รางจืด ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย
รางจืด งานวิจัยและสรรพคุณ 17ข้อ
ชื่อสมุนไพร รางจืด
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น กำลังช้างเผือก , ขอยชะนาง , รางเอ็น , เครือชาเขียว (ภาคกลาง) , รางจืด , เครือเข้าเย็น , หนามแน้ (ภาคเหนือ) , ดุเหว่า (ปัตตานี) , น้ำนอง (สระบุรี) , ทิดพุด (นครศรีธรรมราช) , คาย (ยะลา) , แอดแอ ,ย้ำแย้ (เพชรบูรณ์) จอลอดิเออ , ซั้งถะ ,พอหน่อเตอ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน)
ชื่อสามัญ Blue trumphet vine , Laurel clockvine
ชื่อวิทยาศาสตร์ Thumbergia laurifolia Lindl
วงศ์ Acanthaceae
ถิ่นกำเนิดรางจืด
รางจืดเป็นพืชเถาในเขตร้อนและเขตอบอุ่นของทวีปเอเชีย ได้แก่ ประเทศแถบอินเดีย อินโดจีน ศรีลังกา พม่า ไทย มาเลเซีย อินโนดีเซีย ฟิลิปปินส์ รวมถึงมณฑลกวางตุ้ง สาธารณรัฐประชาชนจีน และไตหวัน ในประเทศไทยพบมากตามป่าดงดิบหรือป่าดิบชื้นทั่วไป ในทุกภาคของประเทศ และเป็นพืชที่มักจะเจริญเติบโตได้เร็วมาก แต่ปัจจุบันนิยมนำมาปลูกตามบ้านเรือนทั่วไป เพราะมีการศึกษาวิจัยออกมาว่าสามารถขจัด/ล้างสารพิษในร่างกายได้
ประโยชน์และสรรพคุณรางจืด
- เป็นยาเขียวลดไข้
- ใช้ถอนพิษผิดสำแดง และพิษอื่นๆ
- ใช้แก้ร้อนใน กระหายน้ำ
- รักษาโรคหอบหืดเรื้อรัง
- แก้ผื่นคันจากอาการแพ้ต่างๆ
- ใช้แก้พิษเบื่อเมาเนื่องจากเห็ดพิษ สารหนู หรือยาฆ่าแมลง
- แก้ประจำเดือนไม่ปกติ
- แก้ปวดหู
- ใช้ตำพอก แก้ปวดบวม
- แก้พิษร้อนต่างๆ
- แก้เมาค้าง
- แก้อาการปวดหัวมึนหัวอันเนื่องมาจากพิษสุรา ถอนพิษสุรา พิษตกค้างในร่างกาย
- รักษาโรคอักเสบและปอดบวม
- แก้มะเร็ง
- ช่วยจับสารพิษในตับหรือล้างพิษในตับ
- เป็นยาพอกบาดแผล น้ำร้อนลวก ไฟไหม้
- แก้โรคเบาหวาน
ส่วนในทางการแพทย์แผนปัจจุบันได้มีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับสรรพคุณของรางจืดมานานแล้ว ซึ่งมีผลการศึกษาวิจัย ดังนี้
- พ.ศ. 2521 นักวิจัยจากคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล เป็นกลุ่มแรกที่ทดลองป้อนผงรากรางจืดให้หนูทดลองก่อนให้น้ำยาสตริกนินแต่พบว่าไม่ได้ผล หนูชักและตาย แต่ถ้าผสมกับน้ำยาสตริกนินก่อนป้อน พบว่าหนูทดลองไม่เป็นอะไร แสดงว่าผงรากรางจืดสามารถดูดซับสารพิษชนิดนี้ไว้
- พ.ศ. 2523 อาจารย์พาณี เตชะเสนและคณะ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ใช้น้ำคั้นใบรางจืดป้อนหนูทดลองที่กินยาฆ่าแมลง“โฟลิดอล”พบว่าแก้พิษได้ ลดอัตราการตายลงจาก 56% เหลือเพียง 5% เท่านั้น ในขณะที่วิธีการฉีดกลับไม่ได้ผล
