โรคพาร์กินสัน

โรคพาร์กินสัน (Parkinson ‘s disease)

1.  โรคพาร์กินสันคืออะไร  ทุกท่านคงเคยพบเห็นผู้สูงอายุ ซึ่งอาจเป็นคนในครอบครัว หรืออื่นๆที่พบเห็นทั่วไป มีอาการ แขนและมือสั่นข้างใดข้างหนึ่ง หรืออาจ ๒ ข้าง ซึ่งมักสั่นในท่าพักที่ไม่ได้ทำกิจกรรมอะไร มีอาการเคลื่อนไหวเชื่องช้า และมีอาการทรงตัวผิดปกติ  โดยปกติร่างกายคนเราเมื่อเข้าสู่วัยชราก็เป็นธรรมดาที่โรคภัยไข้เจ็บจะมาเยือนอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก ซึ่งหนึ่งในจำนวนหลาย ๆ โรคที่เกิดได้แก่ "โรคพาร์กินสัน" ซึ่งเกิดจากความผิดปกติของระบบประสาทส่วนกลางที่จะส่งผลให้เกิดอาการสั่น เกร็ง และเคลื่อนไหวช้า

โรคพาร์กินสันมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าโรคสันนิบาต หรือโรคสั่นสันนิบาต (Parkinson’s disease) หรือโรคที่คนไทยสมัยโบราณรู้จักกันในชื่อ โรคสันนิบาตลูกนกเป็นโรคทางสมองที่เกิดจากเซลล์สมองในบางตำแหน่งเกิดมีการตายโดยไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด จึงทำให้สารสื่อประสาทในสมองที่มีชื่อว่า โดพามีน” (Dopamine) ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายมีการตายและลดจำนวนลง จึงทำให้ร่างกายของผู้ป่วยเกิดอาการสั่น แขนขาเกร็ง เคลื่อนไหวร่างกายช้า และสูญเสียการทรงตัว ซึ่งอาการเหล่านี้จะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปและทวีความรุนแรงขึ้นอย่างช้า ๆ และในปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาโรคนี้ให้หายขาดได้  ชื่อโรคพาร์กินสัน ได้มาจากชื่อของแพทย์ชาวอังกฤษชื่อ นายแพทย์เจมส์ พาร์กินสัน ซึ่งเป็นแพทย์คนแรกที่ได้อธิบายถึงลักษณะอาการของโรคนี้ในปี พ.ศ.๒๓๖๐โรคพาร์กินสันมักพบในผู้ป่วยสูงอายุ โดยมากจะพบตั้งแต่อายุ ๖๐ ปีขึ้นไป โดยพบในผู้ป่วยเพศหญิงมากกว่าเพศชายเล็กน้อย 

ในอดีตคนไทยน้อยคนที่จะรู้จักโรคนี้ ในยุคปัจจุบัน (ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๔๐เป็นต้นมา) คนไทยมีอายุเฉลี่ยยืนยาวกว่าเดิมมาก คือ ผู้ชายอายุเฉลี่ยถึง ๖๗.๔ ปี ส่วนผู้หญิงอายุเฉลี่ย ๗๑.๗ ปี (อดีตคนไทยเราอายุเฉลี่ยเพียง ๔๕ ปี) ดังนั้นโรคในผู้สูงอายุจึงพบบ่อยขึ้นมากในคนไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคทางระบบประสาทอย่างโรค  โรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease)

เนื่องจากโรคพาร์กินสันเป็นโรคที่พบได้บ่อยและมีปัญหาต่อการดำเนินชีวิตประจำวันอย่างมาก จึงได้มีการจัดตั้ง วันโรคพาร์กินสันขึ้น ซึ่งตรงกับวันที่ 11 เมษายนของทุกปี ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดของนายแพทย์ชาวอังกฤษ ชื่อ เจมส์ พาร์กินสัน” (James Parkinson; เป็นแพทย์คนแรกที่ได้อธิบายลักษณะของผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ในปี พ.ศ.2360 ในบทความที่ชื่อว่า “Shaking Palsy”) และมีการใช้ดอกทิวลิปสีแดงเป็นสัญลักษณ์

