ยอ ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย

ยอ งานวิจัยและสรรพคุณ 37 ข้อ

ชื่อสมุนไพร ยอ
ชื่ออื่น/ขื่อท้องถิ่น ยอบ้าน (ภาคกลาง), มะตาเสื่อ (ภาคเหนือ), แยใหญ่ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), Noni (ฮาวาย), Meng kudu (มาเลเซีย), Ach (ฮินดู)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Morinda citrifolia
ชื่อสามัญ Indian mulberry
วงศ์ Rubiaceae


ถิ่นกำเนิดลูกยอ

ยอ (Morinda citrifolia) เป็นผลไม้เขตร้อนพบได้ทั่วไปบันทึกว่ามีการรับประทานลูกยอเป็นอาหารมานานกว่า 2000 ปี แล้ว โดยยอเป็นพืชพื้นเมืองในแถบโพลินีเซียตอนใต้ (Polynesia) และได้แพร่กระจายไปยังประเทศอื่นๆ โดยมีตำนานว่า คนในสมัยโบราณ [ที่ปัจจุบันเรียกกันว่าขาว เฟร้นซ์ โพลินีเซีย (French Polynesia)] ซึ่งอยู่ในแถบตอนใต้ของมหาสมุทรแปซิฟิก พวกเขาได้เดินทางจากเกาะหนึ่งไปยังอีกเกาะหนึ่งโดยเรือแคนู และได้นำพืชศักดิ์สิทธิ์จากหมู่เกาะเดิมของพวกเขามาด้วย พืชนั้นเป็นทั้งอาหารขึ้นพื้นฐานที่เสริมสร้างส่วนต่างๆ ของร่างกาย และเพื่อเป็นยารักษาโรค ซึ่งใช้สืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ คนโบราณรุ่นแล้วรุ่นเล่า ได้ช่วยกันบันทึก และจดจำต่อมายังลูกหลานว่าผลของต้นโนนิช่วยบำบัดอาการป่วยเบื้องต้นได้ โดยชาวโพลินีเซีย ชาวจีน ชาวอินเดีย รู้จักใช้ประโยชน์จากลูกยอมานานแล้ว ส่วนการแพร่กระจายพันธุ์ของยอ นั้นเกิดขึ้นจากถูกนำติดตัวเข้าไปยังหมู่เกาะแปซิฟิกตอนใต้ โดยบรรดาผู้อพยพ และมันสามารถเจริญงอกงามได้ดีในดินภูเขาไฟที่ไร้มลพิษ และมีการแพรกระจายพันธุ์ไปยังดินแดนใกล้เคียง

           แต่อีกตำราหนึ่งระบุว่าเป็นไม้พื้นเมืองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่มีผู้นำไปแพร่พันธุ์จนกระจายไปทั่วอินเดีย และตามหมู่เกาะต่างๆ ในมหาสมุทรแปซิฟิก และหมู่เกาะอินดัสตะวันตก ต้นยอขึ้นได้ทั้งในป่าทึบ หรือ ตามชายฝั่งทะเลที่เป็นโขดเขา หรือ พื้นทราย ต้นโตเต็มที่เมื่ออายุครบ 18 เดือน และจะออกผล

           ซึ่งในปัจจุบันพืชชนิดนี้เป็นที่รู้จักกันทั่วโลก ในประเทศไทยรู้จักกันในชื่อ “ยอ ” ในประเทศมาเลเซียรู้จักกันในชื่อ “เมอกาดู” (Mergadu) ในเอเชียได้เรียกว่า “นเฮา” (Nhau) แถบหมู่เกาะตอนใต้ของมหาสมุทรแปซิฟิกเรียกกันว่า “โนนู” และในเกาะซามัว ทองกา ราราทองกา ตาฮิติ เรียกกันว่า “โนโน” หรือว่า “โนนิ” 


