โรคไซนัสอักเสบ (Sinusitis)

โรคไซนัสอักเสบ (Sinusitis)

โรคไซนัสอักเสบคืออะไร  ไซนัส คือ โพรงอากาศที่อยู่ภายในกระดูกบริเวณรอบๆ หรือใกล้เคียงกับจมูก ซึ่งมีอยู่ 4 กลุ่มใหญ่ๆ ในแต่ละข้าง  ไซนัสที่ใหญ่ที่สุดอยู่ภายในกระดูกโหนกแก้ม (maxillary sinus)  อีกกลุ่มหนึ่งมีอยู่หลายโพรง มีขนาดเล็ก และอยู่ระหว่างบริเวณโคนจมูก และหัวตาแต่ละข้าง (ethmoidal sinuses)  ในกระดูกหน้าผากก็มีไซนัสภายใน (frontal sinus) นอกจากนั้นยังมีไซนัสที่อยู่ใต้ฐานกะโหลกศีรษะ (sphenoidal sinus) ด้วย  หน้าที่ของไซนัสนั้นไม่ทราบแน่ชัด  แต่เชื่อว่าอาจช่วยทำให้เสียงที่เราเปล่งออกมา กังวานขึ้น, ช่วยทำให้กะโหลกศีรษะเบาขึ้น และช่วยรักษาสมดุลของศีรษะ, ช่วยในการปรับความดันของอากาศภายในโพรงจมูก  ในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงของความดัน และสร้างสารคัดหลั่งที่ป้องกันการติดเชื้อของโพรงจมูกและไซนัส

ซึ่งในคนปกติทั่วไป เมือกที่สร้างขึ้นในโพรงไซนัสจะระบายลงตามทางเชื่อมมาออกที่รูเปิดในโพรงจมูก กลายเป็นน้ำมูก หรือเสมหะใส เพื่อให้ความชื้นและชะล้างโพรงจมูก แต่ถ้ารูเปิดดังกล่าวถูกอุดกั้น (เช่น เป็นไข้หวัด หรือโรคหวัดภูมิแพ้) ทำให้เมือกในโพรงไซนัสไม่สามารถ ระบายออกมาได้ เมือกก็จะหมักหมมกลายเป็นอาหารสำหรับการเจริญเติบโตของเชื้อโรคที่ลุกลามมาจากโพรงจมูกเข้าไปในไซนัส ทำให้เยื่อบุไซนัสอักเสบบวม ขนอ่อนในไซนัสสูญเสียหน้าที่ในการขับเมือก ทำให้มีการสะสมของเมือกมากขึ้นกลายเป็นหนองขังอยู่ในไซนัส เกิดอาการของโรคไซนัสอักเสบขึ้นมา

โรคไซนัสอักเสบ ยังสามารถแบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือชนิดเฉียบพลัน (มีอาการน้อยกว่า 30 วัน) ชนิดกึ่งเฉียบพลัน (มีอาการอยู่ระหว่าง 30-90 วัน) และชนิดเรื้อรัง (มีอาการมากกว่า 90 วัน) โดยการอักเสบอาจเกิดกับไซนัสได้ทุกตำแหน่ง ได้แก่ ไซนัสข้างตา (Ethmoid sinus), ไซนัสหน้าผาก (Frontal sinus), ไซนัสโหนกแก้ม (Maxillary sinus) และไซนัสที่อยู่ใต้ฐานกะโหลกศีรษะ (Sphenoidal sinus) แต่ที่พบได้บ่อยที่สุด คือ ไซนัสโหนกแก้ม (Maxillary sinus) ซึ่งจะทำให้มีอาการปวดที่บริเวณโหนกแก้ม  แต่โรคนี้ส่วนใหญ่มักจะไม่มีความรุนแรง นอกจากสร้างความรำคาญหรือปวดทรมาน ส่วนน้อยที่อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง หากได้รับการรักษาอย่างถูกต้องตั้งแต่แรก ก็มักจะหายได้ หรือลดภาวะแทรกซ้อนลงได้