2.  สาเหตุของโรคพาร์กินสัน สาเหตุของการเกิดพาร์กินสันในผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่ทราบชัดเจน มีส่วนน้อยที่เกี่ยวข้องกับพันธุกรรม โรคนี้ยังไม่มีวิธีสำหรับป้องกัน และมียารักษาอาการต่างๆ แต่ยังไม่มียาที่จะรักษาให้โรคหายขาดได้  ประมาณ 5% ของผู้ป่วยที่เป็นโรคพาร์กินสันมีสาเหตุมาจากความผิดปกติทางพันธุกรรมที่ทราบตำแหน่งบนโครโมโซม (Chromosome) ชัดเจน และสามารถถ่ายทอดไปสู่ลูกหลานได้ ผู้ป่วยในกลุ่มนี้จะปรากฏอาการของโรคพาร์กินสันก่อนอายุ 45 ปี ซึ่งแตกต่างจากผู้ป่วยที่ไม่ได้มีสาเหตุจากพันธุกรรมเป็นหลัก ที่จะปรากฏอาการเมื่ออายุมากกว่า 60 ปีไปแล้ว  สำหรับสาเหตุการเกิดโรคที่เหลือไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด แต่สัญนิษฐานได้ว่าเกิดจากสาเหตุต่อไปนี้

·         ความชราภาพของสมอง มีผลทำให้เซลล์สมองที่สร้างสารโดปามีน (เกิดจากกลุ่มเซลล์ประสาทที่มีสีดำที่อยู่บริเวณก้านสมอง โดยทำหน้าที่สำคัญในการสั่งร่างกายให้เคลื่อนไหว) มีจำนวนลดลง โดยมากพบในผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป ทั้งเพศชายและหญิง และจัดว่าเป็นกลุ่มที่ไม่มีสาเหตุจำเพาะแน่นอน นอกจากนี้ยังเป็นกลุ่มที่พบบ่อยที่สุด

·         ยากล่อมประสาทหลัก หรือยานอนหลับที่ออกฤทธิ์กดหรือต้านการสร้างสารโดปามีน โดยมากพบในผู้ป่วยโรคทางจิตเวชที่ต้องได้รับยากลุ่มนี้เพื่อป้องกันการคลุ้มคลั่ง รวมถึงอาการอื่น ๆ ทางประสาท แต่ปัจจุบันยากลุ่มนี้ลดความนิยมในการใช้ลง แต่ปลอดภัยสูงกว่าและไม่มีผลต่อการเกิดโรคพาร์กินสัน

·         ยาลดความดันโลหิตสูง ในอดีตมียาลดความดันโลหิตที่มีคุณสมบัติออกฤทธิ์ที่ระบบประสาทส่วนกลาง จึงทำให้สมองลดการสร้างสารโดปามีน แต่ในระยะหลัง ๆ ยาควบคุมความดันโลหิตส่วนใหญ่จะมีฤทธิ์นอกระบบประสาทส่วนกลาง แต่มีผลทำให้ขยายหลอดเลือดส่วนปลาย จึงไม่ส่งต่อสมองที่จะทำให้เกิดโรคพาร์กินสันต่อไป

·         หลอดเลือดในสมองอุดตัน ทำให้เซลล์สมองที่สร้างโดปามีนมีจำนวนน้อย หรือหมดไป

·         สารพิษทำลายสมอง ได้แก่ สารแมงกานีสในโรงงานถ่านไฟฉาย พิษจากสารคาร์บอนมอนนอกไซด์

·         สมองขาดออกซิเจน ในกรณีที่จมน้ำ ถูกบีบคอ เกิดการอุดตันในทางเดินหายใจจากเสมหะหรืออาหาร เป็นต้น

·         ศีรษะถูกกระทบกระเทือนจากอุบัติเหตุ หรือโรคเมาหมัดในนักมวย

·         การอักเสบของสมอง

·         โรคทางพันธุกรรม เช่น โรควิลสัน ซึ่งเกิดจากการที่มีอาการของโรคตับพิการร่วมกับโรคสมอง สาเหตุมาจากธาตุทองแดงไปเกาะในตับและสมองมากจนเป็นอันตรายขึ้นมา

·         ยากลุ่มต้านแคลเซียมที่ใช้ในโรคหัวใจ โรคสมอง ยาแก้เวียนศีรษะ และยาแก้อาเจียนบางชนิด

3.  อาการของโรคพาร์กินสัน ผู้ป่วยโรคพาร์กินสันอาจมีอาการและอาการแสดงของโรคมากน้อยแตกต่างกันได้มาก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอายุผู้ป่วย ระยะเวลาการเป็นโรค และภาวะแทรกซ้อนที่ตามมา โรคพาร์กินสันนั้นนอกจากจะมีอาการเด่น ๔ อย่าง ดังกล่าวแล้วอาจเกิดมีอาการอื่นๆ เพิ่มเติมได้อีกดังในรายละเอียด ดังนี้

