเชือดยึดนำฟางข้าวมาคลุม รดน้ำให้ชุ่ม


องค์ประกอบทางเคมี

มีรายงานผลการศึกษาวิจัยองค์ประกอบทางเคมีของสารสกัดจากสวนใบของน้อยโหน่ง ระบุว่าพบสารออกฤทธิ์ที่สำคัญจำนวนมากอาทิเช่น annonaretin A, taraxerol, kaurenoic acid, β-sitosterol, 6β-hydroxystigmast-4-en-3-one, 16α-hydro-19-al-ent-kauran-17-oic acid, 17-acetoxy-16β-ent-kauran-19-oic acid, rolliniastatin, annoreticuin, bullatacin, squamosine, reticullacinone, molvizarin และ trans-isomurisolenin เป็นต้น นอกจากนี้น้อยโหน่ง ยังมีคุณค่าทางโภชนาการ ดังนี้     

           คุณค่าทางโภชนาการของน้อยโหน่ง (100 กรัม)

  • พลังงาน                   101       กิโลแคลอรี
  • โปรตีน                     1.7         กรัม
  • คาร์โบไฮเดรต         25.2       กรัม
  • ไขมัน                       0.6         กรัม
  • เส้นใย                      2.4         กรัม
  • วิตามิน B1              0.08       มิลลิกรัม
  • วิตามิน B2               0.1         มิลลิกรัม
  • วิตามิน B3               0.5         มิลลิกรัม
  • วิตามิน B5               0.135     มิลลิกรัม
  • วิตามิน B6              0.221     มิลลิกรัม
  • วิตามิน C                 19.2       มิลลิกรัม
  • แคลเซียม                30         มิลลิกรัม
  • ธาตุเหล็ก                 0.71      มิลลิกรัม
  • โซเดียม                  4           มิลลิกรัม
  • แมกนีเซียม              18         มิลลิกรัม
  • ฟอสฟอรัส                21        มิลลิกรัม
  • โพแทสเซียม           382       มิลลิกรัม

โครงสร้างน้อยโหน่ง

การศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของน้อยโหน่ง

มีรายงานผลการวิจัยทางเภสัชวิทยาของสารสกัดน้อยโหน่ง จากส่วนใบของน้อยโหน่งระบุว่าสาร taraxerol ที่สกัดได้จากส่วนใบของน้อยโหน่ง มีฤทธิ์ลดการแสดงออกของตัวกลางที่ก่อให้เกิดการอักเสบเซลล์ในแมคโครฟาจได้ โดยจะเข้าไปขัดขวางการทำงานของ TAK1 และ Akt จึงสามารถป้องกันการทำงานของ NF-κB ได้ส่วนkaurenoic acid ที่แยกได้จากสารสกัดส่วนใบของน้อยโหน่งมีฤทธิ์ยับยั้งการผลิต nitric oxide, ยับยั้งการปล่อย prostaglandin E2 cyclooxygenase-2 และยับยั้งการแสดงออกของ nitric oxide synthase ที่เหนี่ยวนำได้ในแมคโครฟาจ RAW264.7 ที่ถูกเหนี่ยวนำโดย LPS ได้  

           นอกจากนี้ยังมีรายงานผลการศึกษาวิจัยด้านความเป็นพิษระดับเซลล์ในเซลล์ที่แบ่งตัวและไม่แบ่งตัวที่กำหนดขั้นในเซลล์ทั้ง 2 เชื้อสาย โดยวิธี MTT assay ของสารสกัดเปลือกต้นใบและผลอ่อนของน้อยโหน่ง พบว่าสารสกัดจากผลอ่อนของน้อยโหน่งส่งผลในระดับปานกลาง ในส่วนของเฮลาพบว่าสารสกัดจากผลอ่อนของน้อยโหน่งมีผลสูงสุดที่ MTT50 เท่ากับ 0.86 และ 21 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตรต่อเซลล์ ที่แบ่งตัวและไม่แบ่งตัวตามลำดับ อีกทั้งสารสกัดนี้ยังมีความสามารถในการเลือดฆ่าเซลล์ที่แบ่งตัวมากกว่าเซลล์ที่ไม่แบ่งตัวด้วยค่า selective index น้อยกว่า 1 จากนั้นจึงนำสารสกัดจากผลอ่อนของน้อยโหน่งมาใช้ศึกษาผลต่อการกลายพันธุ์ในเซลล์ AMC-K46 พบว่าสารสกัดจากน้อยโหน่งมีฤทธิ์ยับยั้งการแบ่งเซลล์โดยให้ค่าดัชนีการแบ่งเซลล์เท่ากับ 0.75 โดยสารสกัดจะเข้าไปควบคุมการแบ่งตัวและทำให้ดัชนีการแบ่งตัวลดลงจากปกติ


การศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาของน้อยโหน่ง

ไม่มีข้อมูล


ข้อแนะนำและข้อควรระวัง

สำหรับการใช้น้อยโหน่ง เป็นยาสมุนไพร เพื่อบำบัดรักษาโรคต่างๆ นั้นควรระมัดระวังในการใช้เช่นเดียวกันกับการใช้สมุนไพรชนิดอื่นๆ โดยควรใช้ในขนาดและปริมาณที่พอเหมาะที่ได้ระบุไว้ในตำรับตำรายาต่างๆ ไม่ควรใช้ในขนาดที่มากจนเกินไป หรือ ใช้ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานานจนเกินไป เพราะอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวได้


เอกสารอ้างอิง น้อยโหน่ง
  1. เต็ม สมิตินันทน์. 2544. ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2544. ส่วนพฤกษศาสตร์ป่าไม้ สำนักวิชาการป่าไม้ กรมป่าไม้. กรุงเทพฯ
  2. ไพโรจน์ ผลประสิทธิ์. น้อยหน่าและญาติๆ. คอลัมน์ชาวสวนควรรู้, วารสารเคหเกษตร ปีที่ 25 ฉบับที่ 12. ธันวาคม 2544. หน้า 99-104.
  3. ณรงค์ คูณขุนทด, 2544. การศึกษาทางอนุกรมวิธานของพรรณไม้วงศ์น้อยหน่าในป่าตะวันออก. วิทยานิพนธ์ปริญญาโท. มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. กรุงเทพฯ
  4. ปิยะ เฉลิมกลิ่น 2544. พรรณไม้วงศ์กระดังงา บ้านและสวน.กรุงเทพฯ
  5. กมล คาสา, ผลของสารสกัดหยาบของพืชสมุนไพร บางชนิดในวงศ์กระดังงา. ต่อเซลล์เฮลาและเซลล์เชื้อสายจากน้ำคร่ำมนุษย์. วิทยานิพนธ์หลักสูตรวิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต. ปีการศึกษา 2548.
  6. Kirtikar K.R., Basu B.D. Indian Medicinal Plants. International Book Distributors; Deharadun, India: 1987. pp. 68-69. 
  7. Etse J.T., Waterman P.G. Chemistry in the Annonaceae, XXII. 14-Hydroxy-25-desoxyrollinicin from the stem bark of Annona reticulata. J. Nat. Prod. 1986;49:684-686. doi: 10.1021/np50046a023. 
  8. Choi R.J., Shin E.M., Jung H.A., Choi J.S., Kim Y.S. Inhibitory effects of kaurenoic acid from Aralia continentalis on LPS-induced inflammatory response in RAW264.7 macrophages. Phytomedicine. 2011;18:677-682. doi: 10.1016/j.phymed.2010.11.010.
  9. Chang F.R., Chen J.L., Chiu H.F., Wu M.J., Wu Y.C. Acetogenins from seeds of Annona reticulata. Phytochemistry. 1998;47:1057-1061. doi: 10.1016/s0031-9422(97)00675-4. 
  10. Yao X., Li G., Bai Q., Xu H., Lü C. Taraxerol inhibits LPS-induced inflammatory responses through suppression of TAK1 and Akt activation. Int.Immunopharmacol. 2013;15:316-324. doi: 10.1016/j.intimp.2012.12.032.
  11. Nes W.D., Norton R.A., Benson M. Carbon-13-NMR studies on sitosterol biosynthesized from [13C]mevalonates. Phytochemistry. 1992;31:805-811. 
  12. Hisham A., Sunitha C., Sreekala U., Pieters L., De Bruyne T., Van den Heuvel H., Claeys M. Reticulacinone, an acetogenin from Annona reticulata. Phytochemistry. 1994;35:1325-1329. doi: 10.1016/S0031-9422(00)94847-7. 
  13. Yoshida T., Feng W.S., Okuda T. Two polyphenol glycosides and tannins from Rosa cymosa. Phytochemistry. 1993;32:1033-1036. doi: 10.1016/0031-9422(93)85250-U.
  14. Hsieh T.J., Wu Y.C., Chen S.C., Huang C.S., Chen C.Y. Chemical constituents from Annona glabra. J. Chin. Chem. Soc. 2004;51:869-876.
  15. Maeda U., Hara N., Fujimoto Y., Shrivastava A., Gupta Y.K., Sahai M. N-fatty acyl tryptamines from Annona reticulata. Phytochemistry. 1993;34:1633-1635. doi: 10.1016/S0031-9422(00)90860-4.