เพกาประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลวิจัย

เพกา งานวิจัยและสรรพคุร 25 ข้อ

ชื่อสมุนไพร เพกา
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น ลิ้นฟ้า, หมากลิ้นฟ้า (โคราช, เลย, ภาคอีสาน), มะลิดไม้, มะลิ้นไม้, ลิดไม้ (ภาคเหนือ), เบโก (นราธิวาส, ภาคใต้), หมากลิ้นช้าง, หมากลิ้นก้าง (ไทยใหญ่), กาโดโด้ง (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี), ดอก๊ะ, ดุแก, ด๊อกก๊ะ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), โชยเตี้ยจั้ง (จีน)
ชื่อสามัญ Broken bone, Damocles tree, Indian trumpet flower, Indian trumpet tree
ชื่อวิทยาศาสตร์ Oroxylum indicum (L.) Vent.
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Oroxylum indicum (L.) Kurz
วงศ์ Bignoniaceae

ถิ่นกำเนิดเพกา

เพกา เป็นพืชพื้นถิ่นที่มีมาตั้งแต่ดั้งเดิมของทวีปเอเชีย ซึ่งพบในอินเดีย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นครั้งแรก ในปัจจุบันสามารพบได้หลายประเทศ เช่น อินเดีย พม่า ไทย ลาว กัมพูชา มาเลเซีย รวมถึง จีนตอนใต้ด้วย ซึ่งมักจะพบเพกา ตามป่าเบญจพรรณ และป่าชื้นทั่วไป ส่วนในประเทศไทยนั้นสามารถพบเพกาได้ทุกภาคของประเทศ อย่างไรก็ตามในการนำเพกามาทำเป็นอาหารนั้น ดูเหมือนจะมีแต่ชาวไทยเท่านั้นที่นำมาบริโภค ส่วนประเทศอื่นๆ นั้นไม่พบข้อมูลในการนำมาบริโภคเป็นอาหารแต่อย่างใด

ประโยชน์และสรรพคุณเพกา  

  1. แก้ไอ
  2. ช่วยขับเสมหะ
  3. ป็นยาระบาย
  4. แก้ร้อน ในกระหายน้ำ
  5. ช่วยเจริญอาหาร
  6. ช่วยระงับไอ
  7. ใช้เป็นยาขับลม
  8. แก้ปวดท้อง
  9. แก้ปวดข้อต่างๆ
  10. เป็นยาสมานแผล
  11. ขับน้ำเหลืองเสีย
  12. ขับเลือดดับพิษโลหิต
  13. ช่วยบำรุงโลหิต
  14. แก้เสมหะจุกคอ
  15. แก้บิด
  16. แก้อาการจุกเสียด
  17. ใช้บำรุงธาตุ
  18. แก้ไข้สันนิบาต
  19. แก้ปวดฝี
  20. แก้ละอองขึ้นในปาก คอลิ้น
  21. แก้ละอองไข้
  22. แก้อาการฟกบวมอักเสบ
  23. แก้อาเจียนไม่หยุด
  24. ช่วยรักษาโรคเบาหวาน
  25. แก้โรคไส้เลื่อน