·         อาการสั่น ประมาณร้อยละ ๖๐-๗๐ ของผู้ป่วยจะมีอาการสั่น เป็นอาการเริ่มต้นของโรค อาการสั่นนี้จะมีลักษณะเฉพาะ คือ สั่นมากเวลาอยู่นิ่งๆ แต่ถ้าเคลื่อนไหวหรือยื่นมือทำอะไรอาการสั่นจะลดลงหรือหายไป (ผิดจากอาการสั่นอีกแบบที่พบบ่อยในผู้สูงอายุทั่วๆไปที่จะสั่นมากเวลาทำงาน เมื่ออยู่เฉยๆ ไม่สั่น) อาการสั่นในโรคพาร์กินสันนี้ ถ้านับอัตราเร็วจะพบว่า สั่นประมาณ ๔-๘ ครั้งต่อวินาที และอาจสั่นของนิ้วหัวแม่มือ-นิ้วมืออื่นๆ คล้ายแบบปั้นลูกกลอน อาการสั่นของโรคอาจเริ่มเกิดขึ้นที่มือ แขน ขา คาง ศีรษะ หรือลำตัวก็ได้ ระยะแรกของโรคอาจเกิดข้างเดียวก่อนและต่อมาจึงมีอาการทั้งสองข้างก็ได้

·         อาการเกร็ง จะทำให้ผู้ป่วยรู้สึกปวดเมื่อยกล้ามเนื้อของร่างกาย โดยเฉพาะแขน ขา และลำตัว โดยที่ผู้ป่วยไม่ได้เคลื่อนไหว หรือทำงานหนักแต่อย่างใด กล้ามเนื้อของร่างกาย จะมีความดึงตัวสูงและเกร็งแข็งอยู่ตลอดเวลา จนผู้ป่วยบางรายต้องกินยาแก้ปวดเมื่อย หรือหายามาทา บรรเทาตามร่างกายส่วนต่างๆ หรือหาหมอนวดมาบีบคลายเส้นเป็นประจำ

·         อาการเคลื่อนไหวช้า ผู้ป่วยในระยะแรกๆ จะรู้สึกว่าตัวเองทำอะไรช้าลงไปจากเดิมมาก ไม่กระฉับกระเฉงว่องไวแบบเดิม เดินช้า และงุ่มง่าม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะต้นๆ ของการเคลื่อนไหวในรายที่เป็นมากขึ้นอาจพบว่า อาจหกล้มบ่อยๆ จนบางรายกระดูกต้นขาหัก สะโพกหัก หลังเดาะ แขนหัก ศีรษะแตก เป็นต้น ในรายที่เป็นมากอาจเดินเองไม่ได้ต้องใช้ไม้เท้าหรือคนคอยพยุง

·         ท่าเดินผิดปกติ ผู้ป่วยโรคพาร์กินสันจะมีลักษณะท่าเดินจำเพาะตัวที่ผิดจากโรคอื่น คือ จะเดินก้าวสั้น ๆ แบบซอยเท้าในช่วงแรกๆ และต่อมาจะก้าวยาวขึ้นเรื่อยๆ จนเร็วมากและหยุดทันทีทันใดไม่ได้จะล้มหน้าคว่ำเลย นอกจากนี้ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะเดินหลังค่อม ตัวงอโค้งและแขนไม่แกว่งตามเท้าที่ก้าวออกไป มือจะชิดแนบตัวเดินแข็งทื่อแบบหุ่นยนต์

·         การแสดงสีหน้า ผู้ป่วยพาร์กินสันจะมีใบหน้าแบบเฉยเมย ไม่มีอารมณ์เหมือนคนใส่หน้ากาก ไม่ยิ้มหัวเราะ หน้าตาทื่อเวลาพูดก็จะมีมุมปากขยับเพียงเล็กน้อย เหมือนคนไม่มีอารมณ์

·         เสียงพูด ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะพูดเสียงเครือๆ และเบามากฟังไม่ชัดเจน และยิ่งพูดนานไปๆ เสียงจะค่อยๆ หายไปในลำคอ บางรายที่เป็นไม่มากเสียงพูดจะค่อนข้างเรียบ รัวและอยู่ในระดับเดียวกันตลอด ไม่มีพูดเสียงหนักเบาแต่อย่างใด

·         การเขียนของผู้ป่วยกลุ่มนี้ จะทำได้ลำบากและตัวเขียนจะค่อยๆ เขียนเล็กลงๆ จนอ่านไม่ออก

·         การกลอกตา ในผู้ป่วยโรคนี้ จะทำได้ลำบาก ช้า และไม่คล่องแคล่วในการมองซ้ายหรือขวาบนหรือล่าง ลูกตาจะเคลื่อนไหวแบบกระตุกไม่เรียบ

