เบญกานี ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย
เบญกานี งานวิจัยและสรรพคุณ 17 ข้อ
ชื่อสมุนไพร เบญกานี
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น เบญจกานี, ลูกเบญกานี (ทั่วไป), หม้อสือจื๋อ, หมดเจี๊ยะจี้(จีน)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Quercus infectoria G.Oliver.
ชื่อสามัญ Nutgall
วงศ์ FAGACEAE
ถิ่นกำเนิดเบญกานี
เบญจกานีเป็นรยางค์ของต้นโอ๊ค Aleppo ที่ถูกรบกวนโดยแมลงชนิด Quercvs infectoria G.Olver หรือ Cynips tinctoria โดยแมลงเหล่านี้ ที่จะทำการเจาะที่ลำต้น แล้ววางไข่เอาไว้จากนั้น ต้นไม้จะขับสารสร้างยางเหนียวมาหุ้มไข่ตัวแมลงให้เป็นรังของตัวอ่อน จนกระทั่งรังมีลักษณะเป็นก้อน และเมื่อตัวอ่อนเจริญเติบโตเต็มที่จนบินออกจากรังไปแล้วทิ้งรั้งไว้ ซึ่งนี้เองที่เรียกว่า “เบญกานี” หรือ “เบญจกานี”
ทั้งนี้เบญกานี มีถิ่น กำเนิดดั้งเดิมบริเวณยุโรปตอนใต้ ตั้งแต่กรีซ และหมู่เกาะทะเลอีเจียน ตะวันออกจนถึงตะวันออกกลาง ได้แก่ตุรกีไซปรัส อิหร่าน อิรัก เลบานอน ซีเรีย อิสราเอล และจอร์แดนเป็นต้น
ต้นโอ๊ค
ประโยชน์และสรรพคุณเบญกานี
- แก้ไอเป็นเลือด
- ช่วยหลอดลมอักเสบ
- แก้บิดมูกเลือด
- แก้ท้องร่วง ท้องเสีย
- แก้ปวดหน่วงเบ่ง
- แก้อาเจียน
- ใช้เป็นยาสมานแผลสด
- ใช้ห้ามเลือด
- แก้ตกเลือด
- แก้ปวดมดลูก
- แก้ลิ้นเป็นฝ้า
- แก้ลิ้นเป็นแผล
- แก้วริดสีดวงภายใน
- แก้อสุจิเคลื่อน
- แก้ถ่ายเป็นเลือด
- แก้อาการปวดฟัน
- ใช้รักษาบาดแผลจากโรคเบาหวาน
สารสกัดจากเบญกานี ถูกนำมาใช้เป็นสารเพิ่มความข้นในสตูว์ หรือ ผสมเพื่อใช้ทำขนมปัง ใช้ตามเป็นสารเติมแต่งในอาหารและอาหารสัตว์ ใช้ผสมเป็นสีย้อมหมึกและผลิตภัณฑ์ยา
อีกครั้งเบญกานี ยังเป็นสมุนไพรที่จัดอยู่ในตำรับ “ยามันทธาตุ” ที่ประกอบด้วยลูกเบญกานีและสมุนไพรอื่นๆ มีสรรพคุณเป็นยาแก้ท้องขึ้นท้องเฟ้อ แก้ธาตุไม่ปกติ นอกจากนี้ในมาเลเซียยังมีการนำเบญกานี มาใช้ร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่นเป็นเครื่องดื่มสำหรับสตรีหลังคลอดบุตร เพื่อฟื้นฟูความยืดหยุ่นของผนังมดลูกและนำมาใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์กระชับช่องคลอดหลายชนิด ส่วนในอินเดียมีการนำเบญกานี มาใช้บดเป็นผงสำหรับขัดฟัน รักษาอาการปวดฟันและโรคเหงือกอักเสบอีกด้วย
รูปแบบและขนาดวิธีใช้
- ใช้แก้ไอเป็นเลือด หลอดลมอักเสบ แก้อาเจียน แก้ตกเลือด ห้ามเลือดภายใน แก้ปวดมดลูก แก้อสุจิเคลื่อน โดยนำเบญกานี 6-15 กรัม มาบดเป็นผงชงกินกับน้ำร้อน
- ใช้แก้ท้องร่วง ท้องเสีย แก้บิดมูกเลือด ถ่ายเป็นเลือด ด้วยการใช้เบญกานี 35 กรัม นำมาบดให้เป็นผง แล้วทำเป็นยาลูกกลอนขนาดเท่าเม็ดถั่วเหลือง รับประทานครั้งละ 10 เม็ด วันละ 2-3 ครั้ง
- ใช้แก้อาการปวดฟัน โดยนำเบญกานี นำมาเผาไฟให้เกรียม แล้วบดเป็นผง ใช้ทาบริเวณที่ปวด
- ใช้รักษาปาก หรือ ลิ้นเป็นแผล โดยนำเบญกานี มาเผาไฟให้เกรียม แล้วบดเป็นผงใช้ทาบริเวณที่เป็นแผล
- ใช้เป็นยาสมานแผลสด ใช้ห้ามเลือดจากแผลสด โดยนำเบญกานี มาบดเป็นผงทาแล้วใช้ทาบริเวณที่เป็น
- ใช้รักษาบาดแผลจากโรคเบาหวาน โดยนำลูกเบญกานีเอามาฝนกับน้ำสะอาดให้เข้มข้นจากนั้นล้างแผลด้วยน้ำด่างทับทิม แล้วใช้น้ำยาที่ได้จากการฝนลูกเบญกานีมาทาบริเวณแผล โดยไม่ต้องเขี่ยเอาหนองออก เมื่อน้ำยาแห้ง น้ำยาเบญกานีจะรวมตัวกับหนองจับกันเป็นแผ่นแข็งหุ้มบาดแผล เหมือนเคลือบแผลด้วยยางไม้ จากนั้นจึงนำผ้าชุบน้ำเช็ดออก
ลักษณะทั่วไปของเบญกานี