ประโยชน์และสรรพคุณยอ
 

  1. ช่วยขับลมในลำไส้
  2. ช่วยขับผายลม
  3. ช่วยบำรุงธาตุ
  4. ทำให้เจริญอาหาร
  5. แก้สะอึก
  6. แก้เหงือกเปื่อย เหงือกบวม
  7. ขับเลือดลม
  8. ช่วยฟอกเลือด
  9. ขับน้ำคาวปลา
  10. แก้เสียงแหบแห้ง
  11. แก้ตัวเย็น
  12. แก้ร้อนในอก
  13. แก้กษัย
  14. แก้อาเจียน 
  15. แก้ประจำเดือนมาไม่ปกติ ขับระดูสตรี ขับระดูเสีย
  16. เป็นยาระบาย
  17. ใช้ทาแก้แผลเรื้อรัง
  18. แก้ไข้
  19. ช่วยฆ่าเหา
  20. แก้ปวดเมื่อยตามข้อมือข้อเท้า
  21. แก้โรคเกาต์
  22. แก้ท้องร่วงในเด็ก
  23. แก้วัณโรค
  24. แก้คลื่นเหียนอาเจียน
  25. แก้ไอ
  26. ช่วยขับเสมหะ
  27. แก้จุกเสียดแน่นท้อง
  28. แก้โรคเบาหวาน
  29. ช่วยป้องกันโรคในระบบหัวใจ และหลอดเลือด
  30. แก้โรคมะเร็ง
  31. รักษากุ้งยิง
  32. ใช้รักษาอาการเจ็บ หรือ แผลตกสะเก็ดรอบปาก หรือ ข้างในปาก
  33. แก้คอเจ็บ
  34. แก้เท้าแตก
  35. ใช้ทาผิวฆ่าเชื้อโรค
  36. ฆ่าพยาธิในร่างกาย
  37. รักษาโรคกรดไหลย้อน

           ตำรายาไทยมีการใช้ ผลยอ ใน "พิกัดตรีผลสมุฎฐาน" คือ การจำกัดจำนวนตัวยาที่มีผลเป็นที่ตั้ง 3 อย่าง มีผลมะตูม ผลยอ ผลผักชีลา สรรพคุณแก้สมุฎฐานแห่งตรีโทษ ขับลมต่างๆ แก้โรคไตพิการ ส่วนอีกตำราหนึ่งระบุว่าสรรพคุณของส่วนต่างๆ ของยอไว้ดังนี้ ราก สรรพคุณเป็นยาระบาย แก้ท้องผูก ใบยอ รสขมเฝื่อน สรรพคุณบำรุงธาตุ แก้ไข้ ฆ่าเหา ปวดข้อ คั้นน้ำทา แก้โรคเกาต์ แก้ท้องร่วงในเด็ก แก้เหงือกบวม คั้นน้ำทาแก้แผลเรื้อรัง แก้กษัย ผสมยาอื่นแก้วัณโรค ผลดิบ หรือ แก่ รสเผ็ดร้อน สรรพคุณขับลม บำรุงธาตุ เจริญอาหาร ขับโลหิต ระดูของสตรี ฟอกเลือด แก้คลื่นเหียนอาเจียน ผสมยาแก้สะอึก อมแก้เหงือกเปื่อย แก้เสียงแหบแห้ง แก้ร้อนในอก ผลสุก ของยาบ้าน มีกลิ่นฉุน สรรพคุณผายลมในลำไส้ ต้น ใช้เป็นส่วนผสมกับสมุนไพรอื่นเป็นยารักษาวัณโรค ดอก เป็นส่วนผสมของสมุนไพรตัวอื่นเป็นยารักษาวัณโรค