·         น้ำลายไหล เป็นอาการที่พบได้บ่อยอันหนึ่ง คือ มีน้ำลายมาสอยอยู่ที่มุมปากสองข้าง และไหลเยิ้มลงมาที่บริเวณคาง ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีลักษณะแบบมีน้ำลายมากอยู่ตลอดเวลา

นอกจากนี้ยังอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนของโรคอีกเช่น   คนไข้อาจมีอาการปวดตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย (เช่น ขา หลัง) โดยเฉพาะเวลานอน หรือช่วงกลางคืน อาจปวดจนนอนไม่หลับ บางรายอาจมีอาการซึมเศร้า ความดันตก ในท่ายืน ท้องผูก มีภาวะความจำเสื่อม หรืออาจมีปัญหากินอาหารและดื่มน้ำได้น้อย น้ำหนักลด ในรายที่เดินลำบาก อาจหกล้ม กระดูกหักหรือศีรษะแตก ในรายที่เป็นมาก อาจนอนบนเตียงมากจนเป็นแผลกดทับ อาจมีอาการถ่ายปัสสาวะลำบาก และมีการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะได้ง่าย คนไข้ที่ปล่อยไว้ไม่รักษาจนมีอาการรุนแรง (กินเวลา ๓-๑๐ ปี) มักจะตายด้วยโรคปอดอักเสบแทรกซ้อนหรือภาวะเลือดเป็นพิษจากการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะ

4.  ปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคพาร์กินสัน

·         อายุ หากมีอายุมากขึ้นก็จะเสี่ยงต่อการเป็นโรคมากขึ้นโดยเฉพาะผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป

·         พันธุกรรม โดยพบว่าผู้ป่วยประมาณ 15-20% จะมีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคพาร์กินสัน (หากมีญาติสายตรงเป็นโรคนี้ 1 คนจะเพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้ 3 เท่า และหากมี 2 คนก็จะเพิ่มความเสี่ยงเป็น 10 เท่าตามลำดับ)

·         เป็นผู้ที่สัมผัสกับยาฆ่าแมลงหรือยาฆ่าวัชพืช ดื่มน้ำจากบ่อและอาศัยอยู่ในเขตทุรกันดาร เพราะมีรายงานว่าพบโรคนี้ได้มากในชาวนาชาวไร่ที่ดื่มน้ำจากบ่อ

·         เป็นผู้ที่มีระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนต่ำ เช่น ในหญิงที่ตัดรังไข่และมดลูก ผู้หญิงวัยทองก่อนกำหนด ซึ่งคนกลุ่มนี้จะมีโอกาสเป็นโรคนี้ได้สูง แต่หากได้รับฮอร์โมนเอสโตรเจนทดแทนก็อาจจะช่วยลดการเกิดโรคนี้ได้

·         เคยได้รับอุบัติเหตุที่กระทบกระเทือนทางสมอง

·         นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า ผู้ที่ขาดกรดโฟลิกจะเสี่ยงต่อการเกิดโรคพาร์กินสันเช่นกัน

5.  แนวทางการรักษาโรคพาร์กินสัน โดยทั่วไปหากผู้ป่วยปรากฏอาการชัดเจน สามารถวินิจฉัยได้จากลักษณะอาการและการตรวจร่างกายทางระบบประสาทอย่างละเอียด ระยะแรกเริ่ม อาจวินิจฉัยยาก จำเป็นต้องวินิจฉัยแยกโรคก่อนเสมอผู้ที่สงสัยว่าจะป่วยเป็นโรคพาร์คินสัน ควรได้รับการตรวจวินิจฉัยจากอายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านประสาทวิทยา หรือที่เรียกว่าประสาทแพทย์

การวินิจฉัยโรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease) จึงต้องแยกโรคอื่นๆที่มีอาการของพาร์กินสัน รวมถึงแยกอาการ หรือภาวะพาร์กินสันทุติยภูมิ (Secondary parkinsonism) ออก ไปด้วย เนื่องจากการรักษาจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แม้ว่าจะมีอาการบางอย่างคล้ายกันก็ตาม