เบญกานี มีลักษณะเป็นก้อนแข็งค่อนข้างกลมมีขนาดประมาณ 10 ถึง 25 มิลลิเมตร สีน้ำตาลเข้ม หรือ สีน้ำตาลอมเทา ด้านหนึ่งจะมีขั้วลักษณะคล้ายจุกขนาดเล็ก ผิวขรุขระเป็นมันเงา มีรูเข้าไปข้างในได้และมีรสชาติฝาด โดยมักจะพบเบญกานีติดกับลำต้น หรือ กิ่งของต้นก่อ (หรือ ต้นโอ๊ก) ชนิด Quercus infectoria ซึ่งจัดเป็นต้นไม้ขนาดเล็กสูง 1 ถึง 2 เมตร ลำต้นมีลักษณะเป็นพุ่ม โค้งงอ
ใบเบญกานี เป็นใบเดี่ยวกว้าง 3-4 เซนติเมตร ยาว 5-7 เซนติเมตร ใบเรียบขอบใบเป็นยักษ์ ผิวใบจะมองเห็นก้านใบชัดเจนและมีก้านใบสั้น
การขยายพันธุ์เบญกานี
ไม่มี
องค์ประกอบทางเคมี
มีรายงานผลการศึกษาวิจัยองค์ประกอบทางเคมีของเบญกานี ระบุว่าพบสารออกฤทธิ์ต่างๆ หลายชนิดดังนี้ gallotannin, Gallic acid, Tannic acid, syringic acid, β-sitosterol, Isocryptomerin, amentoflavone, hexamethyl ether, methyl betulate, methyl oleanate และ hexagalloyl glucose เป็นต้น
การศึกษาทางเภสัชวิทยาของเบญกานี
มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของเบญกานี ระบุว่ามีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาดังนี้
มีรายงานผลการศึกษาวิจัยฤทธิ์ต้านเชื้อ Methicillin - resistant Staphylococcus aureus (MRSA) ของเบญกานี พบว่า เบญกานีมีฤทธิ์ในการต้านเชื้อ MRSAได้โดยทำให้เซลล์แบคทีเรียมีลักษณะเป็น pseudomulticellular และผลของการเสริมฤทธิ์ร่วมกันของสารสกัดเบญกานี และยาปฏิชีวนะเพนิซิลลินที่อ่อนต่อเชื้อ MRSA ชี้ให้เห็นว่าสารสกัดจากเบญกานีอาจไปรบกวนการทำงานของเอนไซม์ staphylococcal autolysins และ b-lactamase โดยสารสกัดเบญกานี แสดงให้เห็นว่าสารแทนนิน ซึ่งเป็นสาระสำคัญในการออกฤทธิ์ในการยับยั้งเชื้อดื้อยา MRSA การต้านเชื้อแบคทีเรีย, การต้านเชื้อเชื้อราและการต้านเชื้อไวรัส ทำให้เกิดลักษณะของ pseudomulticellular ของแบคทีเรียในสารสกัดเอทานอลของเบญกานี ทำให้เกิดการรวมตัวของเซลล์ และตอบสนองรวมกันกับความไวของเพนนิซิลลินต่อ b-lactamase พบว่าสารสกัดเข้าไปรบกวนการสร้างผนังเซลล์ในระบบ autolysins ของ staphylococcal และ b-lactamase
จึงสรุปได้ว่าเบญกานี มีฤทธิ์ที่กว้างในการต้านแบคทีเรียที่ทำให้เกิดอาการดื้อยา Methicillinresistant Staphylococcus aureus โดยเบญกานีมีสาระสำคัญในการออกฤทธิ์ คือ แทนนินซึ่งมีกลไกในการทำลายเซลล์ของ Staphylococcus aureus และเบญกานียังมีฤทธิ์ในการต้านเชื้อ MRSA ได้โดยทำให้เซลล์แบคทีเรียมีลักษณะเป็น pseudomulticellular และ ผลของการเสริมฤทธิ์ร่วมกันของสารสกัดเบญกานีที่ใช่ร่วมกับยาปฏิชีวนะเพนิซิลลิน ทำให้เชื้อ MRSA มีฤทธิ์อ่อนลงและยังมีการทดสอบฤทธิ์ของเบญกานี ในการรักษาโรคท้องร่วง ท้องเสีย หรือ โรคบิดในตำรับยาไทยแผนโบราณ ที่มีต่อการเจริญของเชื้อ Blastocystis hominis ในหลอดทดลองโดยการสกัดด้วย n-Hexane, dichloromethane และ methanol พบว่าลูกเบญกานีส่วนที่สกัดด้วย methanol ที่ความเข้มข้น 2000 µg/ml จะให้ผลในการยับยั้งการเจริญของ B.hominis ในหลอดทดลองได้ โดยสามารถยับยั้งการเจริญของ B.hominis คิดเป็น 76% นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าเบญกานียังมีฤทธิ์ต้านเบาหวาน ต้านไวรัส และต้านการอักเสบได้อีกด้วย
การศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาของเบญกานี
ไม่มีข้อมูล
ข้อแนะนำและข้อควรระวัง
มีข้อควรระวังในการใช้เบญกานี เป็นสมุนไพร คือ ผู้ที่เป็นบิดถ่ายแล้วมีอาการแสบร้อน และผู้ที่มีอาการท้องผูก ห้ามรับประทานสมุนไพรชนิดนี้ เพราะอาจทำให้อาการแย่ลงได้
เอกสารอ้างอิง เบญกานี
- วิทยา บุญวรพัฒน์. เบญกานี, หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. หน้า 312.