           ประโยชน์ของยอ นั้นมีทั้งในด้านการนำไป บริโภคเป็นอาหาร และการนำมาใช้เป็นยาสมุนไพร ในร้านของ การนำมาบริโภคนั้น มีมากมายหลายรูปแบบดังนี้ มีการ บริโภคผลยอกันมาก ทั้งดิบๆ หรือ ปรุงแต่งเช่น บางหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก กินผลยอเป็นอาหารหลัก ส่วนชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และชาวพื้นเมืองออสเตรเลียกินผลยอดิบจิ้มเกลือ หรือ ปรุงกับผงกะหรี่ และใช้เมล็ดของยอคั่วรับประทานได้ ส่วนใประเทศไทยนั้นบริโภคยอโดย ลูกยอสุก นำมาจิ้มกินกับเกลือ หรือ กะปิลูกห่ามใช้ทำส้มตำใบอ่อน นำมาลวกกินกับน้ำพริก ใช้ทำแกงจืด แกงอ่อม ผัดไฟแดง หรือ นำมาใช้รองกระทงห่อหมก ในปัจจุบันมีการนำลูกไปแปรรูปโดยคั้นเป็น น้ำลูกยอ โดยเชื้อกันว่ามีประโยชน์ ทางด้านคุณค่าของอาหารที่มี วิตามินซี วิตามินเอ และธาตุโพแทสเซียมสูง นอกจากนั้นจะมีลักษณะเหมือนพืชผักผลไม้จำนวนมากเพราะมีสารแอนติออกซิแดนท์ หรือ สารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งถือว่าช่วยชะลอการแก่ของเซลล์ และต้านมะเร็งได้

ยอ

รูปแบบและขนาดวิธีใช้ยอ

แก้อาเจียนที่เกิดจากธาตุไม่ปกติ ใช้ผลดิบ หรือ ห่าม(ยังไม่สุก) ฝานเป็นชิ้นบางๆ ย่าง หรือ คั่วไฟอ่อนๆ ให้เหลือง ใช้ครั้งละ 2 กำมือ น้ำหนักประมาณ 10-15 กรัม ต้ม หรือ ชงน้ำดื่มจิบแต่น้ำบ่อยๆ ขณะที่มีอาการ ถ้าดื่มครั้งละมากๆ จะทำให้อาเจียน

           ใบสดใช้ต้มน้ำดื่ม หรือ นำมาบดตากแห้งชงเป็นชาดื่ม รวมถึงใส่แคปซูลรับประทาน ช่วยแก้กระษัย แก้ปวดเมื่อยตามข้อมือข้อเท้า แก้ท้องร่วง ลดไข้ แก้ไอ ขับเสมหะ แก้จุกเสียดแน่นท้อง แก้โรคเบาหวาน ป้องกันโรคในระบบหัวใจ และหลอดเลือด แก้โรคมะเร็ง

           ดอกใช้ต้มน้ำดื่ม หรือ นำมาตากแห้งชงเป็นชาดื่ม แก้วัณโรค โรคเบาหวาน ป้องกันโรคหัวใจ และหลอดเลือด ต้านโรคมะเร็ง

           เนื้อผลมีรสเผ็ดร้อน มีสารออกฤทธิ์ คือ asperuloside ใช้แก้อาเจียน ช่วยขับลมในกระเพาะอาหาร และลำไส้ ช่วยขับประจำเดือน แก้ประจำเดือนมาไม่ปกติ ช่วยลดไข้ แก้ไอ ขับเสมหะ

           รากนำมาต้ม หรือ ดองเหล้ารับประทานเป็นยาระบาย แก้กระษัย ช่วยเจริญอาหาร ป้องกันโรคมะเร็ง โรคในระบบหัวใจ และหลอดเลือด

           ไอระเหยจากลูกยอ ใช้รักษากุ้งยิง ลูกยอดิบ ใช้รักษาอาการเจ็บ หรือ แผลตกสะเก็ดรอบปาก หรือ ข้างในปาก ลูกยอสุก ใช้รับประทาน ลูกยอบดละเอียดใช้กลั้วคอแก้คอเจ็บ ใช้ทาเท้าแก้เท้าแตก ใช้ทาผิวฆ่าเชื้อโรค หรือรับประทานเพื่อฆ่าพยาธิในร่างกาย