- พ.ศ. 2551 สุชาสินี คงกระพันธ์ ใช้สารสกัดแห้งใบรางจืดป้อนหนูทดลองที่ได้รับยาฆ่าแมลงกลุ่มออร์แกนโนฟอสเฟตชื่อมาราไธออนพบว่าช่วยชีวิตได้ 30%
- พ.ศ. 2553 จิตบรรจง ตั้งปอง มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ พบว่าสารประกอบในใบรางจืดช่วยป้องกันการตายของเซลล์ประสาทของหนูทดลองที่ได้รับพิษจากสารตะกั่ว จึงสามารถป้องกันสูญเสียการเรียนรู้และความจำได้อย่างมีนัยสำคัญ
มีการวิจัยเรื่องใบรางจืดสามารถปกป้องตับ ซึ่งเป็นอวัยวะที่กำจัดสารพิษในร่างกาย ซึ่งเป็นกลไกหนึ่งที่ช่วยรักษาชีวิตของผู้ที่ได้รับสารพิษ พ.ศ. 2543 รายงานวิทยานิพนธ์ของมหาวิทยาลัยมหิดล ระบุว่าสารสกัดแห้งของน้ำใบรางจืดน่าจะมีผลลดความเป็นพิษของตับจากแอลกอฮอล์ได้ พ.ศ. 2548 พรเพ็ญ เปรมโยธิน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รายงานผลว่าสารสกัดน้ำรางจืดแสดงฤทธิ์ดังกล่าว ทั้งในหลอดทดลองและในหนูทดลอง แล้วยังพบว่า สารสกัดน้ำใบรางจืดมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วย นอกจากนี้ยังมีการใช้ประโยชน์จากรางจืดอีกเช่น ยอดอ่อน ดอกอ่อนสามารถใช้รับประทานเป็นผักได้ โดยจะใช้ลวก แกงกิน ก็ทำได้เหมือนกับผักพื้นบ้านทั่วๆ ไป นอกจากนี้เด็กๆ ตามชนบทยังนิยมกินน้ำหวานจากดอกรางจืดที่บ้านได้อีกด้วย โดยไม่ก่อให้เกิดอันตรายใด ๆ แต่อย่างไรก็ตาม การกินรางจืดในปริมาณติดต่อกันอย่างต่อเนื่อง อาจจะต้องคอยติดตามการเปลี่ยนแปลงของโลหิตวิทยาหรือเคมีคลินิกที่อาจเกิดขึ้นต่อไปด้วย
ชารางจืด ใบรางจืดสามารถนำมาหั่นเป็นฝอย ตากลมให้แห้งแล้วนำมาชงกับน้ำร้อนดื่มแทนชาได้ และยังมีกลิ่นหอมรวมถึงยังช่วยล้างพิษในร่างกายได้อีกด้วย ในปัจจุบันได้มีการนำสมุนไพรรางจืดมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ แคปซูลรางจืดหรือรางจืดแคปซูล เพื่อความสะดวกและง่ายต่อการใช้ประโยชน์ ดอกรางจืด นำมาบดให้ละเอียดผสมกับน้ำ แล้วกรองแยกกาก ก่อนนำน้ำที่ได้ใช้ทำของหวาน ใช้หุงข้าว หรือใช้ทำสีผสมอาหารอื่นๆ ซึ่งจะให้สีม่วงอ่อนหรือสีคราม หรือสีอื่นตามชนิดสีของดอก
คนโบราณมีความเชื่อว่า การดื่มน้ำต้มจากรางจืดสามารถช่วยแก้คุณไสย ยาสั่งหรือมนต์ดำที่ผู้อื่นทำแก่ตนได้ ใบรางจืดตากแห้งแล้ว นำมาบดให้ละเอียด ใช้ผสมในอาหารสัตว์ อาทิ อาหารหมู อาหารไก่ เป็นต้น ช่วยเสริมภูมิต้านทานต่อโรค และช่วยรักษาให้สัตว์มีอัตราการรอดสูงขึ้นหลังจากที่ได้รับเชื้อโรค
รูปแบบและขนาดวิธีใช้รางจืด