  โรคไซนัสอักเสบเป็นโรคที่พบบ่อยที่สุดโรคหนึ่งที่ทำให้ผู้ป่วยมาพบแพทย์  ประมาณกันว่าประชากรทั่วไป 1 ใน 8 คน  จะเป็นโรคไซนัสอักเสบในช่วงใดช่วงหนึ่งของชีวิต  อุบัติการของการเกิดไซนัสอักเสบ   มีแนวโน้มที่เกิดมากขึ้นในฤดูกาลที่มีคนเป็นไข้หวัดหรือมีการอักเสบติดเชื้อในทางเดินหายใจมาก โดยทั่วไปมากกว่า 0.5% ของผู้ป่วยที่เป็นโรคหวัด มีโอกาสเกิดเป็นไซนัสอักเสบตาม มา ผู้ป่วยที่เป็นโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ (Allergic rhinitis) หรือโรคหืดจะมีไซนัสอักเสบร่วมด้วยประมาณ 40-50% อุบัติการของไซนัสอักเสบชนิดเฉียบพลันที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียในผู้ใหญ่ที่เกิดตามหลังไข้หวัดพบได้ประมาณร้อยละ 0.5-2 และในเด็กพบได้ประมาณร้อยละ 5-10 สำหรับโรคไซนัสอักเสบเรื้อรังนั้น  ในกลุ่มประชากรทั่วไปพบโรคไซนัสอักเสบเรื้อรังประมาณร้อยละ 1.2-6  

สาเหตุของโรคไซนัสอักเสบ

  1. การติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจตอนบน (Upper respiratory tract infec tion) ระยะแรกเกิดจากเชื้อไวรัสโรคหวัด ซึ่งจะไปทำให้เยื่อบุจมูกอักเสบ ซึ่งอาจอักเสบต่อ เนื่องเข้าไปถึงในไซนัส ต่อมามีการติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย โดยทั่วไปก็จะหายได้เป็นปกติ แต่หากการติดเชื้อนั้นรุนแรง อาจเกิดการทำลายของเยื่อบุจมูกและเยื่อบุไซนัส ทำให้มีการบวมและมีพังผืด ทำให้เกิดการอุดตันของรูเปิดระหว่างไซนัสกับโพรงจมูก ร่วมกับการที่เซลล์ขน (Cilia) ที่มีหน้าที่ผลักดันสารคัดหลั่งในไซนัส ไม่ทำงาน ก็จะทำให้การอักเสบกลายเป็นการอักเสบเรื้อรังได้
  2. การติดเชื้อของฟัน โดยเฉพาะฟันกรามน้อยและฟันกรามแถวบน โดยทั่วไปพบว่า ประมาณ 10% ของการอักเสบของไซนัสแมกซิลลาจะมีสาเหตุจากฟันผุ (เพราะผนังด้านล่างของไซนัสแมกซิลลาจะติดกับรากฟันดังกล่าว) บางรายจะแสดงอาการชัดเจนภายหลังที่ไปถอนฟันแล้วเกิดรูทะลุระหว่างไซนัสแมกซิลลาและเหงือก (Oroantral fistula) ขึ้น
  3. โรคติดเชื้ออื่นๆ เช่น ไข้หวัดใหญ่ โรคหัด โรคไอกรน
  4. การว่ายน้ำ ดำน้ำ ซึ่งอาจเกิดการสำลักน้ำเข้าไปในจมูกและเข้าไปในไซนัสได้ โดยอาจมีเชื้อโรคเข้าไปด้วย ทำให้เกิดการอักเสบได้ นอกจากนี้ สารคลอรีน (Chlorine) ในสระว่ายน้ำ ยังเป็นสารเคมีที่ทำให้เกิดการอักเสบของเยื่อบุไซนัสได้
  5. การกระทบกระแทกอย่างแรงบริเวณใบหน้า อาจทำให้ไซนัสโพรงอันใดโพรงหนึ่งแตกหัก ช้ำบวม หรือมีเลือดออกภายในโพรง ทำให้เกิดการอักเสบติดเชื้อตามมาได้
  6. มีสิ่งแปลกปลอมในจมูก เช่น เมล็ดผลไม้ จึงก่อการอุดตันโพรงจมูก จึงเป็นสาเหตุให้เกิดการติดเชื้อทั้งในโพรงจมูก และในไซนัส
  7. จากการเปลี่ยนแปลงความดันอากาศรอบๆตัวทันที (Barotrauma หรือ Aero sinusitis) เช่น ขณะเครื่องบินขึ้นหรือลงจอด และการดำน้ำลึก เป็นต้น ถ้ารูเปิดของไซนัสขณะ นั้นบวมอยู่ เช่น กำลังเป็นหวัด หรือโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ (Allergic rhinitis) กำเริบ จะส่งผลให้เยื่อบุ บวมมากขึ้น รวมทั้งอาจมีการหลั่งของเหลว/สารคัดหลั่งออกมา หรือมีเลือดออกได้ จึงก่อการอักเสบขึ้น ซึ่งพบได้บ่อยที่ไซนัสฟรอนตัล                                           