           ช่วยรักษาโรคกรดไหลย้อน ด้วยการทำเป็นเครื่องดื่ม ใช้คู่กับหัวหญ้าแห้วหมู อย่างแรกให้เลือกลูกยอห่าม นำมาหั่นเป็นแว่นๆ ไม่บาง หรือ หนาจนเกินไป แล้วนำไปย่างไฟอ่อนๆ โดยย่างให้เหลืองกรอบ สำหรับหญ้าแห้วหมู ให้เอาส่วนหัวใต้ดินที่เราเรียกว่าหัวแห้วหมู นำไปคั่วให้เหลือง และมีกลิ่นหอม เมื่อเสร็จแล้วให้ตั้งไฟต้มน้ำจนเดือดแล้วเอาตัวยาทั้งสองชนิดลงไปต้มพร้อมกัน ใส่น้ำตาลกรวดพอหวาน ทิ้งไว้สักพักแล้วยกลงจากเตา รอจนอุ่นแล้วนำมารับประทาน ส่วนที่เหลือให้กรองเอาแต่น้ำแช่ไว้ในตู้เย็นแล้วค่อยอุ่นรับประทาน ให้ดื่มติดต่อกัน 1 สัปดาห์ ช่วยแก้อาการเจ็บคอ ด้วยการใช้ลูกยอดิบนำไปเผาไฟให้สุก และแช่ในน้ำต้มสุก แล้วรินเอาแต่น้ำดื่มเพื่อบรรเทาอาการ

           วิธีการใช้ยอรักษาอาการอาเจียน ตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข (สาธารณสุขมูลฐาน) นำผลยอดิบที่โตเต็มที่แล้วมาฝานเป็นแผ่นบางๆ จากนั้นนำมาตากแห้ง แล้วคั่วในกระทะบนไฟกรุ่นๆ ให้แห้งเกรียม นำมาบดเป็นผง แล้วใช้ผงมาประมาณ 20 กรัม ชงกับน้ำเดือดใหม่ๆ 1 ลิตร แช่ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที กรองเอาแต่น้ำใส่กระติกน้ำร้อนไว้ จิบน้ำยาประมาณ 30 มิลลิลิตร ทุก 2 ชั่วโมง เวลาคลื่นไส้ อาเจียน

ลักษณะทั่วไปของยอ

           ลำต้นยอเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก มีความสูงประมาณ 2-6 เมตร ลำต้นมีขนาดเล็ก ขนาดโตเต็มที่ 5-10 เซนติเมตร ขึ้นกับอายุ และความอุดมสมบูรณ์ของดิน เปลือกลำต้นบางติดกับเนื้อไม้ ผิวเปลือกออกสีเหลืองนวลแกมขาว หยาบสากเล็กน้อย แตกกิ่งน้อย 3-5 กิ่ง ทำให้แลดูไม่เป็นทรงพุ่ม

           ใบ ใบเป็นใบเดี่ยว (simple leaf) แทงออกตรงข้ามกันซ้ายขวา มีรูปทรงรี หรือ ขอบขนาน ใบกว้างประมาณ 10-20 ซม. ยาวประมาณ 15-30 ซม. ใบอ่อนสีเขียวสด เมื่ออายุใบมากจะมีสีเขียวเข้ม ก้านใบยาวประมาณ 1 ซม. โคนใบ และปลายใบมีลักษณะแหลม ขอบใบ และผิวใบเป็นคลื่น ผิวใบมันเกลี้ยงทั้งสองด้าน ด้านบนใบมักพบเป็นตุ่มที่เกิดจากแบคทีเรีย

           ดอก ดอกออกเป็นช่อกลมเดี่ยวๆ สีขาว รูปทรงเหมือนหลอด ดอกแทงออกตามง่ามใบ ก้านช่อดอกยาวประมาณ 3-4 ซม. ไม่มีก้านดอกย่อย จัดเป็นดอกสมบูรณ์เพศที่มีทั้งเกสรตัวผู้ และเกสรตัวเมีย กลีบรองดอก และโคนกลีบดอกเชื่อมติดกัน กลีบดอกมีสีขาว เป็นรูปท่อ ยาวประมาณ 8-12 มม. ผิวดอกด้านนอกเรียบ ด้านในมีขน ดอกส่วนครึ่งปลายบนแยกเป็น 4-5 แฉก ยาวประมาณ 4-5 มม. เกสรตัวผู้ และเกสรตัวเมีย ยาวประมาณ 15 มม. แยกเป็น 2 แฉก อับเรณูยาวประมาณ 3 มม.