การวินิจฉัยโรคพาร์กินสันจะอาศัยอาการผู้ป่วย และความผิดปกติที่แพทย์ตรวจพบเป็นหลัก รวมทั้งลักษณะอาการที่ค่อยเป็นค่อยไป อายุที่เริ่มเป็น และประวัติในครอบครัว ไม่มีการตรวจพิเศษทางห้องปฏิบัติการใดที่ตรวจแล้วบอกได้ว่าผู้ป่วยกำลังเป็นโรคพาร์กินสันอยู่ การตรวจทางห้องปฏิบัติการจะใช้เพื่อยืนยันการวินิจฉัยโรคอื่นๆ บางโรคที่มีอาการของโรคพาร์กินสันและมีอาการเฉพาะของโรคนั้นๆ ร่วมด้วย เพื่อซึ่งต้องได้รับการรักษาที่แตกต่างออกไปเท่านั้น เช่น การตรวจหาระดับสารพิษในกระแสเลือด การตรวจหาระดับสาร Ceruloplasmin ในเลือดเพื่อวินิจฉัยโรค Wilson’s disease การเอกซเรย์สมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (เอมอาร์ไอ/MRI) เพื่อวินิจฉัย โรค Normal pressure hydrocephalus เป็นต้น

ในอดีตแพทย์เข้าใจว่าโรคพาร์กินสันนี้มีความผิดปกติที่ไขสันหลัง แต่ในปัจจุบันเป็นที่ทราบกันแน่นอนแล้วว่า พยาธิสภาพของโรคนี้เกิดที่บริเวณตัวสมองเองในส่วนลึกๆ บริเวณก้านสมอง ซึ่งมีกลุ่มเซลล์ประสาทที่มีสีดำมีจำนวนเซลล์ลดลง หรือบกพร่องในหน้าที่ในการปล่อยสารเคมีที่เรียกว่า โดพามีน (dopamine) จึงทำให้เกิดอาการเคลื่อนไหวช้า เกร็งและสั่นเกิดขึ้นตามลำดับ ดังนั้นในปัจจุบันการรักษาโรคนี้จึงหวังมุ่งให้สมองมีระดับสารโดพามีนกลับสู่ค่าปกติ ซึ่งอาจทำได้โดยการกินยาการทำกายภาพบำบัด หรือผ่าตัดสมอง 

การรักษาโรคพาร์กินสันมี 3 วิธี คือ

·         รักษาด้วยยา ซึ่งแม้ว่ายาจะไม่สามารถทำให้เซลล์สมองที่ตายไปแล้วฟื้นตัวหรือกลับมางอกทดแทนเซลล์เดิมได้ แต่ก็จะทำให้สารเคมีโดปามีนในสมองมีปริมาณเพียงพอกับความต้องการของร่างกายได้ สำหรับยาที่ใช้ในปัจจุบัน คือ ยากลุ่ม LEVODOPA และยากลุ่ม DOPAMINE AGONIST เป็นหลัก (การใช้ยาแต่ละชนิดขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยจากแพทย์ ตามความเหมาะสม)

·         ทำกายภาพบำบัด จุดมุ่งหมายของการรักษาก็คือ ให้ผู้ป่วยกลับคืนสู่สภาพชีวิตที่ใกล้เคียงคนปกติที่สุด สามารถเข้าสังคมได้อย่างดี มีความสุขทั้งกายและใจ ซึ่งมีหลักวิธีปฏิบัติง่าย ๆ คือ

ก) ฝึกการเดินให้ค่อย ๆ ก้าวขาแต่พอดี โดยเอาส้นเท้าลงเต็มฝ่าเท้า และแกว่งแขนไปด้วยขณะเดินเพื่อช่วยในการทรงตัวดี นอกจากนี้ควรหมั่นจัดท่าทางในอิริยาบถต่าง ๆ ให้ถูกสุขลักษณะ รองเท้าที่ใช้ควรเป็นแบบส้นเตี้ย และพื้นต้องไม่ทำมาจากยาง หรือวัสดุที่เหนียวติดพื้นง่าย

ข) เมื่อถึงเวลานอน ไม่ควรให้นอนเตียงที่สูงเกินไป เวลาจะขึ้นเตียงต้องค่อย ๆ เอนตัวลงนอนตะแคงข้างโดยใช้ศอกยันก่อนยกเท้าขึ้นเตียง

ค) ฝึกการพูด โดยญาติจะต้องให้ความเข้าอกเข้าใจค่อย ๆ ฝึกผู้ป่วย และควรทำในสถานที่ที่เงียบสงบ

·         การผ่าตัด โดยมากจะได้ผลดีในผู้ป่วยที่มีอายุน้อย และมีอาการไม่มากนัก หรือในผู้ที่มีอาการแทรกซ้อนจากยาที่ใช้มาเป็นระยะเวลานาน ๆ เช่น อาการสั่นที่รุนแรง หรือมีการเคลื่อนไหวแขน ขา มากผิดปกติจากยา ปัจจุบันมีการใช้วิธีกระตุ้นไฟฟ้าที่สมองส่วนลึกโดยผ่าตัดฝังไว้ในร่างกาย พบว่ามีผลดี แต่ค่าใช้จ่ายสูงมาก ผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน จำเป็นต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่จากคนรอบข้างในการพัฒนาฟื้นฟูด้านร่างกาย รวมถึงจิตใจ ดังนั้นหากท่านมีคนใกล้ชิดที่เป็นโรคชนิดนี้ จึงควรรีบนำมาพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยโรคอันจะนำไปสู่การรักษาที่ถูกต้องและเหมาะสมต่อไป