เพกา

รูปแบบและขนาดวิธีใช้ 

ตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข นำเปลือกต้นฝนกับน้ำปูนใสทาแก้อาการบวม ฟกช้ำ และ อักเสบ หรือ นำเปลือกเพกาฝนทารอบๆ ฝีแก้ปวดฝี เปลือกต้นตำผสมกับสุรา ใช้เป็นยากวาดประสะพิษซางเด็กชนิดเม็ดเหลือง แก้ละอองขึ้นในปาก คอลิ้น แก้ละอองไข้ ใช้ฉีดพ่นตามตัวคนคลอดบุตรที่ทนการอยู่ไฟไม่ได้ ทำให้ผิวหนังชา ทารอบๆ ฝี แก้ปวดฝีทา แก้อาการฟกบวมอักเสบ เปลือกต้นสดตำผสมกับน้ำส้ม (ซึ่งได้จากรังมดแดง) หรือ เกลือสินเธาว์ รับประทานขับลมในลำไส้ แก้จุกเสียด แก้บิด แก้อาเจียนไม่หยุด รับประทานแก้เสมหะจุกคอ (ขับเสมหะ) ขับเลือดเน่าในเรือนไฟ บำรุงโลหิต 
           นอกจากนี้ ช่วยรักษาโรคเบาหวาน ด้วยการใช้เปลือกเพกา เปลือกต้นไข่เน่า ใบไข่เน่า แก่นลั่นทม บอระเพ็ด ใบเลี่ยน รากหญ้าคา รวม 7 อย่าง น้ำหนักอย่างละ 2 บาท นำมาต้มกับน้ำดื่มครั้งละ 1 แก้วเล็ก ก่อนอาหาร เช้าและเย็น ช่วยแก้ บรรเทาอาการไอ และขับเสมหะโดยใช้เมล็ดแก่เพกา ประมาณครึ่งกำมือถึงหนึ่งกำมือ (1.5-3 กรัม) ใส่ในหม้อที่เติมน้ำ 300 มิลลิลิตร แล้วต้มไฟอ่อนๆ จนเดือดประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วนำมาดื่มครั้งละ 1 แก้ว เช้า กลางวัน เย็น จนกว่าอาการจะดีขึ้น แก้โรคไส้เลื่อน ด้วยการใช้เปลือกต้นเพกา รากเขยตาย หญ้าตีนนก นำมาตำรวมกันให้ละเอียด แล้วนำไปละลายกับน้ำข้าวเช็ด ใช้ขนไก่ชุบพาด นำมาทาลูกอัณฑะ

ลักษณะทั่วไปของเพกา

เพกา เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กถึงกลางและเป็นไม้ กึ่งผลัดใบ หรือ ไม่ผลัดใบ สูง 5-12 เมตร ขนาดลำต้นประมาณ 10-30 เซนติเมตร เรือนยอดเล็ก กิ่งเปราะหักง่าย แตกกิ่งก้านน้อย ต้นที่มีอายุน้อยมีกิ่งใหญ่ตรงกลางกิ่งเดียว เปลือกเรียบ มีใบเป็นกลุ่มตรงกลาง คล้ายกับต้นปาล์ม ภายหลังจากออกดอก ลำต้นจะแยกเป็นกิ่งระเกะระกะ เปลือกต้น สีน้ำตาลครีมอ่อน หรือ เทาอ่อน แตกเป็นสะเก็ดสี่เหลี่ยม และแผลของใบยาวถึง 150 เซนติเมตร เกิดจากใบที่ร่วงไปแล้ว ลำต้น และกิ่งก้านมีรูระบายอากาศ กระจายอยู่ทั่วไป เปลือกลำต้นเรียบสีเทา มีรอยแผลเป็น จากการหลุดร่วงของใบ ใบประกอบแบบขนนก 3 ชั้น ปลายคี่ ใบขนาดใหญ่ ยาว 60-200 เซนติเมตร เรียงตรงข้ามกันอยู่บริเวณปลายกิ่ง ใบย่อยรูปไข่ หรือ รูปไข่แกมวงรี กว้าง 4-8 เซนติเมตร ยาว 6-12 เซนติเมตร ปลายยาว ขอบใบเรียบ ฐานใบสอบแคบ ใบเกลี้ยง หรือ มีขนสีขาวสั้นๆ ด้านล่าง ท้องใบนวล ก้านใบบนสุดแยกออก 1 ครั้ง ก้านใบกลางแยก 2 ครั้ง และก้านใบล่างแยก 3 ครั้ง ทำให้เห็นใบทั้งหมดเป็นรูปสามเหลี่ยม ก้านใบย่อยยาว 5-8 มิลลิเมตร ก้านใบข้าง และก้านใบร่วมโค้งพองออกที่ฐานและที่ข้อ ก้านใบยาว 0.5-2 เมตร ดอกช่อขนาดใหญ่แบบกระจะ ออกที่ปลายยอดเป็นกระจุก มีดอกย่อย 20-35 ดอก จะบานพร้อมกันคราวละ 2-3 ดอก ก้านช่อดอกยาว 60-180 เซนติเมตร ยื่นออกมานอกทรงพุ่มของยอด ดอกย่อยขนาดใหญ่ 8-12 เซนติเมตร กลีบดอกสีนวลแกมเขียวโคนกลีบเป็นหลอดสีม่วงแดง หรือ ม่วงด้านนอก หลอดกลีบดอกยาว 2-4 เซนติเมตร รูปแตร กลีบดอกหนา ขอบย่น ไม่มีพู หรือ พูไม่เท่ากัน มีต่อมกระจายอยู่ด้านนอก ด้านในมีขนหนาแน่น ดอกบานตอนกลางคืน มีกลิ่นสาบฉุน และร่วงตอนเช้า มักจะมีดอกและผลในกิ่งเดียวกัน เกสรตัวผู้ 5 อัน ติดกับหลอดดอก โคนก้านมีขน เกสรตัวเมียมี 1 อัน กลีบเลี้ยงยาว 2-4 เซนติเมตร มีกลีบเลี้ยง 5 กลีบ เชื่อมติดกันเป็นรูปทรงกระบอก ปลายไม่แยกเป็นกลีบอย่างเด่นชัด เมื่อเป็นผล กลีบเลี้ยงนี้จะเจริญเป็นเนื้อแข็งมาก ผลเป็นฝัก แบน โค้งเล็กน้อยที่ฐาน มีสันเล็กๆ ที่ด้านข้าง คล้ายรูปลิ้น ห้อยอยู่เหนือเรือนยอด กว้าง 6-10 เซนติเมตร ยาว 30-120 เซนติเมตร สีน้ำตาลเข้ม สีแดง ติดฝักยาก ฝักเป็นรูปดาบ เมื่อแก่จะแตกเป็น 2 ซีก เมล็ดแบนสีขาว ขนาด 4-8 เซนติเมตร มีปีกบางโปร่งแสง เยื่อนี้ช่วยให้เมล็ดปลิวตามแรงลมให้ตกห่างต้นเพื่อขยายพันธุ์ได้ไกลขึ้น