ในการรักษาพิษ ใช้ใบสด 10 -12 ใบ นำมาตำจนละเอียดผสมกับน้ำซาวข้าวประมาณครึ่งแก้ว ส่วนการใช้ประโยชน์จากรากรางจืดในการรักษาพิษ ใช้ราก 1-20 องคุลี ให้นำมาฝนหรือนำมาตำเข้ากับน้ำซาวข้าว แล้วนำมาดื่มให้หมดทันทีที่มีอาการ และอาจจะต้องใช้ซ้ำอีกภายในครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมงเช่นเดียวกับการใช้ใบรางจืด หรือใช้ใบรางจืดทำเป็นชาแล้วรับประทานครั้งละ 2-3 กรัม โดยชงกันน้ำร้อน 100-200 ซีซี วันละ 3 ครั้งก่อนอาหารหรือเมื่อมีอาการ รักษาโรคเบาหวาน ให้ใช้ใบรางจืดประมาณ 58 ใบ มาโขลกให้ละเอียดแล้วผสมกับน้ำซาวข้าวรับประทานครั้งละ 1 แก้ว 3 เวลา แก้อาการแพ้ ผื่นคัน ลดการเกิดโรคผิวหนัง โดยใช้ใบหรือเถาสด 10-15 ใบหรือเถาขนาดยาว 10 ซม. ต้มในน้ำประมาณ 10 ลิตร อาบทุกวัน ประมาณ 5-7 วัน แก้ปวดเมื่อย โดยนำใบ 10-20 ใบ หรือ ใช้เถาตัดเป็นชิ้นๆยาว 1-2 นิ้ว ก่อนนำไปแช่สุราดื่มทุกส่วนนำมาตำหรือบดผสมน้ำ ใช้สำหรับพอกแผล ระงับอาการปวด ลดอาการบวม และกำจัดพิษจากสัตว์ต่อย อาทิ งูกัด แมงป่อง ตะขาบ แมงดาทะเล ทุกส่วนออกฤทธิ์ต้านการอักเสบ เพิ่มประสิทธิภาพการรักษาแผล เช่น รักษาไวรัสเริม ด้วยการบดผสมน้ำเล็กน้อย ก่อนนำไปประคบบริเวณรอยแผลเริม ทุกส่วนนำมาบดผสมน้ำเล็กน้อย ก่อนนำมาประคบหรือทาแผลสด แผลเป็นหนอง ซึ่งจะช่วยให้แผลแห้งเร็ว ลดการติดเชื้อ ลดอาการบวมของแผล ทุกส่วนนำมาต้มน้ำดื่มหรือคั้นน้ำดื่มสำหรับใช้เป็นยาแก้ร้อนใน และช่วยบรรเทาอาการกระหายน้ำ น้ำต้มจากทุกส่วน นำมาดื่มอุ่นๆ สำหรับรักษา และบรรเทาอาการท้องเสียหรืออาหารเป็นพิษ
ลักษณะทั่วไปต้นรางจืด
เป็นไม้เถาสามารถเลื้อยไปตามพื้นดินหรือพาดพันขึ้นคลุมต้นไม้ใหญ่ๆ ได้ทั้งต้น เถามีลักษณะกลม เช่น ข้อปล้อง สีเขียว เป็นมัน เมื่อเถาแก่เป็นสีน้ำตาลมากขึ้น และยาวได้มากกว่า 10 เมตร ใบเป็นใบเดี่ยวสีเขียวเข้มออกเป็นคู่ตรงข้ามตรงข้อของลำต้น ใบมีลักษณะคล้ายใบย่านางรูปขอบขนานหรือรูปไข่ กว้าง 4-7 เซนติเมตร (ซม.) ยาว 8-15 ซม. ปลายเรียวแหลม โคนเว้าหรือหยักรูปหัวใจ ขอบใบเรียบหรือหยักตื้น เส้นใบมี 5 เส้น ออกฐานใบเดียวกัน ดอก ออกตามซอกใบใกล้ปลายยอด ช่อละ 3-4 ดอก กลีบดอกแผ่ออกเป็นรูปแตร ปลายแยกเป็น 5 แฉก โคนดอกเป็นหลอดกรวยยาวราว 1 เซนติเมตร มักมีน้ำหวานบรรจุอยู่ในหลอด ดอกมีสีม่วงแกมน้ำเงิน ผลเป็นรูปทรงกลม ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางยาว 1 เซนติเมตร เมื่อผลแห้งแล้ว จะแตก 2 ซีก จากจะงอยส่วนบน มักมีดอกในฤดูหนาว (เดือนพฤศจิกายน-กุมพาพันธ์) ดอกที่โรยแล้วบางดอกอาจติดผล เมื่อแก่เปลือก ผลเป็นสีน้ำตาล แตกออกเป็น 2 ซีก เมล็ดมีสีน้ำตาลมีปุ่มเล็กๆ คล้ายหนามอยู่บนเปลือกเมล็ด และสามารถนำไปเพาะขยายพันธุ์ต่อไปได้
การขยายพันธุ์รางจืด
สามารถขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ดหรือปักชำ สำหรับการปักชำจะใช้กิ่งพันธุ์ที่มีอายุตั้งแต่ 1 ปี หรือกิ่งพันธุ์แก่ที่สีน้ำตาลอมเขียว ด้วยการตัดกิ่งยาว 20-30 ซม. โดยให้มีตากิ่งหรือข้อกิ่งติดมาอย่างน้อย 1-2 ตา แล้วค่อยนำปักชำในทรายหรือแกลบที่ไม่มีดินแล้วรดน้ำให้ชุ่มจนรากงอกแล้วจึงนำไปลงถุงเพาะชำเพื่อลงปลูกต่อไป หรือปักชำลงดินบริเวณที่ต้องการปลูก และรดน้ำสม่ำเสมอ 1-2 ครั้ง/วัน จนกิ่งเริ่มแทงยอดอ่อนสำหรับการปลูกจากการเพาะเมล็ดนั้น ถือเป็นวิธีที่สามารถได้ต้นที่สมบูรณ์ที่สุด เพราะจะได้ต้นที่สามารถแตกกิ่งแขนงได้มาก กิ่งแขนงยาวได้หลายเมตร และลำต้นมีอายุนานมากกว่าการปลูกจากต้นเพาะชำ
แต่การขยายพันธุ์รางจืดส่วนใหญ่มักจะนิยมใช้วิธีการปักชำมากกว่า เพราะโอกาสในการงอกมีมากกว่า และใช้เวลาน้อยกว่าการเพาะเมล็ด สำหรับวิธีการปลูกรางจืดนั้นมีดังนี้ นำเอากิ่งที่ได้จากการปักชำ หรือต้นกล้าที่ได้จากการเพาะเมล็ด มาปลูกลงดินโดยให้ขุดหลุมปลูกมีความกว้างลึกประมาณ 1x1 ฟุต แล้วรองก้นหลุมด้วยปุ๋ยหมักประมาณ 1 ใน 4 ของหลุม กลบดินเล็กน้อย วางกิ่งปลูกหรือต้นกล้าลงกลางหลุมแล้วกลบขอบดินให้แน่น รดน้ำตามให้ชุ่ม ควรปลูกริมรั้วหรือกำแพงเพื่อให้เถารางจืดสามารถยึดเกาะและเลื้อยพาดไปได้ หรือไม่ก็ทำค้างให้เถารางจืดเกาะเลื้อย รางจืดเป็นไม้ที่สามารถเจริญได้ดีในดินเกือบทุกชนิด และเป็นไม้ที่ต้องการแสงแดดปานกลาง คือ ไม่ต้องการแสงแดดที่จัดมากเกินไป และมีความต้องการน้ำปานกลาง ในระยะแรกปลูกต้องรดน้ำให้ดินมีความชื้นอยู่ตลอดเวลา เมื่อต้นโตแล้วให้รดน้ำวันละ 1 ครั้ง ในตอนเช้า ส่วนการให้ปุ๋ยนั้นใช้ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก ใส่บริเวณโคนต้นปีละ 2 ครั้ง โดยการพรวนดินโคนต้นให้ร่วนเสียก่อนจึงใส่ปุ๋ย แล้วรดน้ำตาม
การเก็บใบรางจืด สำหรับใบรางจืดที่จะเก็บมาใช้ทางยา ควรเก็บจากต้นที่มีอายุตั้งแต่ 1 ปี ขึ้นไป และให้ทยอยเก็บจากใบล่างบริเวณโคนกิ่งก่อน และค่อยเก็บไปจนถึงกลางกิ่ง ไม่ควรเก็บให้ถึงบริเวณปลายกิ่งหลังจากเก็บมาแล้ว หากไม่ใช้ทันที ให้นำใบมาล้างน้ำให้สะอาด ก่อนนำไปตากแดด 5-7 แดด เมื่อแห้งแล้วให้เก็บใสถุงหรือกล่องไว้ ระวังอย่าให้โดนน้ำ เพราะอาจเกิดเชื้อราได้
องค์ประกอบทางเคมี
ฟลาโวนอยด์, ฟีนอลิก, apigenin, cosmosin, delphinidin-3,5-di-O-beta-D-glucoside, chlorogenic acid, caffeic acid, lutein– Chlorophyll a Chlorophyll b Pheophorbide a Pheophytin a
รูปภาพองค์ประกอบทางเคมีของรางจืด
การศึกษาทางเภสัชวิทยา