ส่วนไซนัสอักเสบเรื้อรังมักเป็นผลแทรกซ้อนจากไซนัสอักเสบเฉียบพลันที่ ไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง นอกจากนี้ ยังอาจเกิดจากปัจจัยอื่นๆ เช่น โรคหวัดภูมิแพ้เรื้อรัง ริดสีดวงจมูก เนื้องอกในโพรงจมูกหรือไซนัส ผนังกั้นจมูกคด การติดเชื้อของทางเดินหายใจส่วนต้นซ้ำซาก การสูบบุหรี่ มลพิษทางอากาศ โรคกรดไหลย้อน (หูรูดปลายหลอดอาหารเสื่อม ทำให้มีน้ำย่อยซึ่งเป็น กรดไหลย้อนขึ้นมาที่ไซนัส เวลานอนตอนกลางคืน) โรคฟันและช่องปากเรื้อรัง ภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ (เช่น เบาหวาน เอดส์) เป็นต้น อนึ่งในการอักเสบเฉียบพลันของไซนัส มักเกิดจากการติดเชื้อไวรัส เช่น ไวรัสโรคหวัด แต่เมื่อเป็นการอักเสบเรื้อรัง มักเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น Streptococci, Staphylococcus, Haemophilus influenzae, Klebsiella pneumoniae, Bacteroides melaninogenicus, แต่อาจพบจากการติดเชื้อราได้ เช่น Aspergillus และ Dematiaceous fungi

อาการของโรคไซนัสอักเสบ

ไซนัสอักเสบเฉียบพลัน  ในผู้ใหญ่มักมีอาการปวดใบหน้าบริเวณไซนัสที่อักเสบ เช่น ปวดที่บริเวณหัวตา หน้าผาก โหนกแก้ม  รอบๆ กระบอกตา หรือหลังกระบอกตา บางรายอาจรู้สึก คล้ายปวดฟัน ตรงฟันซี่บน อาจปวดเพียงข้างเดียวหรือ 2 ข้างก็ได้ อาการปวดมักเป็นมากเวลาเช้าหรือบ่าย เวลาก้มศีรษะหรือเปลี่ยนท่าผู้ป่วยมักมีอาการคัดแน่นจมูก พูดเสียงขึ้นจมูก มีน้ำมูกเป็นหนองออกข้นเหลืองหรือเขียว หรือมีเสมหะข้นเหลืองหรือเขียวไหลจากด้านหลังจมูกลงในคอ ต้องคอยสูดหรือขากออก  อาจมีอาการปวดศีรษะ มีไข้ อ่อนเพลีย เจ็บคอ ปวดหู ไอ หายใจมีกลิ่นเหม็น ความรู้สึก ในการรับรู้กลิ่นหรือรสชาติลดลง ในเด็ก อาการมักไม่ชัดเจนเท่าผู้ใหญ่ อาจมีอาการเป็นหวัดนานกว่าปกติ กล่าวคือมีน้ำมูก (ใสหรือข้นเป็นหนองก็ได้) และไอนานกว่า 10 วัน มักจะไอทั้งกลางวันและกลางคืน อาจมีไข้ต่ำๆ และหายใจมีกลิ่นเหม็นร่วมด้วย  เด็กบางรายอาจแสดงอาการเป็นหวัดรุนแรงกว่าปกติ เช่น มีไข้สูงกว่า 39 องศาเซลเซียส น้ำมูกข้นเป็นหนอง ปวดที่บริเวณใบหน้า หลังตื่นนอนสังเกตเห็นอาการบวมรอบๆ ตาซึ่งอาการของไซนัสอักเสบระยะนี้มีระยะเวลาฟื้นตัวจนหายดีประมาณ 2 – 4 สัปดาห์ ไซนัสอักเสบเรื้อรัง มักมีอาการต่อเนื่องทุกวันนานเกิน 90 วัน โดยในผู้ใหญ่มักมีอาการคัดจมูก มีเสมหะข้นเหลืองหรือเขียวไหลจากด้านหลังจมูกลงในคอหายใจมีกลิ่นเหม็น ความรู้สึกในการรับรู้กลิ่นลดลง ส่วนใหญ่มักไม่มีไข้และอาการปวดไซนัสแบบที่พบในไซนัสอักเสบเฉียบพลัน  ในเด็กมักมีอาการไอ น้ำมูกไหล จาม หายใจมีกลิ่นเหม็น มีโรคติดเชื้อของทางเดินหายใจส่วนต้น หรือหูชั้นกลางอักเสบ โดยในอาการของไซนัสอักเสบระยะนี้มักเกิดต่อเนื่องเกิด 12 สัปดาห์ และมักพบร่วมกับโรคภูมิแพ้ ทั้งนี้ไซนัสอักเสบมักเกิดจากการติดเชื้อไวรัส พบในอัตรา 90% ของผู้ป่วย หากไม่มีภาวะแทรกซ้อนหรือการพัฒนาโรคที่รุนแรงขึ้น อาการจะทุเลาลงและหายดีเองภายในเวลาประมาณ 10 วัน ในขณะที่การติดเชื้อแบคทีเรียจนทำให้ไซนัสอักเสบจะพบได้ไม่บ่อยนัก ประมาณ 5-10% เท่านั้น และต้องได้รับการรักษาด้วยยาต้านเชื้อแบคทีเรียโดยเฉพาะ ซึ่งมักมีอาการนานกว่า 10 วัน หรืออาการแย่ลงหลังจากเป็นมานาน 5 วัน แนวทางการรักษาโรคไซนัสอักเสบ ในเบื้องต้นแพทย์จะซักถามอาการและประวัติการป่วย ร่วมกับการตรวจร่างกายเป็นสำคัญและอาจมีการตรวจพิเศษเพิ่มเติม ดังนี้