เพกา 

เพกา

การขยายพันธุ์เพกา

เพกาสามารถขยายพันธุ์ได้โดยการใช้เมล็ด โดยเลือกเมล็ดจากฝักแก่ เปลือกฝักแห้ง มีสีดำ โดยให้เก็บฝักไว้สัก 2-3 เดือน ก่อนนำมาเพาะเมล็ด เพราะหลังจากฝักแก่ เมล็ดเพกาจะเข้าสู่ระยะพักตัวอยู่ช่วงหนึ่ง หากนำเมล็ดมาเพาะในระยะหลังฝักแก่มักมีอัตราการงอกต่ำ ดังนั้น จึงทิ้งฝักไว้สักระยะหนึ่งก่อน

           การเพาะเมล็ดเพกา ควรเพาะในถุงเพาะชำ เพื่อให้ย้ายต้นลงปลูกในแปลงได้สะดวก โดยนำเมล็ดออกจากฝัก และตากแดดสัก 2-3 วันก่อน หลังจากนั้นค่อยนำมาเพาะ สำหรับวัสดุเพาะ ควรใช้ดินผสมกับวัสดุอินทรีย์ ได้แก่ ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก และแกลบดำ แต่หากไม่สะดวกให้ใช้เพียงปุ๋ยคอกอย่างเดียวก็ได้ โดยใช้อัตราส่วนดิน : ปุ๋ยคอก : แกลบดำ ที่ 1:3:1 ก่อนบรรจุลงถุงเพาะชำ หลังจากนั้น นำเมล็ดลงกลบ และรดน้ำให้ชุ่ม พร้อมกับดูแลด้วยการรดน้ำเป็นประจำทุกวัน อย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง จนกว่าต้นจะงอก และแตกใบได้ 2 ข้อ ก่อนย้ายลงปลูกในแปลง การปลูกเพกานิยมปลูกในต้นฤดูฝน เมื่อต้นกล้าแตกยอดได้ 2 ข้อแล้ว ให้นำกล้าเพกาลงปลูกได้ สำหรับระยะปลูกให้มีระยะห่างที่ 4×4 เมตร โดยการขุดหลุมขนาดประมาณ 30 เซนติเมตร ลึกประมาณ 30 เซนติเมตร ก่อนจะรองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอกประมาณ 3-5 กำ และปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 ประมาณ 1 หยิบมือ พร้อมคลุกหน้าดินผสม ก่อนจะนำกล้าเพกาลงปลูก

