โกฐชฎามังสี ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย

โกฐชฎามังสี งานวิจัยและสรรพคุณ 30ข้อ
 

ชื่อสมุนไพร  โกฐชฎามังสี
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น  โกฐชฎามังสี, โกฐจุฬารส (ภาคกลาง,ทั่วไป)
ชื่อวิทยาศาสตร์  Nardostachys jatamansi (D.Don) DC.
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์   Nardostachys grandiflora DC., Nardostachys chinensis Batalin.  Patrinia jatamansi D.Don, Valeriana  jatamansi D.Don
ชื่อสามัญ  Spikenard , Jatamansi.
วงศ์  CAPRIFOLIACEAE

 

ถิ่นกำเนิดโกฐชฎามังสี

โกฐชฎามังสีมีถิ่นกำเนิดอยู่ในบริเวณเทือกเขาหิมาลัย โดยคาดกันว่าน่าจะอยู่ในบริเวณประเทศอินเดียและภูฎานสำหรับในประเทศไทยไม่สามารถทำการเพาะปลูกได้ส่วนมาก การใช้ประโยชน์จากโกฐชฎามังสีในการนำมาทำตำรายาต่างๆ จะเป็นการนำเข้าจากอินเดียและประเทศในแถบเทือกเขาหิมาลัย


ประโยชน์และสรรพคุณโกฐชฎามังสี 

  • แก้อาการวิงเวียน หน้ามืด ตาลาย ใจสั่น
  • แก้คลื่นเหียน อาเจียน
  • แก้ลมจุกแน่นในท้อง ช่วยขับลม
  • แก้ไข้จับ ไข้เรื้อรัง ไข้ในกองธาตุอติสาร
  • ช่วยขับเสมหะ
  • แก้หืดไอ
  • แก้โรคปอด
  • แก้โรคในปากคอ
  • แก้ลมในกองธาตุ
  • ช่วยชูกำลัง
  • ช่วยบำรุงโลหิต
  • แก้หอบ
  • แก้สะอึก
  • ช่วยบำรุงกระดูก
  • แก้ไส้ด้วนไส้ลาม
  • ใช้เป็นยากระจายหนองที่เป็นก้อนอยู่ในร่างกาย
  • ช่วยขับพยาธิ
  • ช่วยขับโลหิตระดูเน่าเสีย (ประจำเดือน)
  • แก้ดีพิการ
  • ช่วยย่อยอาหาร
  • แก้พิษทั้งปวง
  • แก้แผลเนื้อร้าย
  • แก้รัตตะปิตตะโรค
  • ช่วยลดการเกร็ง
  • ใช้บำบัดโรคลมบ้าหมู 
  • ใช้บำบัดโรคฮิสทีเรีย
  • ใช้บำบัดโรคที่มีอาการชักทุกชนิด
  • ใช้บำบัดโรคตา
  • แก้แผลพุพองปวด บวมที่ผิวหนัง 
  • ใช้บำบัดโรคต่างๆ ในศีรษะ


           โกฐชฎามังสีถูกนำมาใช้ประโยชน์มาตั้งแต่อดีตแล้ว ส่วนมากจะถูกนำมาใช้ในการทำเป็นยาสมุนไพรหรือนำมาเป็นส่วนผสมของตำรับต่างๆ เช่น  ตำรับ”ยาหอมเทพจิตร” และตำรับ ”ยาหอมนวโกฐ” ซึ่งมีส่วนประกอบของโกฐชฎามังสีอยู่ในพิกัดโกฐทั้ง 9 เช่น โกฐพุงปลา โกฐชฎามังสี  โกฐก้านพร้าว ฯลฯ ร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่นๆ ในตำรับ โดยยาหอมทั้ง 2 ตำรับ และยังได้มีการนำมาใช้ในเครื่องยาไทย ที่เรียกว่า “พิกัดโกฐ”  โดยโกฐชฎามังสีจัดอยู่ใน โกฐทั้งเก้า(เนาวโกฐ)