ประวัติการรักษา/ประวัติอาการ

  1. ประวัติที่ช่วยในการวินิจฉัยโรคไซนัสอักเสบเฉียบพลัน ได้แก่  เป็นหวัดมานานมากกว่า 7-10 วัน, เป็นหวัดที่มีอาการรุนแรงมาก, ไข้สูง,  คัดจมูก, มีน้ำมูกเหลืองข้น, ได้กลิ่นลดลง, ปวดหรือตื้อทึบบริเวณโหนกแก้มคล้ายปวดฟันบน, ปวดรอบๆจมูก หัวคิ้ว หรือหน้าผาก, เจ็บคอ, เสมหะไหลลงคอ, ไอ, ปวดศีรษะ, อาการทางจมูกที่ไม่ดีขึ้นหลังให้ยาหดหลอดเลือด โดยมีอาการดังกล่าวภายในระยะเวลาไม่เกิน 1 เดือน   ผู้ป่วยโรคไซนัสอักเสบเรื้อรังมักมีอาการไม่เฉพาะเจาะจงเช่น คัดจมูก, การรับกลิ่นลดลงหรือไม่ได้กลิ่น, มีน้ำมูกสีเขียวเหลืองในจมูกหรือไหลลงคอ, ปวดศีรษะ, มีกลิ่นปาก, ลมหายใจมีกลิ่นเหม็น, ลิ้นเป็นฝ้า, คอแห้ง, มีเสมหะในคอ, เจ็บคอ ระคายคอเรื้อรัง, ไอ, ปวดหูหรือ หูอื้อ
  2. การตรวจร่างกายได้แก่
  • การตรวจในโพรงจมูก มักพบว่าเยื่อบุจมูกบวมแดง อาจพบมีหนองหรือมูก บางรายอาจพบหนองตามตำแหน่งที่มีรูเปิดของไซนัส
  • มีอาการเจ็บ โดยเมื่อกดลงบนใบหน้า ผู้ป่วยจะรู้สึกเจ็บ จุดกดเจ็บของไซนัสแม็กซิลล่าอยู่ที่ผนังด้านหน้าชิดกับจมูก จุดกดเจ็บของไซนัสฟรอนตัลอยู่ที่ใต้หัวคิ้วใกล้กับดั้งจมูก หรืออาจจะเคาะเบาๆที่บริเวณหน้าผากซึ่งถ้ามีการอักเสบจะรู้สึกเจ็บ จุดกดเจ็บของไซนัสเอธมอยด์อยู่ที่บริเวณหัวตา ส่วนไซนัสสฟีนอยด์ไม่สามารถตรวจได้เนื่องจากอยู่ลึกมาก แต่ทั้งนี้ ในไซ นัสอักเสบเรื้อรัง มักไม่มีอาการกดเจ็บอย่างชัดเจน ยกเว้นแต่มีการอักเสบเฉียบพลันแทรกซ้อน
  • การตรวจในช่องปาก อาจพบมีหนองไหลจากโพรงหลังจมูกลงมาบนผนังลำคอ เรียกว่า Postnasal drip ซึ่งเป็นตัวช่วยในการวินิจฉัยไซนัสอักเสบเรื้อรังที่ค่อนข้างจะแน่นอนอย่างหนึ่ง อาจพบผนังลำคอเป็นตุ่ม ขรุขระ เนื่องจากมีเนื้อเยื่อน้ำเหลืองในช่องคอโตขึ้น จากต้องทำหน้าที่กำจัดเชื้อโรคที่ติดมากับหนองจากไซนัส ซึ่งไหลลงมาในลำคอเป็นประจำ แต่ลักษณะขรุขระนี้ อาจจะพบได้ในผู้ป่วยโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ คอหอยอักเสบ และผู้ป่วยที่ผ่าตัดต่อมทอนซิล และอาจพบมีฟันผุโดยเฉพาะ ฟันกรามบน
  1. การตรวจพิเศษเช่น
  • การตรวจเพื่อดูการผ่านทะลุของแสง (Transillumination test) ใช้ช่วยการวินิจฉัยการอัก เสบของไซนัสแม็กซิลล่า และ ของไซนัสฟรอนตัล ถ้าไซนัสไม่มีแสงสว่างผ่านลอดไปได้เลยจะช่วยบอกว่ามีโรคได้อย่างแม่นยำ แต่ในเด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี วิธีนี้มักไม่ได้ประโยชน์เพราะเยื่อบุและผนังกระดูกเด็กที่ล้อมไซนัส มักจะหนากว่าผู้ใหญ่ แสงจึงมักผ่านไม่ได้
  • การตรวจภาพไซนัสด้วยอัลตราซาวด์ สามารถตรวจหาหนองในโพรงไซนัสได้ดี
  • การเจาะไซนัส (Antral proof puncture) ใช้ตรวจไซนัสแมกซิลลา
  • Sinuscopy เป็นการส่องกล้องตรวจในไซนัส ปัจจุบันเกือบจะเข้ามาแทนที่วิธีเจาะไซนัส Antral proof puncture โดยทำต่อจากการถ่ายภาพเอกซเรย์ธรรมดา ไซนัสสำหรับผู้ป่วยโพรงอากาศข้างจมูกแม็กซิลล่าอักเสบเรื้อรัง ถ้าพบหนองก็สามารถเก็บตัวอย่างส่งเพาะเชื้อ และล้างหนองได้ในคราวเดียวกัน ถ้าพบเป็นถุงน้ำ หรือ ริดสีดวงขนาดเล็กก็จะตัดออกผ่านทางกล้องส่องได้ นอกจากนี้ การเห็นพยาธิสภาพและการเปลี่ยนแปลงของเยื่อบุและของรูเปิดไซนัสด้วยตาโดยตรง ทำให้สามารถวินิจฉัยและวางแผนให้การรักษาไซนัสอักเสบที่เหมาะสมต่อไปได้อย่างเหมาะสม
  • การถ่ายภาพไซนัสด้วยเอมอาร์ไอ ใช้แยกก้อนเนื้อ หรือถุงน้ำออกจากของเหลว
  • การตรวจด้วยการส่องกล้องโพรงจมูก (Nasal endoscopy)
  • การถ่ายภาพไซนัสด้วยเอกซเรย์
  • การถ่ายภาพไซนัสด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ เป็นวิธีดีที่สุดในการตรวจหาพยาธิสภาพของไซนัสในปัจจุบัน แต่ค่าใช้จ่ายในการตรวจค่อนข้างแพง