องค์ประกอบทางเคมี

  • ในฝักพบสาร Oroxylin A, Chrysin, Baicalein, Triterpene, Carboxyliv acid, Ursolic acid
  • ในเมล็ดพบสาร Flavonoids, Chrysin, Oroxylin A, Terpene, Baicalein, Saponins, Benzoic acid, 6-Glucoside, Tetuin
  • สำหรับองค์ประกอบของน้ำมันของเมล็ดพบสาร Caprylic, Lauric, Myristic, Palmitic, Palmotoleic, Stearic, Oleic, Linoleic acid
  • ในใบพบสาร Flavones, Baicalein, Glycosides,6,7-Glucuronides, 7-Glucuronides, Chrysin, Scutellarein, Anthraquinone, Aloe emodin
  • ส่วนของลำต้นพบสาร Oroxylin A, Baicalein, Chrysin, 7-Glucuronides, Biochanin A, Ellagic acid, Prunetin, B-sitosterols, b-Methylbailein, Lapachol
  • ส่วนรากพบสาร Oroxylin A, Baicalein, Chrysin, Pterocarpan, Rhodioside, D-Galatose, Sitosterol

           ส่วนคุณค่าทางโภชนาการของเพราะนั้นมีดังนี้

คุณค่าทางโภชนาการในยอดอ่อนเพกา (100 กรัม)

  • พลังงาน                       101      กิโลแคลอรี
  • โปรตีน                          6.4      กรัม
  • ไขมัน                            2.6      กรัม
  • คาร์โบไฮเดรต              13.0    กรัม
  • วิตามินบี 1                   0.18    มิลลิกรัม
  • วิตามินบี 2                    0.69     มิลลิกรัม
  • วิตามินบี 3                     2.4      มิลลิกรัม

ฝักอ่อนของเพกา (ต่อน้ำหนัก 100 กรัม)

  • วิตามินซี                     484      มิลลิกรัม
  • วิตามินเอ                     8,200   มิลลิกรัม
  • โปรตีน                         0.2       กรัม
  • ฟอสฟอรัส                  4         มิลลิกรัม
  • คาร์โบไฮเดรต             14        กรัม
  • ไขมัน                           0.5      กรัม
  • แคลเซียม                  13        มิลลิกรัม
  • เส้นใย                          4          กรัม

รูปภาพองค์ประกอบทางเคมีของเพกา

โครงสร้างเพกา

การศึกษาทางเภสัชวิทยาของเพกา

ฤทธิ์ต้านการอักเสบ ฟลาโวนอยด์ที่สกัดจากเพกาสามารถลดการอักเสบในเท้าของหนูเม้าส์ที่ถูกเหนี่ยวนำให้บวมด้วย dextran และจะมีผลลดบวมมากขึ้นเมื่อใช้ร่วมกับ a-chymotrypsin สารสกัดจากเปลือกต้นเพกามีฤทธิ์ลดการอักเสบในหนูที่ถูกกระตุ้นให้เกิดการอักเสบด้วยอัลบูมินจากไข่ ฟอร์มาลิน และฮีสตามีน แต่ไม่มีผลในหนูที่ถูกกระตุ้นด้วยซีรัมจากม้า หรือ ไซลีน (xylene) นอกจากนี้ยังพบว่าสารสกัดจากเปลือกมีฤทธิ์ลดการแพ้ในหนูที่กระตุ้นให้เกิดภูมิแพ้ได้มากกว่าหนูปกติ

           จากการศึกษาฤทธิ์ต้านการอักเสบในหลอดทดลอง พบว่าสารสกัดจากเปลือกต้นเพกา มีฤทธิ์ต้านการอักเสบโดยยับยั้งสารในร่างกายที่ทำให้เกิดการอักเสบ คือ PGE2 และ NF-kB และยังออกฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระเมื่อทดสอบด้วยการยับยั้งกระบวนการออกซิเดชันของไขมัน (lipid-peroxidation) นอกจากนี้ยังพบว่าสารสกัดด้วยไดคลอโรมีเทนจากเปลือกต้น และรากมีฤทธิ์ต้านการอักเสบโดยยับยั้งเอนไซม์ 5-lipoxygenase และพบว่าสาร lapachol ที่สกัดได้จากเปลือกต้นและรากของเพกาก็มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ 5-lipoxygenase ได้เช่นกัน โดยมีฤทธิ์ใกล้เคียงกับ fisetin ซึ่งใช้เป็นสารมาตรฐานในการทดสอบฤทธิ์ต้านการอักเสบ นอกจากนี้ยังพบว่าสารสกัดด้วยน้ำจากเปลือกยังสามารถลดการอักเสบได้โดยลดการหลั่งเอนไซม์ myeloperoxidase

           ฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย และแก้ท้องเสีย สารสกัดไดคลอโรมีเทนของเปลือกต้น และรากของเพกา มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียได้หลายสายพันธุ์ได้แก่ Bacillus subtilis, Staphylococcus aureus, Escherichia coli และ Pseudomonas aeruginosa และยังมีฤทธิ์ต้านเชื้อรา Candida albicans และพบสาร lapachol ที่สกัดได้จากเปลือกต้นและรากของเพกา มีฤทธิ์ต้านเชื้อ B. subtilis และ S. aureus ได้เทียบเท่ากับยา streptomycin สารสกัดเพกาทั้งต้นด้วยการต้ม ไม่มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย Salmonella typi type 2 (ค่า MIC เท่ากับ 125 มก./มล.) แต่มีฤทธิ์อย่างอ่อนต่อเชื้อ Staphylococcus aureus (ค่า MIC เท่ากับ 15.13 มก./มล.) (2) สารสกัดจากฝักด้วยเอทานอล (80%) ขนาด 12.5 มก./มล. มีฤทธิ์ไม่แน่นอนต่อเชื้อ S. aureus และ Escherichia coli

           สำหรับสารสกัดจากตำรับยาเหลืองปิดสมุทรซึ่งมีเปลือกเพกาเป็นส่วนประกอบ และใช้บรรเทาอาการท้องเสียที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ พบว่ามีฤทธิ์ลดอาการท้องเสียในหนูเม้าส์ที่ทำให้ท้องเสียด้วยน้ำมันละหุ่ง และมีฤทธิ์ยับยั้งการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อเรียบในลำไส้เล็กขิงหนูตะเภา นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดอุจจาระร่วง 6 สายพันธุ์ ในหลอดทดลอง คือ Bacillus cereus ATCC 14579, Escherichia coli ATCC 25922, Salmonella typhimurium ATCC 11331, Shigella flexneri DMSC 1130, Staphylococcus aureus ATCC 25923, Vibrio parahaemolyticus DMST 5665 และ แบคทีเรียที่แยกได้จากอาหาร โดยสารสกัดด้วยน้ำจะออกฤทธิ์ดีกว่าสารสกัดด้วยแอลกอฮอล์ และสารสกัดของสมุนไพรเดี่ยว แต่ละชนิดที่เป็นส่วนประกอบในตำรับยานี้

           ฤทธิ์ต้านการหดเกร็งกล้ามเนื้อ สารสกัดฝักเพกาด้วยเอทานอล และน้ำ (1:1) มีฤทธิ์ต้านการหดเกร็งของกล้ามเนื้อลำไส้เล็ก เมื่อทำการทดลองในหนูตะเภาที่ถูกกระตุ้นให้เกิดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อส่วนลำไส้เล็กด้วย acetylcholine และ histamine

           ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ การศึกษาใช้สารสกัดจากใบเพกาในการต้านสารอนุมูลอิสระ DDPH และยับยั้งสารอนุมูลอิสระ Nitric Oxide พบว่า สารสกัดสามารถออกฤทธิ์ยับยั้งในค่า IC50 = 24.22 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร และค่า IC10 = 129.81 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร ของสารทั้ง 2 ตามลำดับ

           ฤทธิ์ต้านมะเร็ง การศึกษาทดสอบสารสกัดจากเพกาชื่อ Baicalein ในการต้านเซลล์มะเร็ง HL-60 พบว่า สาร Baicalein สามารถยับยั้งเซลล์มะเร็ง HL-60 ได้มากกว่าร้อยละ 50 ภายใน 36-48 ชั่วโมง