รูปแบบและขนาดวิธีใช้โกฐชฎามังสี 

ขนาดการใช้โกฐชฎามังสีในรูปแบบยาผงให้ใช้ในขนาด 2-3 กรัม ต่อวัน ส่วนในการใช้ในตำรับยาอื่นๆให้ใช้ในขนาดตามที่ตำรับยานั้นๆระบุไว้

โกฐชฎามังสี


ลักษณะทั่วไปโกฐชฎามังสี 

โกฐชฎามังสีจัดเป็นพืชล้มลุก ลำต้น มีลักษณะเป็นเหง้าหรือหัวใต้ดิน มีรากย่อยปกคลุมเป็นเส้นหนาแน่นโดยรอบ รากมีรสขม ให้กลิ่นหอมแรงเฉพาะตัว เหง้ามีความแข็งแต่เปราะง่ายหักและมีก้านใบติดอยู่เป็นจำนวนมาก ขนาดของลำต้นมีความสูงประมาณ 5-50 ซม. และมีขนขึ้นปกคลุมอยู่ทั่ว

           ใบ มีลักษณะเป็นรูปไข่กลับ หรือรูปขอบขนาน แผ่นใบมีสีเขียวเข้ม ขอบใบเรียบ ออกเป็นใบเดี่ยวเรียงตรงข้ามกัน มีขนสีขาวปกคลุมอยู่ทั่วใบ

           ดอก ออกเป็นช่อกระจุกที่ปลายยอด ในแต่ละช่อจะประกอบไปด้วยดอกย่อยสีม่วงอมชมพูจำนวนมากมาย มีก้านช่อดอกยาวประมาณ 10-20 ซม. บริเวณโคนกลีบดอกจะเชื่อมติดกันเป็นหลอด ส่วนปลายแยกออกจากกันประมาณ 4-5 กลีบ บริเวณใบประดับมีขนปกคลุมอยู่ทั่ว

           ผล เป็นผลลักษณะยาวที่ปกคลุมไปด้วยขนสีขาว


การขยายพันธุ์โกฐชฎามังสี

โกฐชฎามังสี สามารถขยายพันธุ์ได้โดยการเพาะเมล็ด และการใช้เหง้าปลูก แต่ต้องปลูกในสภาพอากาศที่เหมาะสมที่ใกล้เคียงกับบริเวณเทือกเขาหิมาลัยที่เป็นถิ่นกำเนิดของพืชชนิดนี้ ส่วนวิธีการปลูกนั้นก็สามารถทำได้เช่นเดียวกันกับการปลูกพืชชนิดอื่นๆที่ใช้เหง้าและใช้วิธีการเพาะเมล็ด ในการขยายพันธุ์


องค์ประกอบทางเคมีโกฐชฎามังสี

องค์ประกอบทางเคมี ในน้ำมันหอมระเหยของโกฐชฎามังสี ได้แก่  acetophynone , Camphor , Menthol , ƿ-anethol , Carvacrol และ Eugenol นอกจากนี้ในเหง้ายังพบสารต่างๆ ดังนี้ angelicin (แอนเจลิซิน) jatamansic  acid (กรมจาทาแมนซิก)  jatamansin (จาทาแมนซิน)  jatamansinol  (จาทาแมนซินอล)  jatamansone (จาทาแมนโซน)   jatamol A  (จาทามอลเอ) jatamol B (จาทามอลบี)  patchouli  alcohol  (พัตชูลิอัลกอฮอล์)