6.  การติดต่อของโรคพาร์กินสัน เนื่องจากโรคพาร์กินสันเป็นโรคที่เกิดจากเซลล์สมองเกิดการตาย และทำให้สารสื่อประสาทที่ทำหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายมีจำนวนลดลง จึงทำให้เกิดอาการต่างๆของโรค ซึ่งไม่สามารถติดต่อจากคนสู่คน หรือ จากสัตว์สู่คนได้ (แต่สามารถถ่ายทอดทางพันธุ์กรรมไปสู่ลูกหลานได้)

7.  การปฏิบัติตนเมื่อป่วยเป็นโรคพาร์กินสัน ผู้ป่วยและญาติสามารถดูแลตนเองอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง ดังนี้

·         ติดตามรักษากับแพทย์เป็นประจำ

·         กินยาควบคุมอาการตามที่แพทย์แนะนำให้ใช้

·         กินอาหารจำพวกที่มีกากใยเพื่อช่วยลดอาการท้องผูก

·         หมั่นฝึกบริหารร่างกาย โดยการเคลื่อนไหวร่างกายให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่านอนหรือนั่งนิ่งๆ และการทำกิจวัตรประจำวัน  ออกกำลังกาย เพื่อเพิ่มความคล่องตัวและความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ ลดเกร็งและปรับการทรงตัวให้ดีขึ้น เช่น การเดิน วิ่งเหยาะๆ รำไท้เก๊ก หรือเต้นแอโรบิก    ฝึกเดิน ยืนยืดตัวตรง วางเท้าห่างกัน ๘-๑๐ นิ้ว นับจังหวะก้าวเท้าแกว่งแขน เหมือนเดินสวนสนามหรือเดินก้าวข้ามเส้นที่ขีดไว้ เมื่อใดที่ก้าวไม่ออกให้จังหวะกับตัวเองกระดกข้อเท้าแล้วก้าวเดิน   ฝึกพูดโดยให้ผู้ป่วยเป็นฝ่ายพูดก่อน หายใจลึกๆ แล้วเปล่งเสียงให้ดังกว่าที่ตั้งใจไว้

·         บริเวณทางเดินหรือในห้องน้ำควรมีราวเกาะและไม่วางของเกะกะทางเดิน

·         การแต่งตัว ควรสวมเสื้อผ้าที่ถอดใส่ง่าย เช่น กางเกงเอวยางยืด เสื้อติดแถบกาวแทนกระดุม

·         ญาติพี่น้อง ควรเอาใจใส่ดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด ระมัดระวังการเกิดอุบัติเหตุ เช่น การเดินหกล้ม เป็นต้น

สิ่งสำคัญก็คือ คนใกล้ชิดของผู้ป่วยและญาติ ควรเรียนรู้และทำความเข้าใจผู้ป่วยพาร์กินสัน  แม้จะมีข้อมูลว่าการดื่มกาแฟ การสูบบุหรี่ การใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจน(ในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน) จะช่วยลดการเกิดโรคพาร์กินสันได้ แต่ก็ไม่แนะนำ เพราะมีโทษทำให้เกิดโรคอื่นๆ ที่น่ากลัวเป็นอันตรายต่อชีวิตได้มากกว่า

8.  การป้องกันตนเองจากโรคพาร์กินสัน เนื่องจากสาเหตุที่แท้จริงของการเกิดโรคพาร์กินสันยังไม่ทราบชัดเจน ดังนั้นการป้องกันเต็มร้อยจึงเป็นไปไม่ได้ แต่บางการศึกษาพบว่า การกินอาหารมีประโยชน์ 5 หมู่ในปริมาณที่เหมาะสม โดยจำกัดอาหารกลุ่มไขมันและเนื้อแดง (เนื้อของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม) จำกัดอาหารในกลุ่มผลิตภัณฑ์จากนม กินผัก ผลไม้เพิ่มขึ้นให้มากๆเนื่องจากมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง อาจช่วยลดโอกาสเกิดอาการ หรือ ลดความรุนแรงจากอาการของโรคนี้ลงได้บ้าง  นักวิจัยแห่งคณะแพทยศาสตร์ Chapel Hill มหาวิทยาลัยนอร์ธแคโลไรนาได้คิดวิธีทดสอบแบบง่ายๆ ที่ใครๆ ก็ทำได้ และทำเสร็จภายในเวลาเพียง ๑ นาที 