การศึกษาทางพิษวิทยาของเพกา

การทดสอบความเป็นพิษมีการทดลองกรอกสารสกัดรากเพกาด้วยน้ำร้อนแก่หนูเพศผู้ในขนาด 1 โมล/กก. มีรายงานว่าทำให้เกิดพิษ Dhar และคณะ ทำการทดลองฉีดสารสกัดฝักเพกาด้วยเอทานอลและน้ำ (1:1) และสารสกัดรากเพกาด้วยเอทานอลและน้ำ (1:1) เข้าช่องท้องหนู พบว่าสารสกัดในขนาดสูงสุดที่หนูสามารถทนได้ (maximum tolerated dose) คือ 100 มก./กก. และ 1 ก./กก. ตามลำดับ (4) ธีระยุทธ ได้ทำการทดสอบความเป็นพิษเฉียบพลันของสารสกัดเปลือกเพกา ด้วยเอทานอล (70%) โดยการฉีดเข้าช่องท้อง และกรอกลงกระเพาะหนูถีบจักรในขนาด 100 มก./กก.น้ำหนักตัว พบว่าสารสกัดไม่ทำให้เกิดพิษเฉียบพลันในหนู และเมื่อทดสอบความเป็นพิษเฉียบพลันโดยใช้สารสกัดในขนาดสูงขึ้น คือ 400 และ 800 มก./กก.น้ำหนักตัว พบว่าสารสกัดไม่ทำให้เกิดพิษเฉียบพลันเมื่อให้โดยการกรอกลงกระเพาะหนู แต่ทำให้เกิดพิษเฉียบพลันได้เมื่อฉีดเข้าช่องท้องในขนาด 800 มิลลิกรัม/กิโลกรัม สำหรับความเป็นพิษกึ่งเฉียบพลันของสารสกัด พบว่าเมื่อกรอกสารสกัดลงกระเพาะหนูถีบจักรในขนาด 400 และ 800 มก./กก.น้ำหนักตัว ทุกวันเป็นเวลา 30 วัน พบว่าไม่ทำให้เกิดพิษเฉียบพลันในหนู และเมื่อป้อนสารสกัดจากตำรับยาเหลืองปิดสมุทรขนาด 5 กรัม/กิโลกรัม ครั้งเดียวให้หนูแรท สังเกตพฤติกรรมภายใน 14 วัน ไม่พบพิษแบบเฉียบพลัน และความผิดปกติของอวัยวะภายใน และเมื่อให้สารสกัดขนาด 1, 2 และ 4 กรัม/กิโลกรัม/วัน แก่สัตว์ทดลองติดต่อกันเป็นเวลา 90 วัน ไม่พบพิษแบบกึ่งเรื้อรัง ไม่พบความผิดปกติของน้ำหนักตัว ค่าตรวจทางโลหิตวิทยา และทางชีวเคมี และการเปลี่ยนแปลงในพยาธิวิทยาของอวัยวะภายใน สำหรับตำรับยารักษาโรคมะเร็งที่ประกอบด้วยเพกา ชุมเห็ดเทศ (Senna alata (L.) Roxb.) และรางจืด (Thunbergia laurifolia Lindl.) ซึ่งออกฤทธิ์ต้านมะเร็งในหลอดทดลอง ก็พบว่ามีความปลอดภัยในการทดสอบความเป็นพิษแบบเฉียบพลันในสัตว์ทดลอง

           ฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์จากการทดสอบฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ โดยวิธี Ames’ test จากผลการทดลองพบว่าสารสกัดในขนาดสูงสุดที่ทำการทดสอบ (2 มก./จานเพาะเชื้อ) กับ Salmonella typhimurium สายพันธุ์ TA98 และ TA100 พบว่าไม่มีคุณสมบัติในการก่อให้เกิดการ กลายพันธุ์ อมรศรี และคณะ พบว่าสารสกัดเพกาที่ได้จากการต้มมีฤทธิ์ต้านการกลายพันธุ์ เมื่อทดสอบโดยวิธี Ames’ test

           การประเมินความเป็นพิษของสารสกัดจากเพกาโดยวิธี somatic mutation and recom bination test ในแมลงหวี่ พบว่าสารสกัดเพกาในขนาด 120 มก./มล. สามารถก่อให้เกิด somatic mutation ได้ โดยพบว่าแมลงหวี่ที่ได้รับสารสกัดมีจำนวนจุดบนปีกน้อยลง เมื่อเปรียบเทียบกับแมลงหวี่กลุ่มควบคุม และมีรายงานว่าส่วนสกัดอัลกอฮอล์ของเพกาเมื่อนำมาทำปฏิกิริยากับเกลือไนไตรท์ในสภาวะแวดล้อมที่เป็นกรดแล้วนำมาทดสอบการกลายพันธุ์ พบว่าผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้นมีฤทธิ์ก่อการกลายพันธุ์