มีรายงานวิจัยในสัตว์ทดลองพบว่า สารสกัดน้ำจากใบรางจืด ขนาด 2 และ 3 ซีซี/น้ำหนักตัว 100 กรัม และขนาด 3.5 ก./กก. มีผลลดพิษจากยาฆ่าแมลงในกลุ่มออร์กาโนฟอสเฟตในหนูได้ โดยทำให้อัตราการตายลดลง และยังมีมีงานวิจัยทางคลินิกที่เกี่ยวข้องกับการขับยาฆ่าแมลงออกจากร่างกาย พบว่ารางจืดจะถอนพิษได้ดี โดยเฉพาะพิษที่เกิดจากยาฆ่าแมลง ”โฟลิดอล” และพิษออกฤทธิ์เกี่ยวข้องกับการทำงานของ Cholinergic system โดยการศึกษาในเกษตรกรกลุ่มเสี่ยงและตรวจพบระดับสารฆ่าแมลงในร่างกาย จำนวน 49 คน พบว่าเมื่อให้อาสาสมัครรับประทานชารางจืดขนาด 8 ก./วันหรือยาหลอก นาน 21 วัน พบว่าปริมาณยาฆ่าแมลงในเลือดของอาสามัครที่ได้รับรางจืดลดลงอย่างมีนัยสำคัญในวันที่ 7, 14 และ 21 ของการทดลอง และจากการศึกษาของดวงรัตน์และคณะ พบว่าโดยรางจืดมีผลเพิ่มปริมาณ Cholinesterase ในเลือดของเกษตรกรที่ได้รับยาฆ่าแมลง
ภาควิชาสรีรวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวทิยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ จึงได้ศึกษาฤทธิ์ของสารสกัดรางจืดต่อเซลล์สมอง พบว่ารางจืดมีฤทธิ์ต่อระบบประสาทคล้ายกับสารเสพติดแอมเฟทามีน และโคเคน โดยทั่วไปเพิ่มการหลั่งโดพามีน ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่หลั่งมากในขณะที่ผู้ป่วยได้รับสารแอมเฟทามีน รวมทั้งไปเพิ่ม activity ของเซลล์ประสาทในสมองส่วน nucleus accumbens , globus pallidus,amygdala,frontal cortex ,caudate putamen and hippocampus ที่เกี่ยวข้องกับ reward and locomotor behaviour ทำให้คาดว่าในผู้ป่วย ที่เข้ารับการรักษา/บำบัดยาเสพติด ที่ได้รับการรักษาด้วยสารสกัดรางจืด อาจเกิดความพิงพอใจเช่นเดียวกับการรับยาเสพติด หากนำไปใช้ในการรักษาผู้ป่วยจะทำให้ผู้ป่วยไม่ต้องทุรนทรายมาก จึงอาจเป็นสาเหตุหนึ่งทีการรักษาด้วยสารสกัดสมุนไพรได้ผล
คณะเภสัชศาตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ศึกษาวิจัยฤทธิ์ของรางจืดในการต้านพิษแอลกอฮอล์ต่อตับ พบว่าสารสกัดด้วยน้ำของรางจืดช่วย ป้องกันการตายของเซลล์ตับจากพิษของแอลกอฮอล์ ทั้งในหลอดทดลองและในหนูแรตทีได้รับแอลกอฮอล์ โดยทำให้ค่า AST,ALT ในพลาสม่าและไตรกลีเซอร์ไรด์ในตับลดลง และลดการเปลี่ยนแปลงสภาพทางจุลพยาธิวิทยาของตับเมื่อเปรียบเทียบกับหนูที่ได้รับเเอลกอฮอล์อย่างเดียว
เนื่องจากสารสกัดด้วยน้ำของรางจืดช่วยลดการเกิด heppatic lipid peroxidation ลดระดับแอลกอฮอล์ในเลือด และเพิ่มระดับเอนไซม์ alcohol dehydrogenase และ aldehyde dehydrogenase