หลักในการรักษาโรคไซนัสอักเสบ ประกอบด้วย

            1. กำจัดเชื้อโรคที่เป็นสาเหตุ โดยการให้ยาต้านจุลชีพ เพื่อทำให้อาการของโรคดีขึ้นเร็ว การเลือกชนิดของยาต้านจุลชีพขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการติดเชื้อ, การดำเนินโรค, ความไวต่อยาต้านจุลชีพของเชื้อนั้นๆ และ อุบัติการของการดื้อยา ระยะเวลาของการให้ยาต้านจุลชีพนั้น ในรายที่เป็นไซนัสอักเสบเฉียบพลันควรให้ยาต้านจุลชีพอย่างน้อย 10-14 วัน หรือให้จนผู้ป่วยไม่มีอาการผิดปกติแล้วให้ต่ออีก 1 สัปดาห์หลังจากนั้น ในรายที่เป็นไซนัสอักเสบเรื้อรังควรให้ยาต้านจุลชีพเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 3-6 สัปดาห์ เช่น ยากลุ่ม Amoxicillin, Clarithromycin และ Azithromycin แต่หากผู้ป่วยต้องอยู่อาศัยในบริเวณที่มีโอกาสติดเชื้อสูง หรืออาการไม่ดีขึ้นหลังรับยาไปแล้ว 2-3 วัน แพทย์จะใช้ยารักษาในขั้นถัดไป เช่น Amoxicillin-clavulanate, Cephalosporins, Macrolides, Fluoroquinolones และ Clindamycin เป็นต้น