วิธีทดสอบดังกล่าวมี 3 ขั้นตอนง่ายๆ คือ

·         ให้ผู้ป่วยยิ้มให้ดู

·         ให้ยกแขนขึ้นทั้ง 2 ข้างและให้ค้างเอาไว้

·         สุดท้ายให้ผู้ป่วยพูดประโยคง่ายๆ ให้ฟังสักประโยค

นักวิจัยทดสอบ ด้วยการให้ผู้ที่เคยมีอาการสมองขาดเลือดไปเลี้ยง เป็นตัวแสดงร่วมกับคนปกติคนอื่นๆ รวมแล้ว ๑๐๐ คน จากนั้นให้อาสาสมัครสมมติตัวเป็นคนผ่านมาพบเหตุการณ์ที่มีผู้ป่วยเกิดอาการสมองขาดเลือดไปเลี้ยง ให้อาสาสมัครลองทดสอบด้วยคำสั่งข้างต้นกับผู้แสดงทั้ง ๓ ข้อ ขณะเดียวกันก็โทรศัพท์บอกผลการทดสอบให้ผู้วิจัยทราบ โดยผู้วิจัยอยู่ในอีกสถานที่หนึ่ง ซึ่งมองไม่เห็นท่าทางหรือการแสดงออกของผู้ที่สงสัยจะมีอาการสมองขาดเลือดไปเลี้ยง ผลที่ออกมาพบว่า นักวิจัยสามารถแยกผู้ป่วยออกจากคนปกติได้อย่างแม่นยำถึงร้อยละ ๙๖ ทีเดียว โดยแยกอาการกล้ามเนื้อใบหน้าอ่อนแรง (facial weakness) ได้ร้อยละ ๗๑ แยกกล้ามเนื้อแขนอ่อนแรงได้ถึง ร้อยละ ๙๕ และแยก  ประสาทกลางที่ทำงานผิดปกติทางคำพูดได้ร้อยละ ๘๘ ซึ่งถือได้ว่าแม่นยำมากภายในสถานการณ์ที่ผู้รักษาไม่อยู่ในที่เกิดเหตุ

9.  สมุนไพรที่ช่วยป้องกัน/รักษาโรคพาร์กินสัน สารสกัดจากบอระเพ็ด ชื่อ columbamine เป็นสารกลุ่มอัลคาลอยด์ ที่มีงานวิจัยพบว่า สามารถยับยั้งฤทธิ์ของเอ็นไซม์ชื่อ acetyl cholinesterase ได้สูงมาก ซึ่งการยับยั้งเอนไซม์ acetyl cholinesterase เป็นเป้าหมายสำคัญของการเป็นยารักษาผู้ป่วยสมองเสื่อม (Senile dementia), ผู้ป่วยความจำเสื่อม (Alzheimer’s diseases), โรคพาร์กินสันที่มีภาวะสมองเสื่อมร่วมด้วย (Parkinson’s disease with dementia, PDD) อาการเซ หรือ ภาวะกล้ามเนื้อเสียสหการ (Ataxia) และโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (myasthenia gravis)

               ผลการรักษาด้วยบอระเพ็ดในผู้ป่วยพาร์กินสัน สอดคล้องกับฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่มีการค้นพบในงานวิจัย โดยเห็นผลในการรักษาชัดเจนในด้านภาวการณ์รู้คิด พฤติกรรมโดยรวมและ อาการทางประสาทดีขึ้นในภาวะสมองเสื่อมที่พบในผู้ป่วยพาร์กินสัน เนื่องจากโรคพาร์กินสันเมื่อมีการดำเนินของโรคมานาน 5-10 ปี จะเกิดความเสื่อมของสมองในส่วนอื่นๆตามมา ทำให้เกิดความผิดปกตินอกเหนือจากการเคลื่อนไหว เช่น การนอน ความผิดปกติทางด้านอารมณ์และจิตใจ ภาวะย้ำคิดย้ำทำ อาการซึมเศร้า วิตกกังวล เป็นต้น
                อย่างไรก็ตามยังไม่มีข้อมูลในทางคลินิก หรือการศึกษาในผู้ป่วยกลุ่มโรคดังกล่าวอย่างเป็นระบบ แนะนำหากสนใจใช้บอระเพ็ด ควรใช้ในแง่เสริมการรักษาควบคู่กับยาแผนปัจจุบันเป็นหลัก และควรมีช่วงที่หยุดยาบ้าง เช่น แนะนำใช้ยาเดือนเว้นเดือน หรือ 2-3 เดือน เว้น 1 เดือน