ข้อแนะนำและข้อควรระวัง

  1. หญิงตั้งครรภ์ไม่ควรรับประทานฝักอ่อนของเพกา เพราะมีฤทธิ์ร้อน โดยอาจทำให้แท้งบุตรได้
  2. ควรระวังในการใช้เพการ่วมกับยากลุ่มต้านการแข็งตัวของเกร็ดเลือด เช่น แอสไพริน (aspirin), วาฟาริน (warfarin), สารสกัดแปะก๊วย (Ginko biloba)
  3. เพกาเป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์ร้อนอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ เช่น เกิดการระคายเคืองกระเพาะอาหารได้

 เอกสารอ้างอิง เพกา
  1. ธีระยุทธ กลิ่นสุคนธ์. รายงานความก้าวหน้าโครงการวิจัยสมุนไพรที่ใช้รักษาโรคเขตร้อน (ครั้งที่ 1): โครงการย่อย “การวิจัยด้านพิษวิทยา”. การสัมมนาเรื่อง “การพัฒนาการใช้สมุนไพรทางคลินิก และการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีของสมุนไพร ที่ใช้รักษาโรคเขตร้อน” 26-27 ก.พ. 2530, มหาวิทยาลัยมหิดล.
  2. เพกา. สมุนไพรทีใช้ในงานสาธารณสุขมูลฐาน. สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล
  3. จีรเดช มโนสร้อย, วรพงษ์ กิจดำรงธรรม, ปราโมทย์ เสถียรรัตน์, อรัญญา มโนสร้อย. การทดสอบความเป็นพิษแบบเฉียบพลันของสารสกัดตำรับยารักษาโรคมะเร็งที่คัดเลือกจากฐานข้อมูลตำรายาสมุนไพรไทย มโนสร้อย 2. วารสารการแพทย์แผนไทย และการแพทย์ทางเลือก 2553;8(2):54.
  4. อมรศรี ช่างปรีชากุล, อริศรา เวชกัลยามิตร, มาลิน จุลศิริ, ปัญญา เต็มเจริญ. การต้านสารก่อกลายพันธุ์ของสารสกัดน้ำจากพืช สมุนไพรชนิดที่สามารถนำมาปรุงเป็นเครื่องดื่ม. Special project, Faculty of pharmacy, Mahidol university,1991.
  5. เพกา.ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์มหิทยาลัยอุบลราชธานี (ออนไลน์) เข้าถึงได้จาก http://phargarden.com/main.php?action=viewpage&pid=84
  6. Ali RM, Houghton PJ, Raman A, Hoult JRS. Antimicrobial and antiinflammatory activities of extracts and constituents of Oroxylum indicum (l.) Vent. Phytomedicine 1988;5(5):375-81.
  7. เพกา. สมุนไพรที่มีการใช้ในผู้ป่วยติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล
  8. อุดมการณ์ อินทุใส และปาริชาติ ทะนานแก้ว. สมุนไพรไทย ตำรับยา บำบัดโรค บำรุงร่างกาย.2549.
  9. ธีระยุทธ กลิ่นสุคนธ์. รายงานความก้าวหน้าโครงการวิจัยสมุนไพรที่ใช้รักษาโรคเขตร้อน (ครั้งที่ 2): โครงการย่อย “การวิจัยด้านพิษวิทยา”. การสัมมนาเรื่อง “การพัฒนาการใช้สมุนไพรทางคลินิก และการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของสมุนไพรที่ใช้รักษาโรคเขตร้อน” 26-27 ก.พ. 2530, มหาวิทยาลัยมหิดล.
  10. เพกา/ลิ้นฟ้า สรรพคุณและการปลูกเพกา. พืชเกษตรดอทคอมเว็บเพื่อพิชเกษตรไทย (ออนไลน์) เข้าถึงได้จาก http://puechkaset.com
  11. นพมาศ สุนทรเจริญนนท์. การพัฒนาตำรับยาแผนโบราณเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน. การสัมมนาเรื่อง “การเผยแพร่ผลงานวิจัยด้านสมุนไพรสู่ระดับอุตสาหกรรม ครั้งที่ 2”, 19-20 มีนาคม ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ, 2552.
  12. ขวัญฤทัย คำฝาเชื้อ.2551.พฤกษศาสตร์พื้นบ้านของชาวกะเหรี่ยง ที่ตำบลบ้านจันทร์และแจ่มหลวง อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่. วิทยานิพนธ์ (วิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. 271 หน้า