            2. ทำให้การไหลเวียนของสารคัดหลั่งและอากาศภายในไซนัสดีขึ้น

            2.1 ยาหดหลอดเลือด ทำให้การบวมของเยื่อบุจมูกลดลง, บรรเทาอาการคัดจมูก ทำให้รูเปิดของไซนัสโล่งขึ้น อาจให้ในรูปยาพ่นหรือยาหยอดจมูก หรือ ยารับประทาน หรือให้ร่วมกันทั้งสองชนิดก็ได้    สำหรับยาหดหลอดเลือดที่พ่นหรือหยอดจมูก ไม่ควรใช้นานกว่า 7 วัน เพราะจะทำให้เยื่อบุจมูกเสียได้ ส่วนยาหดหลอดเลือดชนิดรับประทาน  ควรระวังผลข้างเคียง เช่น ความดันโลหิตสูง  หัวใจเต้นเร็ว  นอนไม่หลับ  กระสับกระส่ายด้วย เช่น pseudoephedrine และ phenylephrine โดยแพทย์จะจ่ายยาในปริมาณรับประทาน 10 - 14 วัน ยาลดอาการคัดจมูกแบบพ่นหรือหยด เช่น Oxymetazoline และ Hydrochloride ใช้รักษาภายใน 3-5 วัน

            2.2 ยาสตีรอยด์พ่นจมูก (Nasal Cortixosteroids) อาจมีประโยชน์ในรายที่เป็นไซนัสอักเสบเรื้อรัง หรือ ไซนัสอักเสบเป็นๆ หายๆ โดยเฉพาะถ้ามีโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ หรือชนิดที่ไม่แพ้ร่วมด้วย ยาพ่นจมูกดังกล่าวจะช่วยลดการอักเสบในจมูก  ทำให้รูเปิดของไซนัส ที่มาเปิดในโพรงจมูกโล่งขึ้น  ช่วยให้การไหลเวียนของอากาศ  การระบายของสารคัดหลั่งหรือ หนองที่อยู่ภายในไซนัสดีขึ้น

            2.3 ยาต้านฮิสตะมีน ไม่แนะนำให้ใช้ ยาต้านฮิสตะมีนรุ่นเก่าในผู้ป่วยไซนัสอักเสบ ที่ไม่ได้มีโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ร่วมด้วย   เนื่องจากอาจทำให้น้ำมูกและสารคัดหลั่งแห้งและเหนียวได้ ในรายที่มีโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ร่วมด้วย  ควรเลือกใช้ยาต้านฮิสตะมีนรุ่นใหม่  เนื่องจากมีผลข้างเคียงดังกล่าวค่อนข้างน้อย  

            2.4  ยาละลายมูกหรือเสมหะ ยังไม่มีการศึกษาที่แสดงถึงประสิทธิภาพของยาละลายมูกในการรักษาโรคไซนัสอักเสบชัดเจน

            2.5 การล้างจมูกด้วยน้ำเกลืออุ่นๆ  เป็นการชะล้างเอาน้ำมูก หนอง  สิ่งสกปรกในจมูก ซึ่งเกิดจากการอักเสบในโพรงจมูกและไซนัสออก เพื่อให้โพรงจมูกและบริเวณรูเปิดของไซนัสโล่ง ทำให้การพัดโบกของขนกวัดที่เยื่อบุจมูกดีขึ้น อาการต่างๆ ของผู้ป่วยจะดีขึ้นเร็ว

            2.6 การสูดดมไอน้ำเดือด จะช่วยทำให้เยื่อบุจมูกยุบบวม  โล่ง อาการคัดจมูกน้อยลง อาการปวดตื้อๆ ที่ศีรษะดีขึ้น นอกจากนั้นยังทำให้การพ่นยาเข้าไปในจมูก มีประสิทธิภาพมากขึ้น 

            2.7 การผ่าตัด ส่วนใหญ่ของผู้ป่วยที่เป็นโรคไซนัสอักเสบ มักจะหายได้โดยการใช้ยาอย่างเต็มที่  ส่วนน้อยที่ต้องรับการผ่าตัด  ดังนั้นในการรักษาจึงพยายามใช้ยาอย่างเต็มที่ก่อน การผ่าตัดเป็นการแก้ไขพยาธิสภาพที่ทำให้รูเปิดระหว่างโพรงจมูกและไซนัสอุดตัน โดยแพทย์จะใช้การผ่าตัดด้วยวิธี Functional Endoscopic Sinus Surgery (FESS) เป็นการผ่าตัดผ่านทางรูจมูกด้วยกล้องเอ็นโดสโคปซึ่งเป็นกล้องขยายที่มีขนาดเล็ก แพทย์จะใช้เครื่องมือที่ถูกออกแบบมาพิเศษในการผ่าตัดนี้และมองภาพขณะผ่าตัดผ่านกล้อง ผู้ป่วยจะได้รับยาชาหรือยาสลบในขณะผ่าตัดโดยขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการป่วย

ปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคไซนัสอักเสบ

  1. เป็นโรคหวัดเรื้อรังโดยไม่ได้รับการดูแลรักษาให้หายขาด
  2. การเกิดการติดเชื้อที่ฟัน เช่น ฟันผุ การถอนฟันแล้วเกิดการติดเชื้อภายหลัง
  3. การถูกกระทบอย่างแรงที่ใบหน้าบริเวณโพรงไซนัส
  4. ผู้ที่มีภาวะของโรคภูมิแพ้
  5. อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดี เช่นย่านโรงงาน หรือ ชุมชนแออัด
  6. ผนังด้านข้างของโพรงจมูกโค้งงอผิดรูป (Paradoxical turbinate)
  7. ต่อมอะดีนอยด์โต หรือ มีสิ่งแปลกปลอมในจมูกเด็กเป็นเวลานานๆ เช่น เมล็ดผลไม้ต่างๆ
  8. ผู้ป่วยที่ใส่ท่อช่วยหายใจ หรือใส่สายให้อาหารทางจมูก อยู่เป็นเวลานาน
  9. ภาวะที่ทำให้เซลล์ขน (Cilia) ซึ่งเป็นเซลล์ผลักดันสารคัดหลั่งออกจากไซนัส เสียไป จึงเกิดการคั่งของสารคัดหลั่งในไซนัส และเกิดการอักเสบติดเชื้อได้ เช่น ในภาวะหลังเป็นโรคหวัด

การติดต่อของโรคไซนัสอักเสบ  โรคไซนัสอักเสบเป็นโรคที่เกิดจากการอักเสบบวมของเยื่อบุไซนัสทำให้เกิดการตีบตันของรูเปิดจากไซนัสที่เข้าสู่โพรงจมูก และเกิดการคั่งค้างของสารคัดหลั่ง (เมือก) ในโพรงไซนัสไม่สามารถกระบายออกและเมื่อมีการสะสมของเมือกมากจึงกลายเป็นหนองขังในไซนัสเกิดอาการต่างๆตามมา โดยโรคไซนัสอักเสบนี้ไม่จัดอยู่ในโรคติดต่อเพราะไม่พบการติดต่อจากคนสู่คน หรือจากสัตว์สู่คนแต่อย่างใด

การปฏิบัติตนเมื่อป่วยเป็นโรคไซนัสอักเสบ

  1. ควรกินยาตามที่แพทย์สั่งให้การรักษาอย่างจริงจัง และติดตามผลการรักษากับแพทย์อย่างต่อเนื่อง
  2. พักผ่อนให้เพียงพอ
  3. ดื่มน้ำมากๆ
  4. สูดดมไอน้ำอุ่น และล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ (ในกรณีที่แพทย์แนะนำและสอนให้ทำ)
  5. หลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ ควันบุหรี่ และมลพิษทางอากาศ
  6. งดดื่มเครื่องดื่มที่ผสมแอลกอฮอล์
  7. หลีกเลี่ยงการว่ายน้ำในสระว่ายน้ำนานๆ เนื่อง จากคลอรีนในสระอาจทำให้เกิดการระคายเคืองเยื่อบุจมูกและไซนัสได้
  8. หลีกเลี่ยงการเดินทางโดยเครื่องบินในขณะที่เป็นไข้หวัด หวัดภูมิแพ้ หรือไซนัสอักเสบกำเริบ ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ ควรกินยาแก้คัดจมูก ได้แก่ สูโดเอฟีดรีน (pseudoephedrine) ครั้งละ 1-2 เม็ดก่อนเดินทาง และซ้ำได้ทุก 6 ชั่วโมงระหว่างเดินทางระยะไกล

การป้องกันตนเองจากโรคไซนัสอักเสบ

  1. หมั่นดูแลสุขภาพทั่วไปให้แข็งแรง (เช่น กินอาหาร สุขภาพ ออกกำลังกาย นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ คลายเครียด)
  2. ป้องกันตนเองจากไข้หวัด ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการป่วยไซนัสอักเสบ หรือหากเป็นไข้หวัดแล้วต้องรีบรักษาให้หายขาดอย่างรวดเร็ว
  3. อยู่ในที่มีอากาศถ่ายเท ไม่มีฝุ่นละออง หรือสิ่งที่จะทำให้เกิดอาการของโรคภูมิแพ้
  4. อย่าให้ร่างกายต้องปรับเปลี่ยนอุณหภูมิอย่างรวดเร็วเกินไป
  5. ไม่ว่ายน้ำ ดำน้ำ ขณะที่มีการติดเชื้อในช่องจมูก
  6. ลด หรือ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
  7. รักษาสุขภาพฟันป้องกันไม่ให้ฟันผุเพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อในช่องปากที่เป็นสาเหตุของโรไซนัสอักเสบ