           ผล ผลเป็นชนิดผลรวม (multiple fruit) เช่นเดียวกับน้อยหน่า และขนุน เชื่อมติดกันเป็นผลใหญ่ดังที่เราเรียกผลหรือหมาก ขนาดผลกว้างประมาณ 3-5 ซม. ยาว 3-10 ซม. ผิวเรียบเป็นตุ่มพอง ผลอ่อนจะมีสีเขียวสด เมื่อแก่จะมีสีเหลืองอมเขียว และเมื่อสุกจะมีสีเหลือง มีเปลี่ยนเป็นสีขาวจนเน่าตามอายุผล เมล็ดในผลมีจำนวนมาก เมล็ดมีลักษณะแบน ด้านในเมล็ดเป็นถุงอากาศทำให้ลอยน้ำได้ ผิวเมล็ดมีสีนํ้าตาลเข้ม

           นอกจากนี้ยังสามารถแบ่งสายพันธุ์ของยอ ได้อีกดังนี้

  • M. citrifolia var. citrifolia เป็นสายพันธุ์ที่มีผลหลายขนาด พบได้บริเวณหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก เช่น ฮาวาย ตาฮิติ เป็นต้น
  • M. citrifolia var. bracteata เป็นสายพันธุ์ที่มีผลเล็ก พบมากในทวีปเอเชีย เช่น ไทย พม่า ลาว จีนตอนใต้ เวียดนาม มาเลียเชีย อินโดนีเซีย อินเดีย และหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก
  • M. citrifolia cultivar potteri เป็นสายพันธุ์ที่ใบมีทั้งสีเขียว และสีขาว พบทั่วไปบริเวณหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก

ยอ

ลูกยอ

ยอ

การขยายพันธุ์ยอ

การปลูกยอนิยมปลูกด้วยการเพาะเมล็ด แต่สามารถขายพันธุ์ด้วยวิธีอื่นได้เช่นกัน เช่น การปักชำ การตอน แต่การเพาะเมล็ดจะให้ผลที่ดีกว่าและอัตราการรอดจะสูงกว่าวิธีอื่น โดยการเพาะเมล็ดจะใช้วิธีการบีบแยกเมล็ดออกจากผลสุก แล้วล้างด้วยน้ำ และกรองเมล็ดออก ผลที่ใช้ต้องเป็นผลสุกจัดที่ร่วงจากต้นที่มีสีขาว เนื้อผลอ่อนนิ่ม ซึ่งจะได้เมล็ดที่มีสีดำ หรือ สีน้ำตาลเข้ม เมล็ดที่ได้ต้องนำไปตากแห้ง 3-5 วันก่อน และนำมาเพาะในถุงเพาะชำให้มีต้นสูงประมาณ 30 เซนติเมตร ก่อนนำลงปลูก ต้นยอ เป็นพันธุ์ไม้ที่ดูแลง่ายไม่ค่อยมีแมลงศัตรูพืช หรือ โรคพืชมาก และยังเป็นพืชที่ทนทานต่อสภาพดินเค็ม และสภาวะแห้งแล้งอีกด้วย จึงทำให้มีการแพร่กระจายพันธุ์อย่างรวดเร็ว