รูปภาพองค์ประกอบทางเคมีของโกฐชฎามังสี

   โครงสร้างโกฐชฎาบังสี  

ที่มา : wikipedia

การศึกษาทางเภสัชวิทยา

มีการศึกษาทางเภสัชวิทยา พบว่าโกฐชฎามังสีมีฤทธิ์ต่างๆ ดังนี้ ลดคอเลสเตอรอลในเลือด  ต้านการบีบตัวของกล้ามเนื้อเรียบ ลดความดันโลหิต เสริมฤทธิ์ยานอนหลับ  กดประสาทส่วนกลาง เพิ่มการเรียนรู้และความจำ คลายมดลูก ทำให้หัวใจเต้นช้า  ต้านการเต้นไม่เป็นจังหวะของหัวใจ ฆ่าอสุจิ  กล่อมประสาท ต้านหืด  ต้านแบคทีเรีย  ลดน้ำตาลในเลือด ลดปริมาณกรดยูริก ต้านการชัก ลดไข้ ต้านการเกิดแผล และมีรายงานการศึกษาทางคลินิกพบว่าสารจาทาแมนโซนบี มีฤทธิ์ลดความดันโลหิตสูง ชนิดปานกลางถึงรุนแรง


การศึกษาทางพิษวิทยา

สำหรับการทดสอบความเป็นพิษพบว่า เมื่อฉีดสารสกัดรากด้วยแอลกอฮอล์-น้ำ (1 : 1)  เข้าช่องท้องหนูถีบจักร  ขนาดที่ทำให้สัตว์ทดลองตายครึ่งหนึ่ง (LD50) คือ  มากกว่า 1 ก/กก  สำหรับการฉีดน้ำมันหอมระเหยเข้าช่องท้อง พบว่าขนาดที่ทำให้สุนัขและหนูถีบจักรตายครึ่งหนึ่ง (LD50)  คือ 93 มก./กก.  และ 80.3 มก./กก.  ตามลำดับ  ส่วนในหนูตะเภาและหนูขาวคือ 2 มล/กก  และ 1.5 มล/กก  ตามลำดับ  และเมื่อใช้สารสกัดด้วยแอลกอฮอล์ 95% ฉีดเข้าช่องท้องหนูถีบจักรและป้อนหนูขาว พบว่าขนาดที่ทำให้สัตว์ทดลองตายครึ่งหนึ่ง (LD50) คือ  1.25 ก./กก. และ  20  ก./กก. ตามลำดับ


ข้อแนะนำและข้อควรระวัง

ในการใช้โกฐชฎามังสีในการบำบัดรักษาโรค ไม่ว่าจะใช้เป็นสมุนไพรเดี่ยวๆ หรือการใช้เป็นส่วนประกอบของตำรับยาต่างๆ ควรระมัดระวังในการใช้ คือ ควรใช้ในปริมาณที่พอดีที่ระบุไว้ในตำรับยาต่างๆและไม่ควรใช้ติดต่อกันเป็นระยะเวลานานจนเกินไป เพราะอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพได้ ส่วนสตรีมีครรภ์ ผู้ป่วยโรคเรื้องรัง หรือผู้ที่ต้องรับประทานยาต่อเนื่อง ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้เสมอ

 

เอกสารอ้างอิง

  1. หนังสือสมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ.คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.”โกฐชฎามังษี Jatamansi” หน้า 217.
  2. จันคนา  บูรณะโอสถ , ปนัดดา  พัฒนาวศิน , ภัทราวดี เหลืองชุวประณีต , ปกรณ์  คามวุฒิ , อุทัย โสธนะพันธุ์ , การวิเคราะห์หาองค์ ประกอบของสารหอมระเหยจากเครื่องยาในสกัด  เนาวโกฐด้วยวิธีโครบงโทกราฟีแบบแก๊ส-แมสสเปกโทรเมทรี.วารสารไทยไภษัชยนิพนธ์ปีที่11.ฉบับที่ 2. กรกฎาคม – ธันวาคม 2559. หน้า 45 – 60
  3. โกฐชฎามังสี.ฐานข้อมูลเครื่องยา คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี(ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก http://www.thaicrudrug.com/main.php?action=viewpage&pid=29