นอกจากนี้ข้อควรระวัง คือ ห้ามใช้บอระเพ็ดในผู้ที่มีภาวะเอนไซม์ตับบกพร่อง หรือผู้ป่วยที่มีประวัติเป็นโรคตับ หรือโรคไตรุนแรง ผู้ที่มีแนวโน้มความดันโลหิตต่ำเกินไป หรือน้ำตาลในเลือดต่ำ สตรีตั้งครรภ์ สตรีให้นมบุตร

หมามุ่ยอินเดีย เป็นสมุนไพรที่ศาสตร์อายรุเวทของอินเดีย ใช้รักษาโรคพาร์กินสันมาเป็นเวลานาน ผลการศึกษาวิจัยพบว่าเมล็ดหมามุ่ยอินเดีย เป็นแหล่งธรรมชาติของสาร แอล-โดปา (L-dopa)พบ 3.1-6.1% และอาจพบสูงถึง 12.5% ซึ่งสารแอล-โดปานี้จะเป็นสารตั้งต้นของโดพามีน โดยพบว่าสารแอล-โดปาในหมามุ่ยอินเดียมีข้อดีกว่ายาสังเคราะห์ Levodapa ตรงที่มีความแรงในการออกฤทธิ์มากกว่า Levodopa 2-3 เท่า เมื่อเปรียบเทียบในขนาดเทียบเท่ากับ Levodapa เดี่ยว

โดยมีการตั้งสมมุติฐานว่าในสารสกัดเมล็ดหมามุ่ยอินเดียอาจมีสารสำคัญบางตัวที่ทำหน้าเหมือน Dopamine Decarboxylase Inhibitors ซึ่งเป็นกลุ่มยาที่ต้องให้ร่วมกับ Levodopa เสมอ เพื่อยับยั้งเอนไซม์ Dopamine Decarboxylase ที่จะทำลาย Levodopa อันจะทำให้การออกฤทธิ์ของ Levodopa ลดลง นอกจากนี้ยังพบว่าเมล็ดหมามุ่ยอินเดียยังออกฤทธิ์ได้เร็วกว่า และมีระยะเวลาการออกฤทธิ์นานกว่า  Levodopa/Carbidopa

อย่างไรก็ตามยังไม่มีข้อมูลในการศึกษาวิจัยทางคลินิกและการศึกษาในผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน ดังนั้นจึงควรรอให้มีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติม และมีผลการวิจัยยืนยันว่าปลอดภัยก่อนจะใช้ 

 

เอกสารอ้างอิง

1.    นพ.อัครวุฒิ  วิริยเวชกุล.โรคพาร์กินสัน.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่382.คอลัมน์ โรคน่ารู้.กุมภาพันธ์.2554

2.    ศ.นพ.นิพนธ์ พวงวรินทร์.โรคพาร์กินสันกับผู้สูงอายุ.ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาลมหาวิทยาลัยมหิดล

3.    Kedar, NP. (2003). Can we prevent Parkinson,s and Alzheimer,s disease?. Journal of Postgraduate Medicine. 49, 236-245.

4.    หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2.  โรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 641-645.

5.    Parkinson’s disease, in Harrison’s Principles of Internal Medicine, 17th edition, Braunwald , Fauci, Kasper, Hauser, Longo, Jameson (eds). McGrawHill, 2008 (electronic book).

6.    โรคพาร์กินสัน.วิกิพีเดียสารานุกรม(ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก http://th.wikipedia.org/wikw

7.    โรคพาร์กินสัน-โรคสั่นสันนิบาต.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่219.คอลัมน์โรคน่ารู้.กรกฎาคม.2540

8.    พญ.สลิล ศิริอุดมภาส.โรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease) .หาหมอ.com (ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก http://haamor.com/th

9.    รศ.นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ .โรคพาร์กินสัน.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่292.คอลัมน์ สารานุกรมทันโรค.สิงหาคม.2546

10.   รุ่งโรจน์ พิทยศิริ,กัมมันต์  พันชุมจินดา และศรีจิตรา  บุนนาค.โรคพาร์กินสันรักษาได้.พิมพ์ครั้งที่2.2549.ศูนย์โรคพาร์กินสันและกลุ่มโรคความเคลื่อนไหวผิดปกติ.โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย.

11.    Shagam,I.A.(2008).Unlocking the secretes of Parginson’s disease. Radiologic Tech nology,79,227-239.

12.    Strayer , D.A.,&  Richman ,S.(2008).Quick lesson about Parkinson’s disease: Psychological.