องค์ประกอบทางเคมี

สาระสำคัญที่เป็นองค์ประกอบในยอ ทั้งในส่วนของ ผล ใบ และราก มีหลายชนิด เช่น scopoletin, octoanoic acid, potassium, vitamin C, terpenoids, Asperuloside, Proxyronine สารในกลุ่ม anthraquinones เช่น anthraquinone glycoside, morindone และ rubiadin รวมถึง flavonoids, triterpenoids, triterpenes, saponins, carotenoids, vitamin E นอกจากนี้ยังมี vitamin A, amino acid, ursolic acid, carotene และ linoleic acid ซึ่งสารเหล่านี้สารชนิดได้มีการทดสอบคุณสมบัติของสารแล้วว่ามีผลที่สามารถนำมาใช้ทางการแพทย์ได้ นอกจากนี้ยังพบสารชนิดใหม่ที่ชื่อว่า flavone glycoside และ iridoid glycoside ในใบยอโดยสารทั้งสองมีผลยังยั้ง cell transformation ของ mouse epidermal JB6 cell line

รูปแบบองค์ประกอบทางเคมีของยอ


การศึกษาทางเภสัชวิทยาของยอ

ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่เกี่ยวกับแก้คลื่นไส้ อาเจียนการศึกษาการใช้น้ำผลยอในการระงับอาเจียน โดยเปรียบเทียบกับยา metoclopramide ซึ่งเป็นยาแก้อาเจียน และน้ำชาซึ่งใช้ในกลุ่มควบคุม ในผู้ป่วยมาลาเรีย 92 ราย ที่มีอาการคลื่นไส้อาเจียน ชาย 68 ราย หญิง 24 ราย อายุระหว่าง 15 -55 ปี แบ่งเป็นกลุ่มที่ 1 ใช้น้ำผลยอ 30 มล. รับประทานทุก 2 ชั่วโมง กลุ่มที่ 2 รับประทานน้ำชา 30 มล. ทุก 2 ชั่วโมง และกลุ่มที่ 3 ใช้ยา metoclopramide 1 เม็ด (5 มก.) เวลามีอาการคลื่นไส้อาเจียนทุก 4 ชั่วโมง จดบันทึกจำนวนครั้งการอาเจียนก่อน และหลังการให้ยาทุกราย จากการศึกษาพบว่าค่าเฉลี่ยจำนวนครั้งการอาเจียนก่อนให้ยาทั้ง 3 กลุ่ม มีค่าไม่แตกต่างกัน แต่จำนวนการอาเจียนกลุ่มที่ใช้ยา metoclopramide มีน้อยที่สุดรองลงมา คือยอ และน้ำชามีค่าเฉลี่ยมากที่สุด แสดงว่ายอลดอาการอาเจียนได้มากกว่าน้ำชา

           เมื่อศึกษากลไกการออกฤทธิ์พบว่าผลยอมีฤทธิ์ต้าน dopamine อย่างอ่อน สารสกัดน้ำของผลยอสามารถเร่งการบีบตัวของลำไส้เล็กในหนูเม้าส์ที่ได้ถูกกระตุ้นให้อาเจียนด้วย  apomorphine แต่ไม่สามารถต้านฤทธิ์ของ apomorphine ในการลดการบีบตัวของกระเพาะอาหารได้

           ฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย (Antibacterial activity) มีรายงานว่าสาร acubin L-asperuloside และ alizarin ในผลลูกยอเป็น antibacterial agent สามารถป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียต่างๆ ได้ เช่น Pseudomonas aeruginosa Proteus morgaii S Staphylococcus aureus Bacillus subtilis Escherichia coilSalmonella และ Shigella

           ฤทธิ์ต้านเชื้อไวรัส (Antitviral activity) มีรายงานการค้นพบสารชนิดหนึ่งจากรากของต้นยอชื่อว่า 1-methoxy-2-formyl-3-hydroxy anthraquinone ซึ่งมีฤทธิ์ในการยังยั้งการเกิด cytopathic effect ของเชื้อ HIV ต่อการ infect MT4 cell โดยไม่มีการยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์

           ฤทธิ์ต้านเชื้อวัณโรค (Antitubercular effects) มีการรายงานพบว่าลูกยอสามารถกำจัดการติดเชื้อวัณโรคได้ถึง 97% เปรียบเทียบกับยา antibiotic เช่น Rifampcin