  13. Glinsukon T. Toxicological report. Symposium on Development of Medicinal Plants for Tropical Diseases, 26-27 February, Bangkok, Thailand, 1987. p.110-4.
  14. เพกา.กลุ่มยาแก้โรคบิด ท้องเดิน ท้องร่วง โรคกระเพาะ.สรรพคุณสมุนไพร 200 ชนิด .โครงการอนุรักษ์พันธุกรมมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริสมเด็จพระเทพฯรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี. (ออนไลน์) เข้าถึงได้จาก http://www.rspg.or.th/plnts_data/herbs/herbs_07_7.htm
  15. Siriwatanametanon N, Fiebich BL, Efferth T, Prieto JM, Heinrich M. Traditional Used Thai Medicinal Plants: In Vitro Anti-inflammatory, anticancer and Antioxidant Activities. J Ethnopharmacol 2010; 130:196-207.
  16. Golikov PP, Brekhman II. Pharmacological study of a liquid extract from the bark of Oroxylum indicum.  Rastit, Resur 1967; 3(3): 446.
  17. พัฒน์ สุจำนงค์. ตำรายาไทย-จีนยากลางบ้าน ยาสมุนไพร และยาแผนโบราณ. ภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แพร่วิทยา, 2524. หน้า 363.
  18. Chen CP, Lin CC, Namba T. Development of natural crude drug resources from Taiwan. (VI). In vitro studies of the inhibitory effect on 12 microorganisms. Shoyakugaku Zasshi 1987; 41(3):215-25.
  19. แก้ว กังสดาลอำไพ, วรรณี โรจนโพธิ์. การประเมินฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ของสมุนไพรไทยในรูปของยาสามัญประจำบ้านแผนโบราณตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข และสมุนไพรบางชนิด โดยวิธีเอมส์เทสต์. รายงานผลการวิจัยเอกสารด้านการแพทย์แผนไทยโดยศูนย์ประสานงาน การพัฒนาการแพทย์และเภสัชกรรมแผนไทย กระทรวงสาธารณสุข, 2538:14-5.
  20. Laupattarakasem P, Houghton PJ, Hoult JRS, Itharat A. An evaluation of the activity related to inflammation of four plants used in Thailand to treat arthritis. J Ethnopharmacol 2003;85:207-15.
  21. Debelmas AM, Hache J. Toxicity of several medicinal plants of Nepal including some behavioral and central nervous system effects. Plant Med Phytother 1976;10:128-38.
  22. Valsaraj R, Pushpangadan P, Smitt UW, Adsersen A, Nyman U. Antimicrobial screening of selected medicinal plants from India. J Ethnopharmacol 1997;58(2):75-83.
  23. Siriwatanametanon N, Fiebich BL, Efferth T, Prieto JM, Heinrich M. Thai medicinal plants and the search for new anti-inflammatory and anticancer agents. Planta Med 2009:75-PE16
  24. Leamworapong C. Effect of a food preservative nitrite on mutagenicity of Thai medicinal plants using the Ames test. MS thesis,  Ann Abst Mahidol Univ, 1989.
  25. Dhar ML, Dhar MM, Dhawan BN, Mehrotra BN, Ray C. Screening of Indian plants for biological activity: part I. Indian J Exp Biol 1968;6:232-47.
  26. แก้ว กังสดาลอำไพ, วรรณี โรจนโพธิ์. การประเมินฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ของสมุนไพรไทยในรูปของยาตำรับสามัญประจำบ้านแผนโบราณตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข และสมุนไพร บางชนิด โดยวิธีเอมส์เทสต์. การประชุมวิชาการวิทยาศาสตร์การแพทย์ ครั้งที่ 3, 3-4 ธันวาคม 2533, สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุขแห่งชาติ