สมุนไพรที่ช่วยป้องกัน/รักษาโรคไซนัสอักเสบ

ฟ้าทะลายโจร ชื่อวิทยาศาสตร์ Andrographis paniculata (Burm. f.) Nees วงศ์ Acanthaceae สารออกฤทธิ์ andrographolide, deoxyandographolide, didehydro-deoxyandrographolide และneoandrographolide  ฟ้าทะลายโจรให้ผลในการป้องกันหวัดและบรรเทาอาการหวัด การศึกษาในนักเรียนโตช่วงฤดูหนาว ให้กินยาเม็ดฟ้าทะลายโจรแห้ง ขนาด 200 มก./วัน ในเดือนแรกของการทดลองยังไม่พบความแตกต่างระหว่างกลุ่มที่กินยาและกลุ่มควบคุม หลังจาก 3 เดือนของการทดลอง อุบัติการณ์การเป็นหวัดลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม อัตราการเป็นหวัดในกลุ่มที่ได้รับฟ้าทะลายโจรเท่ากับ 20% ในขณะที่กลุ่มควบคุมมีอัตราการเป็นหวัดเท่ากับ 62%  การศึกษาทางคลินิก ในผู้ที่มีอาการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจส่วนบนอย่างเฉียบพลัน รวมทั้งกลุ่มอาการไซนัสอักเสบด้วย กลุ่มทดลอง 95 คน รับประทานยา Kan Jang (ประกอบด้วยสารสกัดมาตรฐานของฟ้าทะลายโจร 85 มก. (มี andrographolide 5 มก.) และสารสกัด Eleutherococcus senticosus 120 มก.) กลุ่มควบคุม 90 คน รับประทานยาหลอก ทั้งสองกลุ่มรับประทานยานาน 5 วัน วัดผลโดยให้คะแนนจากการประเมินอุณหภูมิ อาการปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ อาการแสดงทางคอ ไอ อาการแสดงทางจมูก ความรู้สึกไม่สบายตัว และอาการทางตา ผลการศึกษาพบว่า คะแนนรวมทั้งหมดของกลุ่มทดลองสูงกว่ากลุ่มควบคุม โดยจะมีอาการปวดศีรษะ อาการทางจมูก อาการทางคอ และความรู้สึกไม่สบายตัวลดลง

ปีบ ชื่ออื่นๆ  กาซะลอง กาดสะลอง (เหนือ)  ชื่อวิทยาศาสตร์  Millingtonia hortensis L.f. ชื่อวงศ์Bignoniaceae  สรรพคุณ ตำรายาไทย ดอก รสหวานขมหอม ขยายหลอดลม มวนเป็นบุหรี่สูบรักษาหืด สูบแก้ริดสีดวงจมูก ไซนัสอักเสบ บำรุงน้ำดี เพิ่มการหลั่งน้ำดี บำรุงโลหิต  องค์ประกอบทางเคมี  ดอกมีสารฟลาโวนอยด์ hispidulin ช่วยขยายหลอดลม และพบฟลาโวนอยด์อื่นๆ ได้แก่ scutellarein, scutellarein-5-galactoside, hortensin, cornoside, recimic, rengyolone, rengyoside B, rengyol, rengyoside A,  iso rengyol, millingtonine ใบพบฟลาโวนอยด์ hispidulin, dinatin และสารอื่นๆได้แก่ ß carotene, rutinoside เปลือกต้น พบสารที่ให้ความขม และสารแทนนิน รากพบ Lapachol, β-sitosterol, poulownin

 

 

เอกสารอ้างอิง

  1. ผศ.นพ.สุรเกียรติ อาศนะเสน.ไซนัสอักเสบ..รักษาได้.สาขาวิทยาโรคจมูกและภูมิแพ้ ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล.
  2. รศ.นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.ไซนัสอักเสบ.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่332.คอลัมน์สารานุกรมทันโรค.ธันวาคม.2549
  3. ไซนัสอักเสบ-อาการ,สาเหตุ,การรักษา.พบแพทย์ดอทคอม(ออนไลน์)เข้าถึงได้จากhttp://www.pobpad.com
  4. Caceres DD, Hancke JL, Burgos RA, Wikman GK.  Prevention of common colds with Andrographis paniculata dried extract. A pilot double blind trial.  Phytomedicine 1997;4(2):101-4.
  5. ฟ้าทะลายโจร.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
  6. หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2.  “ไซนัสอักเสบ (Sinusitis)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 464-465.
  7. ปีบ.ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.(ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก http://www.phargarden.com/main.php?action=viewpage&pid=237
  8. Gabrielian ES, Shukarian AK, Goukasova GI, Chandanian GL, Panossian AG, Wikman G, Wagner H.  A double blind, placebo-controlled study of Andrographis paniculata fixed combination Kan Jang in the treatment of acute upper respiratory tract infections including sinusitis.  Phytomedicine 2002;9:589-97.