ส่วนมหาวิทยาลัยขอนแก่นได้ศึกษาฤทธิ์ของรางจืดต่ออาการขาดเหล้า พบว่าสารสกัดรางจืดให้ผลลดภาวะซึมเศร้าและทำให้พฤติกรรมที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของหนูเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น แต่ไม่มีผลลดความวิตกกังวล โดยสารสกัดรางจืดช่วยลดการถูกทำลายเซลล์ประสาทของหนูเนื่องจากขาดเหล้าในสมองส่วน messolimbic dopaminergic system โดยเฉพาะที่บริเวณ nucleus accumbens และ ventral tegmental area ในหนูเบาหวานที่ได้รับน้ำต้มใบรางจืดทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ส่วนน้ำคั้นใบรางจืดสดในขนาด ๕๐ มก./มล.ที่ให้หนูเบาหวานดื่มแทนน้ำนาน ๑๒ วัน ไม่มีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด
นอกจากนี้ ยังมีการทดลองพบว่าการให้สารสกัดด้วยน้ำของใบรางจืดมีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด และทำให้บีต้าเซลล์ของตับอ่อนฟื้นฟูขึ้นบ้างแม้จะไม่สมบูรณ์ ในเรื่องของฤทธิ์ลดความดันนั้นพบว่าสกัดด้วยน้ำของใบรางจืดแห้งมีผลทำให้ความดันโลหิตของหนูแรตลดลง โดยกลไกการออกฤทธิ์ส่วนหนึ่งอาจผ่าน Cholinergic receptor และทำให้หลอดเลือดแดงคลายตัว
การใช้สมุนไพรในผู้ป่วยโรคเบาหวานและความดันนี้พึงระลึกว่าต้องมีการรักษาร่วมไปกับแผนปัจจุบันและมีการวัดระดับน้ำตาลและระดับความดันอย่างใกล้ชิด เนื่องจากการศึกษายังอยู่ในขั้นตอนของสัตว์ทดลองเท่านั้น รวมทั้งต้องระมัดระวังการเกิดการเสริมฤทธิ์กันของตัวยาดังกล่าว
มีการศึกษาว่ารางจืดมีฤทธิ์ต้านการอับเสบสูงกว่ามังคุดประมาณ 2 เท่า(ทดสอบด้วยวิธี Carrageenan induced paw edema) ในหนูถีบจักรและยังมีความปลอดภัยสูงกว่าอีกด้วย นอกจากนั้นยังพบว่า สารสกัดรางจืดในรูปแบบของครีมสามารถลดการอักเสบได้ดีเท่ากับสตีรอยด์ครีม
ฤทธิ์ในการต้านมะเร็ง มีการศึกษาฤทธิ์ต้านการก่อกลายพันธุ์ กล่าวคือสารใดๆ มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์มีศักยภาพสูงสามารถก่อมะเร็งได้ แต่รางจืดมีฤทธิ์ต้านไม่ให้สารนั้นออกฤทธิ์ มีการศึกษาโดยให้หนูกินสารสกัดของกวาวเครือซึ่งกวาวเครือจะไปมีฤทธิ์กระตุ้นการแบ่งตัวและการสร้างนิวเคลียสของเม็ดเลือดแดง กล่าวคือนิวเคลียสของเม็ดเลือดแดงจะเป็นก้อน ใหญ่ขึ้น และมีการแบ่งตัว นั่นคือกวาวเครือขาวไปทำให้การเกิด micronuclei ของเม็ดเลือดแดงเพิ่มอย่างมีนัยสำคัญ แต่ถ้าให้สัตว์ทดลองกินรางจืดร่วมด้วย พบว่าสามารถลดการเกิด micronuclei ได้ ซึ่งทั้งรางจืดแบบสดและแบบแห้งสามารถใช้ได้ผลเช่นกัน นับเป็นข้อดีอีกข้อหนึ่งของรางจืด โดยพบว่าสารออกฤทธิ์อาจเป็นกรดฟีนอลิก ได้แก่ caffeic acid และ apigenin และสารกลุ่มคลอโรฟิลล์ ได้แก่ chlorophyll a, chlorophyll b, pheophorbide a และ pheophytin a ซึ่งสารเหล่านี้มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงมาก
สารสกัดน้ำ เอทานอล และอะซิโทน มีฤทธิ์ต้านการก่อกลายพันธุ์ โดยยับยั้งการเกิดมะเร็ง เนื่องจากสาร 2-aminoanthracene ได้ร้อยละ 87 เมื่อวิเคราะห์ด้วยแบคทีเรีย Salmonella typhimurium TA 98 และสามารถเพิ่มการทำงานของเอนไซม์ควิโนนรีดักเทส ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ใช้ในการกำจัดเซลล์มะเร็งระยะเริ่มต้น ได้ตั้งแต่ 1.35-2.8 เท่า อีกทั้งยังมีรายงานการรักษาผู้ป่วยพิษแมงดาทะเล เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2522 โดยมีรายงานว่ามี ผู้ป่วย 4 ราย กินยำไข่แมงดาทะเล อาการขึ้นกับปริมาณที่ได้รับ ทุกรายมีอาการชารอบปาก และคลื่นไส้อาเจียน อาการชาจะลามไปกล้ามเนื้อมัดต่างๆ ที่เป็นอันตรายคือทำให้หายใจไม่ได้ ผู้ป่วย 2 รายหมดสติ ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ระยะที่เริ่มแสดงอาการตั้งแต่ 40 นาที จนถึง 4 ชั่วโมง หลังรับประทาน เนื่องจากพิษของแมงดาทะเล คือเทโทรโดทอกซิน (Tetrodotoxin) ไม่มียาแก้พิษต้องรักษาตามอาการ หลังจากได้น้ำสมุนไพรรางจืด 50 มล. ทางหลอดสวนจมูก-กระเพาะอาหาร ผู้ป่วยเริ่มรู้สึกตัว และอาการดีขึ้นตามลำดับ ภายหลังจากได้รับน้ำสมุนไพร 40 นาที ผู้ป่วยอีกรายได้รับการกรอกน้ำรางจืดเช่นกัน ในขนาด 50 มล. ทุก 1 ชม. 5 ครั้ง ภายหลังจากได้รับน้ำสมุนไพร 5 ชม. ผู้ป่วยเริ่มรู้สึกตัว และอาการดีขึ้นตามลำดับ
การศึกษาทางพิษวิทยา
การทดสอบความเป็นพิษเฉียบพลันที่ป้อนหนูทดลองครั้งเดียว ทั้งขนาดปกติและขนาดสูง ไม่พบความผิดปกติใดๆ และป้อนติดต่อกัน 28 วัน ขนาด 500 มก.ต่อน้ำหนักตัว 1 กก. ไม่พบอาการผิดปกติเช่นกัน แต่อาจทำให้น้ำหนัก ตับ ไต สูงกว่ากลุ่มควบคุม ค่าชีวเคมีที่เกี่ยวกับไตสูงขึ้น และ AST สูงขึ้น
การศึกษาพิษเรื้อรังของสารสกัดน้ำจากใบ โดยป้อนหนูแรทขนาด 20 200 1,000 2,000 มก./กก./วัน หรือคิดเป็น 1, 10, 50 และ 100 เท่า ของขนาดที่ใช้ในคนเป็นเวลา 6 เดือน พบว่าไม่มีผลต่อน้ำหนักตัว การกินอาหาร พฤติกรรม และสุขภาพทั่วไปของหนู อวัยวะภายในทั้งระดับมหพยาธิวิทยาและจุลพยาธิยังคงปกติ และไม่ทำให้เกิดพิษสะสม ไม่ทำให้หนูตาย มีการศึกษาความเป็นพิษของรางจืดต่อการกลายพันธุ์ของแบคทีเรีย พบว่า สารสกัดจากรางจืดไม่มีผลทำให้แบคทีเรียกลายพันธุ์แต่อย่างใด อีกทั้งยังพบว่า สารสกัดจากรางจืดสามารถต้านการกลายพันธุ์ได้ด้วย
ข้อแนะนำและข้อควรระวัง
- การศึกษาระบุว่า รากของรางจืดนั้นจะมีสรรพคุณ ทางยามากกว่าที่ใบถึง 4-7 เท่า
- ควรใช้อย่างระมัดระวังและไม่ควรใช้ติดกันเป็นเวลานานเกิน 30 วัน
- ควรระวังในการใช้ในผู้ป่วยเบาหวาน เพราะอาจทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ
- ไม่ควรใช้ร่วมกับยาชนิดอื่นเป็นระยะเวลานานเนื่องจากอาจขับสารเคมี หรือตัวยาในร่างกายออก โดยเฉพาะผู้ป่วยที่ต้องใช้ยารักษาอย่างต่อเนื่อง