           ฤทธิ์ระงับความปวด (Analgesic activity) มีรายงานว่าสารสกัดจากรากยอมีฤทธิ์ระงับปวดในสัตว์ทดลอง และผลจากการวิจัย โดย ผศ.ดร.ทัศนีย์ ปัญจานนท์ พบว่าสารสกัดจากผลยอไทยมีฤทธิ์ระงับปวดในสัตว์ทดลอง


การศึกษาทางพิษวิทยาของยอ

การทดสอบความเป็นพิษ สารสกัดเอทานอลกับน้ำ (1:1) จากส่วนเหนือดินฉีดเข้าทางช่องท้องหนูพบว่า ค่า LD50 เท่ากับ 0.75 ก./กก. สารสกัดเมทานอลกับน้ำจากผลฉีดเข้าทางช่องท้องหนูเพศผู้พบว่า ค่า LD50 มีค่ามากกว่า 1 ก./กก.น้ำหนักตัว ส่วนอีกการทดลองพบว่า สารสกัดเอทานอลกับน้ำ (1:1) จากส่วนเหนือดินขนาด 10 ก./กก. ให้ทางสายยางสู่กระเพาะหนู หรือ ฉีดเข้าใต้ผิวหนังไม่แสดงความเป็นพิษ

           การทดสอบพิษกึ่งเรื้อรังในหนูแรทโดยป้อนสารสกัดจากผลยอ ไม่พบความผิดปกติใดๆ ในค่าตรวจทางชีวเคมีในเลือด และค่าตรวจทางโลหิตวิทยา นอกจากนี้การทดสอบความเป็นพิษโดยใช้สารสกัดด้วยน้ำจากผลยอแห้ง ก็ไม่พบความเป็นพิษทั้งแบบเฉียบพลัน และแบบเรื้อรัง

           พิษต่อเซลล์ น้ำคั้นจากผลขนาด 6.25 มก./มล. ทดสอบในเซลล์เพาะเลี้ยงพบว่ามีความเป็นพิษต่อเซลส์ CAa-IIC ขณะที่สารสกัดเม-ทานอลจากใบ ทดสอบในเซลล์เพาะเลี้ยง ไม่พบความเป็นพิษต่อเซลล์ CFI IS-RA II สารสกัดคลอโรฟอร์มและน้ำจากรากทดสอบในเซลล์เพาะเลี้ยงพบว่ามีผลต่อการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของเซลล์ ขณะที่สารสกัดเฮกเซน และเมทานอลจากรากไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของเซลล์

           ฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ สารสกัดด้วยแอลกอฮอล์จากผลไม่มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ เมื่อทดสอบใน Bacillus subtilis


ข้อแนะนำและข้อควรระวัง

  1. สารโพรซีโรนินที่พบในน้ำลูกยอ ต้องการน้ำย่อยเปปซิน (Pepsin) และสภาพความเป็นกรดในกระเพาะ เพื่อเปลี่ยนเป็นซีโรนิน ดังนั้น หากรับประทานน้ำลูกยอขณะที่ท้องอิ่มแล้วจะทำให้มีผลทางเภสัชของสารซีโรนินน้อยลง
  2. คุณค่า และสรรพคุณน้ำลูกยอจะลดลงเมื่อรับประทานร่วมกับแอลกอฮอล์
  3. การบด หรือ การสกัดน้ำลูกยอไม่ควรทำให้เมล็ดยอแตก เพราะสารในเมล็ดยอมีฤทธิ์เป็นยาระบายอาจทำให้ถ่ายบ่อยได้
  4. ผู้ป่วยโรคไตไม่ควรดื่มน้ำลูกยอ เพราะมีเกลือโพแทสเซียมสูง อาจทำให้เกิดภาวะหัวใจวายเฉียบพลันได้
  5. สตรีมีครรภ์ไม่ควรบริโภคลูกยอ เพราะผลยอมีฤทธิ์ขับโลหิต อาจทำให้แท้งบุตรได้