- เสงี่ยม พงษ์บุญรอด, 2519.ไม้เทศเมืองไทย สรรพคุณของยาเทศและยาไทย.สำนักพิมพ์เกษมบรรณกิจ,กรุงเทพฯ.
- อรุณพร อิฐรัตน์,2532.สมุนไพรไทย-เทศ ภาควิชาเภสัชเวท, และเภสัชพฤกษาศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ หน้า 68.
- เบญกานี Nutgall หนังสือสมุนไพรสวนสิรีรุกชาติ. คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. หน้า 213.
- จินดาพร ภูริพัฒนาวงษ์. 2539. เภสัชเวทกับตำรายาแผนโบราณ. ภาควิชาเภสัชเวทและเภสัชพฤกษาศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์. หน้า 218-219.
- ณลิตา ไพบูลย์. ฤทธิ์ต้านเชื้อสแตปฟิโลคอคคคัสออเรียสชนิดดื้อยาเมทิซิลินของลูกเบญกานี. วารสารหมอยาวิจัยปีที่ 4 ฉบับที่ 1. มกราคม-มิถุนายน 2561. หน้า 21-32.
- นงเยาว์ สว่างเจริญ, กิจจา สว่างเจริญ. ผลของสารสกัดจากพืชสมุนไพรบางชนิดต่อเชื้อ Blastocystis hominis ในหลอดทดลอง. รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์. มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์. 2543. 30 หน้า.
- สุวรรณา เสมศรี, ธิดารัตน์ ขาวอ่อน, จิรารัตน์สุขเกษม, วิชาญ จันทร์วิทยานุชิต, หนึ่งฤทัย นิลศรี, สุรีย์พร หอมวิเศษวงศา. ฤทธิ์ของสารสกัดใบกะเม็ง ใบสาบเสือ ใบบัวบก และลูกเบญกานี ต่อระบบการแข็งตัวของเลือด. วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ. 2560;3(2):42-53.
- Chusri SPV. (2008). Detailed studies on Quercus infectoria Olivier (nutgalls) as an alternative treatment for methicillin-resistant Staphylococcus aureus infections. Journal of Applied Microbiology, 1(1), 1-8.
- Dar MS; Ikram M (1979). "Studies on Quercus infectoria; isolation of syringic acid and determination of its central depressive activity". Planta Medica. 35 (2). Planta Med.: 156-161.
- Shaikh I. MT, Shahid S. C., Mohd A. (2013). Oak galls: The medicinal balls. Journal of Pharmaceutical and Scientific Innovation, 1(1), 18-21.
- Janpen B. SP, Weerachai K. and et al. (2009). The study of prevalence of Staphylococcus aureus contamination in health personal’s mobile phone at Srinagarind Hospital. Srinagarind Medical Journal, 2(1), 17-22.
- Al-Zahrani SHM. (2412). Antibacterial activities of gallic acid and gallic acid methyl ester on methicillin-resistant Staphylococcus aureus. Journal of American Science, 8(1), 7-12
- Lim, T. K. (2012). "Quercus infectoria". Edible Medicinal and Non-Medicinal Plants. pp. 16-26.
- Siriwong N CE. (2009). Antibiotic resistance in Staphylococcus aureus and controlling. Songklanagarind medical journal, 2(1), 347-358
- Danuta K. H-GS, Gabriele B. and et al. (2004). Mersacidin eradicates methicillin-resistant Staphylococcus aureus (MRSA) in a mouse rhinitis model University of Bonn. Journal of Antimicrobial Chemotherapy, 1(1), 1-17.