- รางจืดอาจให้ผลข้างเคียง สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคหอบหืดได้โดยเมื่อเกิดอาการแพ้รางจืดก็อาจจะมีผลต่อระบบทางเดินหายใจได้ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลว่ามีระดับอาการแพ้มากน้อยแค่ไหน ถ้าหากมีอาการแพ้ไม่มากก็อาจจะเป็นแค่ผื่นคันขึ้นตามผิวหนัง
เอกสารอ้างอิง
- ปัญญา อิทธิธรรม และคณะ 1999 การใช้สมุนไพรรางจืดขับสารฆ่าแมลงในร่างกายของเกษตรกรกลุ่มเสี่ยงในตำบลเมืองเดช อำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี
- วิสาตรี คงเจริญสุนทร และปิยรัตน์ พิมพ์ สวัสดิ์,2552. ฤทธิ์ยับยั้งแบคทีเรียกลุ่มแกรมลบฉวยโอกาสบางสายพันธุ์ของสารสกัดเมทานอลจากรางจืด. วารสารวิทยาศาสตร์บูรพา.
- ภกญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร.รางจืดราชาของยาแก้พิษ.คอลัมน์.เรื่องเด่นจากปก.นิตยสารหมอชาวบ้านเล่มที่385.มกราคม.2554
- รางจืด.ฐานข้อมูลเครื่องยาคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี (ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก http://www.thicrudedrug.com/main.php.?action=viewpaye&pid=115
- รศ.พร้อมจิต ศรลัมพ์.รางจืด สมุนไพรแก้พิษและล้างพิษ.บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน.ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.
- รางจืดสมุนไพรล้างพิษ.คู่มือสมุนไพรล้างพิษสำหรับประชาชน.สถาบันวิจัยการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข.สำนักพิมพ์คณะรัฐมนตรีและราชกิจจานุเบกษา.พิมพ์ครั้งที่2.มีนาคม 2554.20หน้า
- รางจืดสรรพคุณรางจืด สมุนไพรลดและกำจัดสารพิษ.พืชเกษตรดอทคอมเว็บเพื่อพืชเกษตรไทย(ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก http://peuchkaset.com
- Toxicity รางจืดและข่อยดำ.กระดานถาม-ตอบ.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร.คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
- ดวงรัตน์ เชี่ยวชาญวิทย์,กำไร กฤตศิลป์,เชิดพงษ์ น้อยภู่, 2545. การใช้สมุนไพรรางจืดเพิ่มปริมาณเอนไซม์โคลีนเอสเทอเรสในซีรั่มของเกษตรกรที่พบพิษสารกำจัดศัตรูพืชในร่างกาย)
- ข้อมูลสรรพคุณของรางจืดในการข้อยาฆ่าแมลงออกจากร่างกายเกษตรกร.กระดานถาม-ตอบ.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
- กนกวรรณ สุขมาก;นงนุช คุ้มทอง;สมยศ เหลืองศรีสกุล;อภันตรี โอชะกุล เตือนใจ ทองสุข , 2547 .การศึกษาประสิทธิผลของสมุนไพรรางจืดในการป้องกันการสะสมของสารเคมีกำจัดแมลงในกระแสโลหิตของเกษตรกร ตำบลไผ่ทำโพ อำเภอโพธิ์ประทับช้าง จังหวัดพิจิตร.