เอกสารอ้างอิง ยอ
  1. มากคุณค่าน้ำลูกยอ.สภาภรณ์ ปิติพร.2545.
  2. อัญชลี จูฑะพุทธิ, ปุณฑริกา ณ พัทลุง, อุไรวรรณ เพิ่มพิพัฒน์, เย็นจิตร เตชะดำรงสิน. การศึกษาฤทธิ์ต้านอาเจียนของผลยอ. ไทยเภสัชสาร 2539;20(3):195-202.
  3. ผลของใบยอ และฟ้าทะลายโจร ต่อการเปลี่ยนแปลงสี และอัตราการจับกินเชื้อโรคของเม็ดเลือดขาวในปลาทอง (Carasius auratus.) ชฎาธาร โทนเดียว,2527.
  4.  วิชัย เอกพลากร, สำรวย ทรัพย์เจริญ, ประทุมวรรณ์ แก้วโกมล และคณะ. การศึกษาทางคลินิกของผลยอในการระงับอาการอาเจียน. รายงานการวิจัยโครงการสมุนไพร กับการสาธารณสุขมูลฐาน สำนักงานคณะกรรมการการสาธารณสุขมูลฐาน กระทรวงสาธารณสุข.
  5. ยอ.สมุนไพรที่มีการใช้ในผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์. สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คระเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
  6. ลูกยอ/ใบยอ น้ำลูกยอและสรรพคุณยอ.พืชเกษตรดอทคอม (ออนไลน์) เข้าถึงได้จาก http://pechkaset.com
  7. ยอ. ฐานข้อมูลเครื่องยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี (ออนไลน์) เข้าถึงได้จาก http://www.thaicrudeug.com/main.php?action=viewpage&pid=111
  8. ยอ .สมุนไพรไทยสรรพคุณสารพัดที่หลายคนมองข้าม.ศูนย์ปฏิบัติการช่างเกษตร สำนักงานเกษตรจังหวัดนราธิวาส
  9. ยอ.สมุนไพรที่มีการใช้ในงานสาธารณสุขมูลฐาน.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
  10. สุทธิพันธ์ สาระสมบัติ. การพัฒนายาเพิ่มภูมิคุ้มกันจากสมุนไพร: ยอบ้าน (Morinda citrifolia L.). รายงานการวิจัยสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ, 2546.
  11. Khurana H, Junkrut M, Punjanon T. Analgesic activity and genotoxicity of Morinda citrifolia. Thai J Pharmacol 2003;25(1):86.
  12. Mokkhasmit M, Swatdimongkol K, Satrawaha P. Study on toxicity of Thai medicinal plants. Bull Dept Med Sci 1971;122/4:36-65.
  13. Charoenpiriya A, Phivthong-ngam L, Srichairat S, Chaichantipyuth C, Niwattisaiwong N, Lawanprasert S. Subacute effects of Morinda citrifolia fruit extract on hepatic cytochrome P450 and clinical blood chemistry in rats. Thai J Pharm Sci 2003;27(suppl):69.
  14. Hiramatsu T,Imoto M,Koyano T, Umezawa K. Induction of normal phenotypes in ras- transformed cell by damnacanthal from Morinda citrifolia. Cancer Lett 1993;73(2/3):161-6.
  15. Dhawan BN,Patnalk GK, Rastogi RP, et al. Screening of Indian plant for biological activity. VI. Indian J Exp Biol 1977;15:208-19.
  16. Hirazumi A, Furusawa E. An immunomodulatory polysacharide-rich substance from the fruit juice of Morinda citrifolia (Noni) with antitomour activity. Phytother Res 1999;135:380-7.
  17. Nakahishi K, Sasaki SI, Kiang AK, et al. Phytochemical survey of Malaysian plant preliminary chemical and phramacological screening. Chem Pharm Bull 1965;137:882-90.
  18. Murakami A, Kondo A, Nahamura Y, Ohigashi H, Koshimizu K. Possible anti-tumor promoting properties of edible plants from Thailand and identification of an active constituent, cardamomin, of Boesenbergia pandurata. Biosci Biotech Biochem 1993;57(11):1971-3.